มะเร็งลำไส้ ประสบการณ์ดูแล รักษาแบบประคับประคอง (ตอนที่2)

กระทู้สนทนา
กระทู้นี้เขียนเพื่อแชร์ประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ระยะท้าย และเป็นตอนต่อจากกระทู้เดิม
ซึ่งอ่านได้จากลิ้งค์
https://m.ppantip.com/topic/41073533?

สูงอายุ...หกล้มเรื่องใหญ่
ช่วงเดือน กค.64 แม่เริ่มปวดขา ปวดก้นกบ (น่าจะเป็นอาการมะเร็งลามไปที่กระดูก)และเดินเซขาไม่มีแรง เราห่วงว่าจะล้มต้องคอยเดินประกบ แต่แม่จะปฏิเสธไม่อยากให้คนช่วย ยิ่งเห็นภาพหลอนยิ่งอ่อนแรงเพราะกลางคืนไม่ได้นอน ลุกนั่งเริ่มลำบากขึ้น
ด้วยนิสัยแม่ที่ไม่ชอบให้ตัวเองเป็นภาระลูกๆ และคิดว่าทำอะไรเองได้ 
ช่วงต้น กค. ในที่สุดสิ่งที่เรากลัวก้อเกิดขึ้น แม่ล้มตอนก้าวขึ้นฟุตบาทหน้าบ้าน หัวฟาดพื้น จนปูดโนเท่าลูกมะนาว โชคยังดีที่แม่ไม่ปวดหัวหรือมีอาการเลือดคั่งในสมอง หลังจากวันนั้นเราเลยคุยกันว่าควรมีใครนอนกับแม่จะได้ช่วยดูแล ไม่ให้หกล้มอีก แม่ปฏิเสธว่าเค้ายังเดินไหว ไม่ต้องมาดูแลเพราะห้องนอนแคบด้วย (
ปกติแม่นอนห้องเดียวกับพ่อ)

31 กค.แม่ล้มอีกครั้งในห้องน้ำตอนดึก ครั้งนี้แม่เอามือรองหัวไว้ทัน แต่ก้นกระแทกพื้น พ่อดูแล้วคิดว่าไม่หนัก เลยช่วยพยุงไปนอน ตอนเช้าปวดสะโพกมาก ลุกไม่ไหวเลยพาไปรพ. ผลเอ็กซเรย์ปรากฎว่ากระดูกสะโพกหักแต่เคราะห์ดีที่หักเล็กน้อยและเป็นตรงจุดที่ไม่ได้รับน้ำหนักมาก หมอจึงให้กลับบ้านได้ไม่ต้องผ่าตัดหรือแอดมิด และให้ยาแก้ปวดมาทาน บอกว่ากระดูกจะสมานเองได้แต่อาจช้าหน่อยเพราะสูงอายุ 

แม่ล้มถึงสองครั้งแต่ไม่หนักถึงขั้นผ่าตัดหรือต้องแอดมิทนอนรพ. ในใจลึกๆเราเชื่อจริงๆว่าคงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองท่านอยู่

คราวนี้แม่จำเป็นต้องยอมย้ายมานอนกับเรา ที่บ้านอีกหลังที่ทำเป็นร้านกาแฟและห้องพัก โดยปรับชั้นล่างให้เป็นห้องนอน พอดีช่วงโควิด ขายกาแฟได้น้อยลงและไม่ให้ลูกค้านั่งในร้าน ให้สั่งกลับบ้านเท่านั้น จึงมีเวลาดูแลแม่ได้เต็มที่

12สค.วันแม่ 
พวกเราฉลองด้วยการกินสุกี้อีกเพราะแม่จะได้กินอาหารอ่อนๆ มีซุป ย่อยง่าย รู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่แม่ยังคงอยู่กับพวกเราในวันแม่ปีนี้...

