ในระหว่างที่ได้ดูแลคุณแม่ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ในปี63 ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนประสบการณ์การดูแลคุณแม่ เผื่อจะช่วยให้ข้อมูลหรือเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ป่วยหรือคนในครอบครัวผู้ป่วยคนอื่นได้บ้าง
ปี64นี้แม่มีอายุ81ปี มีโรคประจำตัวคือ หัวใจโตเล็กน้อย ความดันสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคที่เป็นมาตั้งแต่สาวๆคือโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน ท้องผูก ด้วยความที่มีเชื้อสายจีนจึงคุ้นกับการรักษาแบบหมอแผนจีนกินยาต้มมาตลอด
ปลายปี62 เริ่มผิดปกติ
ปกติแม่จะมีอาการโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน ท้องผูกเป็นประจำ แต่คราวนี้มักบ่นเรื่อง อึลีบเล็ก เป็นก้อนแข็ง ท้องอืดแน่น สังเกตุเห็นแม่เหนื่อยง่ายขึ้น ตอนกลางวันมักบ่นง่วงจนต้องนอนพัก
ต้นปี63 แม่เริ่มมีอาการผิดปกติมากขึ้น ผะอืดผะอม กินไม่ค่อยลง ปากเปรี้ยว ท้องผูก และง่วงนอน เพลียต้องนอนพักกลางวันทุกวัน ช่วงนี้ขาเริ่มเดินไม่คล่อง อาจเพราะอายุมากด้วย เลยไปไหนคนเดียวไม่ได้เหมือนก่อน (ปกติจะชอบไปซื้อของที่เยาวราชคนเดียวไม่บอกใคร)
แม่พยายามหาหมอจีนที่เคยรักษาโรคกระเพาะแล้วหายมาตลอด แต่คราวนี้หาหมอหลายครั้งอาการก้อไม่ดีขึ้น ดูแม่กลุ้มมาก เลยบอกให้ลองไปเช็คที่ รพ.ดูเผื่อมีเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะ เพราะมีอาการคล้ายกับที่หลานสาวเป็นอยู่ (เชื้อแบคทีเรียในกระเพาะ H.Pylori) แม่เลยยอมไปตรวจ
(ปกติแม่จะไม่ยอมไปหาหมอ รพ. เพราะ4ปีก่อนเคยเข้าICU เนื่องจากความดันสูง200กว่าจนเพ้อหนักขยับตัวไม่ได้ อยู่รพ.สามคืนอยากกลับบ้านแต่หมอไม่ให้กลับ สุดท้ายฝืนคำสั่งหมอ กลับมาบ้านทั้งที่ความดันเกิน200แล้วอาการป่วยก้อดีขึ้น)
สค.63 เผชิญข่าวร้าย
พาแม่มาตรวจ รพ.เอกชนใกล้บ้าน หมอตรวจโดยคลำท้องสักพัก รีบสั่งให้ทำct scanทันที ผลออกมามีก้อนมะเร็งลำไส้ขนาด3ซม.กว่าอยู่ตรงลำไส้ใหญ่ส่วนต้นตรงที่ต่อมาจากลำไส้เล็ก(ascending colon)และกระจายไปต่อมน้ำเหลือง ช่องท้องและมีก้อนเล็กๆที่จุดอื่นด้วย หมอแนะนำให้รีบผ่าตัดพร้อมกระซิบเราว่าให้คุยกับทางบ้านให้เตรียมทำใจกันไว้ด้วย พอได้ยิน เรารู้สึกช็อคเหมือนโลกกะลังหยุดหมุน ตัวชาไม่คิดว่าแม่จะเป็นหนักขนาดนี้
เรากระซิบบอกหมอว่าอย่าเพิ่งบอกแม่เพราะกลัวว่าจะรับไม่ได้ หมอเลยบอกแม่ว่าตรวจเจอก้อนเนื้อในท้องแต่ไม่ใช่เนื้อร้าย ให้รีบรักษา
ลองคิดดู แม่อายุเยอะแล้ว ร่างกายไม่น่าจะรับการผ่าตัดใหญ่ไหว เลยถามหมอถึงความเสี่ยงในการผ่าตัด หมอบอกคนมีอายุมีความเสี่ยงแน่นอน บางรายผ่าไปเดือนนึงแล้วเสียชีวิตก้อมี ถามว่าถ้าปล่อยไว้อยู่ได้นานแค่ไหน หมอบอกไม่แน่แต่น่าจะไม่ถึงปี