สองอาทิตย์ต่อมา แม่เบื่ออาหารมาก ปากจืด เลยอยากกินอาหารแซ่บๆ เลยสั่งยำวุ้นเส้น ลาบมากินกัน
คืนนั้นแม่มีอาการปวดท้อง และถ่ายเหมือนท้องเสียวันละหลายรอบ  เป็นอยู่เกือบอาทิตย์ ถ่ายทีละไม่มากแต่จะเหนื่อยตรงลุกขึ้นนั่งเก้าอี้ถ่าย เพราะตอนนี้แม่ไม่มีแรงลุกนั่งเองเลย 

หมอหัวเฉียวที่รักษาแม่บอกว่าคนป่วยสูงอายุถ้าล้มแล้วอวัยวะภายในจะกระเทือนหนักจะทำให้แย่ได้
หมอแอบบอกพวกเราว่า ให้เตรียมทำใจ แม่อาจจะอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน ข่าวเศร้านี้เราได้แต่แชร์กันทางไลน์ในหมู่พี่น้อง ไม่สามารถบอกให้แม่ พ่อหรือคนในบ้านรู้ เพราะไม่อยากให้ใจเสีย

ปลาย สค.เท้าเริ่มบวม
เดือนก่อนเริ่มบวมแค่ปลายเท้า ต่อมาบวมทั้งหน้าแข้ง ลามมาต้นขา ที่แย่คือบวมต้นขาข้างขวามากกว่าข้างซ้าย หมอศิริราชให้ยาขับปัสสาวะมากินเพื่อขับน้ำ แต่อาการดีขึ้นบ้างบางวัน และยังคงบวมข้างขวามาก หมอบอกอาจเป็นเพราะเส้นเลือดที่ขาขวาอุดตัน เราเห็นขาบวมและขาขวาหนักมากจนยกไม่ขึ้น เลยพาแม่ไปตรวจที่ รพ.เอกชนแห่งเดิม หมอโรคหัวใจและหลอดเลือดให้ทำอัลตร้าซาวด์ที่ขา พบว่ามีเส้นเลือดอุดตันเล็กน้อยที่แข้ง จึงให้ยาละลายลิ่มเลือด warfarin มากิน เพราะหมอกลัวอันตรายที่อาจเกิดจากลิ่มเลือดจะหลุดไปอุดตันอวัยวะสำคัญเช่น ปอด หัวใจ
พอคุยกับหมอ เราเกิดความกลัวว่าถ้ากินยาละลายลิ่มเลือดกรณีแม่มีโรคกระเพาะ ลำไส้ ริดสีดวงอยู่จะมีเลือดออกภายในมั้ย (เพราะพ่อเคยต้องแอดมิทเพราะเลือดออกในกระเพาะเพราะยาละลายลิ่มเลือดมาก่อน) หมอบอกอันตรายจากลิ่มเลือดอุดตันน่ากลัวกว่า เรารู้สึกว่าตัดสินใจลำบากเพราะลึกๆเราไม่อยากให้แม่กิน แต่เพราะไม่มีความรู้จึงต้องยอมตามที่หมอบอก

เดือน กย.อาการระยะท้าย
ช่วง กย.นอกจากจะทรมานจากอาการปวดเมื่อยไปทั้งตัว  แม่เริ่มบ่นว่าปากและคอแห้งจนเหมือนกำลังจะแตกออก เสียงแหบ พูดได้น้อยลง กลืนลำบากขึ้น บางครั้งกินน้ำยังสำลัก กินข้าวสวยไม่ได้เลยต้องเปลี่ยนเป็นก๋วยเตี๋ยวหรือโจ๊กแทน กินได้แค่สี่ห้าคำ ต้องพยายามชวนกินและกินเป็นเพื่อนแม่ วันไหนกินไม่ลงก้อหากล้วยหักมุกเผาให้กินแทน แม่ผอมมากจนไหล่สัมผัสได้ถึงกระดูก (น้ำหนักจากปกติ55กก.เหลือราวๆ40กก.)

แม่เริ่มนอนติดเตียง ขาหนักยกไม่ขึ้นเพราะบวมน้ำ บางครั้งนอนนิ่งนานๆจนเรานึกว่าหลับยาว แต่ที่จริงแล้วแม่ขยับตัวไม่ค่อยได้ต่างหาก 
ช่วงนี้เราเริ่มตัดยาที่ไม่จำเป็น เช่น ยาความดัน ยาลดไขมัน วิตามิน เพราะสงสารแม่มากตอนพยายามกลืนยาอย่างยากลำบาก  กลืนข้าวแต่ละคำก้อยากแล้ว พอกินเสร็จจะพะอืดพะอม อาหารไม่ย่อย ต้องฝืนกินยาช่วยย่อยอีก กลางคืนยังคงมีอาการเห็นภาพหลอน นอนได้น้อยร่างกายเลยยิ่งทรุดลงอีก