ทีนี้พอคุยเรื่องผ่าตัด หมอบอกจุดที่แม่เป็นมีความยากคือก้อนมะเร็งนั้นอยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ตรงส่วนต่อจากลำไส้เล็ก หมอเลยแนะนำให้ไปปรึกษาอาจารย์ของหมอที่ รร.แพทย์ซึ่งพร้อมกว่าด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางหลายด้าน
อาทิตย์ถัดมาได้ไปหาอาจารย์หมอที่แนะนำมา หมอดูผลสแกนแล้วนัดส่องกล้องอีกเดือนนึง(นี่คือเร็วสุดแล้ว)
ขอตัวช่วย..พลังบุญและกำลังใจจากหลวงพ่อ
ช่วงที่รอนี้ ตัดสินใจชวนที่บ้านขับรถไปตจว.กราบหลวงพ่อที่เราศรัทธาเพื่อให้แม่มีกำลังใจ ดีกว่าปล่อยเวลาไปเปล่าๆ คิดเสมอว่าเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้ไม่รู้แต่ขอให้แม่สะสมกุศลไว้ก่อน และถือเป็นโอกาสดีที่ได้พาทั้งพ่อ พี่สาวและหลานๆไปกราบท่านและยังได้เปลี่ยนบรรยากาศไป ตจว.ด้วยกันในครอบครัวเป็นครั้งแรก ก่อนนี้เคยชวนไปกี่ครั้งไม่เคยสำเร็จพ่อแม่เพราะประหยัดกันมากเนื่องจากตอนเด็กยากจน ลำบากมากกว่าจะลืมตาอ้าปาก หาเงินให้ครอบครัวสบายได้ ตอนนี้พอแก่ตัวก้อยังไม่กล้าใช้เงินเพราะคิดแต่ว่ายังมีหนี้ธนาคารที่กู้มาทำธุรกิจอยู่
คุณแม่ถวายสังฆทานให้หลวงพ่อ ท่านได้เมตตาให้กำลังใจพูดคุยอยู่นานและให้พรแม่มากมายและบอกว่าแม่เป็นคนดี มีบุญเยอะ พร้อมกำชับให้ลูกๆทำอาหารพวกไข่ขาวให้ท่านทานด้วย
น่าแปลกที่หลังจากที่ไปตรวจCT Scan กลับมาคราวนั้น แม่บอกรู้สึกพอกินข้าวได้รสชาติและท้องกลับมาทำงานดีขึ้น (รึจะเป็นเพราะบุญที่เราได้พาแม่และที่บ้านไปกราบหลวงพ่อก้ออาจเป็นได้ ขอขอบพระคุณท่านที่เมตตาแม่มาณ ที่นี้ด้วย)
ส่องกล้องทางทวาร
ก่อนถึงวันนัดสองวัน หมอให้ยาถ่ายแม่มากินไว้ก่อนเพื่อทำความสะอาดลำไส้ก่อนส่องกล้องทางทวาร
เห็นว่าสูงอายุก่อนวันส่องกล้อง หมอเลยให้มานอน รพ.1คืนก่อน หลังให้ยาถ่ายหลายครั้ง หมอมาเช็คแล้วบอกยังไม่สะอาดพอให้กินยาให้ถ่ายอีก เห็นแล้วสงสารแม่ กินอะไรไม่ค่อยลงอยู่แล้วยังต้องพยายามถ่ายเพื่อล้างท้องอีก
วันส่องกล้อง อ.หมอมอบหน้าที่ให้ทีมแพทย์ทำการวางยาสลบและส่องกล้อง ผลปรากฏว่ามีก้อนมะเร็งขนาด3-5ซม.และมีติ่งเนื้อ(polyp)ที่หมอตัดออกมาอีก13ชิ้น หลังจากนั้นอ.หมอให้รังสีแพทย์มาคุยเพื่อเตรียมทำคีโม12ครั้งแต่ไม่ได้ให้ข้อมูลว่าต่อจากนั้นควรผ่าตัดหรือยังไงต่อ พอถามกลับไป อ.หมอฝากบอกมาว่าไม่ต้องผ่าตัดแต่ไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ
ที่บ้านจึงปรึกษากันว่าร่างกายแม่ไม่พร้อมรับคีโมหรือการผ่าตัดใหญ่แน่ ส่วนตัวคิดว่าแม่น่าจะเป็นระยะท้ายแล้วต่อให้ผ่าตัดหรือทำคีโมคงไม่หาย และแม่เองก้อไม่อยากทำคีโม สรุปจึงปฏิเสธและตัดสินใจเลือกรักษาแบบประคับประคองที่บ้าน(palliative care)แทน
หาทางเลือก...ทางรอด
ตอนนี้ใครแนะว่าอะไรดีถ้าดูไม่อันตรายเข้ากับแม่ได้เราลองหมด น้ำมันกัญชา ยาหมอแสง น้ำผักผลไม้สกัด ....