ก่อนที่แม่จะเข้ารพ.ครั้งสุดท้าย มีอาการถ่ายดำมาก เหมือนถ่านเหนียวๆ ซึ่งแสดงว่ามีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร แม่ซีดมาก บางวันถ่ายเป็นสีเทาอ่อน และมีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยทั้งตัวมากจะกินยาแก้ปวดก้อกลืนไม่ค่อยลง

6ตค.แม่รู้สึกอ่อนแรงจนทนไม่ไหว ยอมให้พาไป รพ.  หมอเช็คความดันต่ำเหลือ80กว่า มีไข้ ชีพจรเต้นเร็ว เราเริ่มกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้วตอนนี้กลัวแม่จะไม่ไหว หมอบอกต้องแอดมิดเข้าICUก่อนเพราะอาการไม่ค่อยดี ช่วงโควิดICUห้ามเยี่ยมเด็ดขาด ทำให้พวกเรายิ่งเป็นห่วง

เรารอจนบ่ายสองจึงได้คุยกับหมอทางเดินอาหารที่ดูแลแม่ ซึ่งหมอท่านนี้เข้าใจพวกเราดีว่าต้องการดูแลแบบประคับประคอง ไม่ต้องการรักษาอะไรอีกที่จะทำให้ทรมานมากไปกว่านี้ โชคดีที่หมอบอกแม่อาการดีขึ้นแล้วพรุ่งนี้น่าจะย้ายไปห้องธรรมดาได้ ทำให้พวกเราสบายใจขึ้น หมอบอกถ้าคนไข้กลืนลำบาก จากนี้ไปต้องให้อาหารทางสายยาง

วันถัดมาแม่ได้ย้ายมาห้องธรรมดา แม่ดูตาลอย พูดน้อยมาก หมอให้ออกซิเจนด้วย แขนขาแม่บวมมากขึ้นเพราะให้น้ำเกลือ พอเปลี่ยนให้อาหารทางสายยาง อาจช่วยให้แม่ไม่ต้องเหนื่อยกับการกลืนยาหรือกินข้าวอีก
แม่ดูซึมลง แต่ดีที่มีสติรู้ตัวตลอด คุยด้วยรู้เรื่องหมด แขนขาที่บวมน้ำเริ่มมีน้ำซึมออกมาทางผิวหนัง ทำให้ที่นอนเปียกเป็นดวงๆ กลางคืนนอนไม่ได้เพราะปวดตัวมาก จนหมอต้องให้ยาแก้ปวดเพิ่มจึงพอหลับได้ 

ความต้องการสุดท้าย
วันต่อมาชีพจร ความดัน แม่เป็นปกติ แต่บวมน้ำและซึมออกมาตามผิวหนังจนทำให้พยาบาลไม่สามารถเจาะเลือดเพื่อเอาไปตรวจตามที่หมอสั่งได้ สุดท้ายต้องเปลี่ยนเป็นเจาะหลอดเล็กลงจึงสำเร็จ

หมอมาตรวจตอนเช้า เรานึกว่าหมอคงไม่ให้แม่กลับบ้านเร็วๆนี้แน่ แต่หมอกลับบอกว่าถ้ามีคนดูแลและอยากกลับพรุ่งนี้กลับบ้านได้เลย คืนนั้นแม่เริ่มมีไข้สูงขึ้นราว 38กว่า และปวดตัวมากขึ้น กระสับกระส่ายนอนไม่ได้ทั้งคืน บ่นอยากกลับบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง รุ่งเช้าชีพจรเริ่มสูงเกินปกติ เพราะแม่เครียดมากกลัวเราจะหลอกแม่เรื่องกลับบ้าน
ตอนเช้าหมอมาตรวจแล้วยังยืนยันให้กลับได้ เราจึงได้จองรถพยาบาลไปส่งที่บ้าน และบอกแม่ว่าได้คิวตอนบ่ายสอง ต่อมาพยาบาลแจ้งว่ารถจะมาช้าขอเลื่อนเป็นบ่ายสาม พอได้ยินแม่เลยยิ่งเครียดจัด ชีพจรเต้นเร็ว130กว่า หายใจหอบ ความดันและออกซิเจนตกลงจนแม่ได้แต่บ่นว่าเหนื่อยมาก ออกซิเจนในห้องผู้ป่วยให้ได้สูงสุดแค่5ลิตร/นาที  เลยต้องขอให้พยาบาลใส่หน้ากากอ๊อกซิเจนแบบมีถุงลมเพื่อเพิ่มอ๊อกซิเจนให้เป็น8ลิตร/นาที แต่ดูเหมือนจะไม่พอเพราะยังหายใจแรงมากและบ่นเหนื่อยตลอดเวลา

พวกเราพยายามยืนยันกับแม่ว่าวันนี้ได้กลับแน่ แต่แม่ไม่เชื่อ กว่ารถพยาบาลจะมารับแม่ได้ หัวใจเราแทบจะหยุดเต้นให้ได้ ตอนนั้นได้แต่ภาวนาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองแม่ให้ผ่านช่วงนี้ไปได้  ให้แม่กลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
หลังเห็นสัญญาณชีพแม่เริ่มแย่ลง พยาบาลมาให้เราเซ็นเอกสารคำยินยอมและยืนยันว่าเราเลือกไม่รักษาต่อ และหากเป็นอะไรเราเลือกจะไม่ปั้มหัวใจ ไม่ใส่เครื่องช่วยหายใจ 
ยังดีที่บ้านอยู่ไม่ไกลจาก รพ.และในรถพยาบาลให้ออกซิเจนได้มากกว่าห้องพักใน รพ. แม่จึงมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย 
พยาบาลที่มาส่งแอบกระซิบเราว่าเห็นแม่ซึมลงแบบนี้ มักเป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานแล้ว ขอให้เตรียมใจไว้บ้าง เพราะคนแก่ที่ป่วยระยะท้ายแบบนี้มักอยากจะมาเสียที่บ้าน ได้เห็นลูกหลานพร้อมหน้ามากกว่าจากไปที่ รพ. 

หลังจากมาถึงบ้านราวสี่โมงเย็น เราถามแม่ว่าสบายใจมั้ยที่ได้กลับบ้าน แม่พยักหน้า เราบอกแม่ว่าเห็นมั้ยเราไม่โกหกแม่หรอก ก่อนหน้านั้นพวกเราได้เตรียมซื้อเครื่องผลิตออกซิเจนไฟฟ้าไว้ให้แม่แล้ว แต่เครื่องนี้ผลิตได้แค่5ลิตร/นาที ซึ่งคาดว่าเพียงพอในยามปกติ แต่วันนี้พอแม่เครียดจัดจึงต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น เลยรีบหาแบบแท๊งค์มาช่วยซึ่งให้อ๊อกซิเจนได้มากกว่า10ลิตร/นาที
หลังจากมาถึงบ้านจิตใจแม่ผ่อนคลายขึ้น พี่สาวได้ให้อาหารและยาแก้ปวดทางสายยาง แม่ค่อยหลับได้

ก่อนหลับเราบอกแม่ว่าขอตัวไปนอนพักสักหน่อยเพราะไม่ได้หลับมาทั้งคืน ให้พี่สาวและหลานดูแลก่อน เดี๋ยวจะตื่นมาเฝ้าแม่ตอนดึก แม่บอกให้เรารีบไปนอนพัก ก่อนไปเราได้กอดและย้ำคำเดิมที่เคยบอกแม่มาตลอดว่า ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ถ้าเวลานั้นมาถึง เจ้าแม่กวนอิมหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านใดที่แม่เคารพนับถือมารับดวงวิญญาณของแม่ ขอให้แม่เดินทางไปสู่สรวงสวรรค์โดยไม่ต้องห่วงอาลัยทางโลก ขอให้จิตญาณท่านไปสู่สุคติ ถึงพระนิพพานโดยพลัน ไม่ว่าแม่อยู่ที่ใดลูกจะส่งบุญกุศลให้แม่ ขอแม่อย่าได้ห่วงกังวลใดๆ

พอตื่นเราก้อรีบมาดูแม่ พี่บอกแม่ได้ยาแล้วหลับสนิทมาก เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ยังไม่รู้สึกตัว
เนื่องจากเราค่อยๆปรับลดออกซิเจนจากแท้งค์ให้แม่จาก8ลิตร/นาที เป็น5ลิตร/นาทีเพราะเห็นว่าแม่สบายใจนอนหลับได้และทั้งระดับความดัน ออกซิเจน ชีพจรของแม่ดีขึ้นกว่าตอนอยู่ รพ. จะได้ใช้เครื่องทำอ๊อกซิเจนแบบไฟฟ้าเผื่อออกซิเจนในแท้งค์ไม่พอด้วย

พอปรับออกซิเจนจากแท้งค์ให้แม่เป็น5ลิตร/นาทีเท่ากับระดับออกซิเจนจากเครื่องผลิตไฟฟ้า พี่สาวจึงลองเปลี่ยนไปใช้เครื่องผลิตจากไฟฟ้าแทน ค่าออกซิเจนของแม่จาก89ก้อค่อยๆสูงขึ้นจนเป็น96และชีพจรก้อลดลงจาก120เหลือ90กว่าจนเป็นปกติ 

และตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงแม่ไอครั้งนึงแล้วเริ่มหยุดหายใจสักพัก แม่ไออีกครั้ง...ครั้งนี้ลมหายใจแม่หยุดลงอย่างถาวร..

นาทีนั้นเราสองคนได้แต่นิ่งอึ้ง สมองมึนงง พอได้สติ รู้ตัวว่าแม่ได้ละกายสังขารนี้ไปแน่แล้ว จึงรีบดูเวลาที่แม่เสียและกอดแม่ขอให้ไปสู่สุคติบนสวรรค์
พอทบทวนดู แม่ได้จากไปในขณะที่ร่างกายสบายและแม่มีสติจนวินาทีสุดท้ายที่ได้พูดคุยกัน หน้าตาแม่ดูสดใสเหมือนแม่แค่นอนหลับไปเฉยๆ

ส่วนตัวเราเชื่อว่าแม่ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีแล้วแน่นอน
ตลอดเวลาที่ดูแลแม่ เราจะเปิดธรรมะให้แม่ฟัง พูดคุยเรื่องอนิจจัง ความตายกันเสมอเพื่อให้เตรียมใจทั้งแม่และตัวเอง โชคดีที่แม่ชอบทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระ แม่จึงรับฟังธรรมะที่เราเปิดให้ฟัง และเราคอยย้ำกับแม่ถึงคำพูดหลวงพ่อที่บอกว่าแม่มีบุญเยอะ เพื่อให้แม่มั่นใจในบุญกุศลที่ได้ทำมาเพื่อเป็นเสบียงและที่พึ่งในยามที่ท่านต้องเดินทางจากโลกนี้ไป

หวังว่ากรณีป่วยของคุณแม่จะช่วยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจให้ท่านที่ป่วย,คนดูแลผู้ป่วย ขอพระคุ้มครองให้ทุกท่านผ่านช่วงที่ยากลำบากไปได้ด้วยดีและครอบครัวประสบแต่ความสุขนะคะ

ข้อคิดในการดูแลผู้ป่วย

‌-การสื่อสารมีความสำคัญมาก ทั้งการสื่อสารกับผู้ป่วยรวมทั้งสื่อสารกันในครอบครัว/สื่อสารกับหมอ เพื่อให้รับมือกับการดูแลผู้ป่วยและเตรียมความพร้อมจิตใจทุกคนให้เผชิญกับความจริงที่จะเกิดขึ้นได้

‌-การหาข้อมูลทั้งจากเว็บ,ผู้รู้/หมอ, เพจผู้ป่วยโรคเดียวกัน ช่วยได้มากทั้งในการดูแลและให้กำลังใจทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล
 
‌-คำแนะนำจากหมอนั้นดีแต่หากขัดกับความต้องการของผู้ป่วย อยากให้ลองฟังและเอาจิตใจผู้ป่วยเป็นตัวตั้ง  เพราะถ้าสบายใจแล้วอะไรๆก้อจะดีขึ้นได้ อย่างน้อยเราจะไม่รู้สึกผิดภายหลังที่ฝืนใจผู้ป่วย/ไม่ยอมให้ตามที่ผู้ป่วยต้องการ

‌-เวลาป่วย/ทุกข์คือเวลาศึกษาสัจธรรมชีวิตที่ดีที่สุด เพราะถ้าสุขสบาย เรามักจะไม่สนใจใฝ่ธรรม

‌-สำหรับคนใกล้ชิดที่ดูแลผู้ป่วย ให้ถือคติ "ทำให้ดีที่สุดวันนี้ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจวันหน้า" 
พอถึงเวลาต้องจาก จะช่วยคลายความเศร้าได้มาก

#มะเร็งลำไส้ #รักษาแบบประคับประคอง #มะเร็งระยะท้าย #ผู้ป่วยระยะท้าย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่