หลังจากรู้ว่าแม่ป่วย เราพยายามต้มน้ำRCชีวจิต, ซื้อเครื่องสกัดน้ำผักผลไม้มาสกัดจิงจูฉ่าย แครอท แอปเปิ้ล ฝรั่ง สูตรที่ใครว่าดี ให้แม่กินทุกวัน แต่ร่างกายคนป่วยแต่ละคนมีข้อจำกัด เช่น ของแม่กระเพาะจะอ่อนแอ กินน้ำผักผลไม้แล้วฤทธิ์เย็นเกินไปท้องไม่ย่อย ยิ่งพะอืดพะอม จึงต้องหยุด
ปรับเปลี่ยนอาหารยังไงดีสำหรับคนป่วยมะเร็ง
แม้เราจะได้ยินมาตลอดว่าคนป่วยมะเร็งให้งดของหมักดอง ห้ามกินเนื้อสัตว์ โรคลำไส้ห้ามกินเผ็ด ห้ามรสจัด ของทอด...
ทีแรกให้งดเนื้อสัตว์และผักดอง(ตอนเช้าผักดองกับข้าวต้มของโปรดแม่เลย)ให้กินข้าวกล้อง ธัญพืช... แม่กินไม่ลงอยู่แล้วยิ่งพะอืดพะอม พวกเราเลยคุยกันกับแม่ว่า ถ้าอยากกินอาหารที่ควรเลี่ยง ให้กินนิดหน่อย จะได้ไม่เครียดมาก สรุปเราจึงตกลงว่าขอยึดเอาร่างกายและจิตใจแม่เป็นสำคัญดีกว่า แม่เองก้อพยายามเลี่ยงเท่าที่ทำได้อยู่แล้ว
ปลายปี63 เราได้เข้าปรึกษาศูนย์บริรักษ์ ศิริราช เพื่อขอความรู้ในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองที่บ้าน ทางศูนย์ได้พูดคุย เช็คอาการทางกายและจิตใจ พร้อมทั้งให้ยาที่จำเป็น ให้ความรู้ตอบคำถามญาติถึงการดูแลคนป่วยที่บ้าน ทางศูนย์ยังมีบริการโทรมาสอบถามอาการแม่เป็นระยะ
หมอไม่สนับสนุนให้กินยาจีน ยาหมอแสงหรือน้ำมันกัญชา โดยให้เหตุผลว่าไม่มีการวิจัยรองรับที่เห็นผลชัดเจน แต่ก้อไม่ห้าม แต่เรามองว่าคนป่วยยังไงก้อต้องการที่พึ่งทางใจ เลยยังคงให้กินสมุนไพรทางเลือกไปตามเดิม ปัญหาแม่ช่วงนี้จะเป็นเรื่องท้องผูก และกินไม่ค่อยลง หมอจึงให้ยาถ่ายมาทำให้พอถ่ายได้
ครอบครัวเราคิดกันว่าเราจะรักษาแม่แบบประคับประคอง แต่หากต้องตรวจร่างกายหรือฉุกเฉิน คงต้องพาแม่ไป รพ.เอกชนแถวบ้านที่แม่มีประวัติอยู่เพราะหากพาไป รพ.ศิริราช แม่คงไปนั่งรอคิว รอตรวจไม่ไหวแน่ๆ
เดือน พย.ลางบอกเหตุ
พี่สาวที่แต่งงานไปอยู่ออสเตรเลียเป็นห่วงแม่มาก ยิ่งช่วงโควิดระบาดทำให้ไม่ได้กลับบ้านมาสองปีกว่าพอรู้ข่าวแม่ป่วยยิ่งกังวลใจ
พอเข้าเดือนพย.วันนึงจู่ๆ fbของพี่สาวก้อปรากฎรูปฝนตกเป็นภาพขาวดำ และขึ้นเลข 81โดยที่พี่สาวไม่ได้เข้าไปโพสต์อะไรเลยในวันนั้น พี่สาวเขียนมาถามว่าตอนนี้แม่อายุ80ใช่มั้ย เราบอกใช่ แต่พอเห็นแล้วเราก้ออดคิดไม่ได้ว่านี่อาจเป็นลางบอกเหตุว่าแม่จะไปตอนอายุ81แต่ก้อไม่ได้บอกใครให้เป็นกังวล
พอผ่านตรุษจีนปี64 แม่กลับมาพะอืดพะอมมากขึ้น ปากเปรี้ยว ท้องผูก กินอะไรแทบไม่ลง ผอมแห้ง เพลียนอนทั้งกลางวันกลางคืน
ช่วงนึง แม่อ่อนเพลียมาก ซีด ไม่มีแรง หน้ามืด จนต้องพาไปรพ.หมอบอกแม่ซีดมาก ขาดธาตุเหล็ก เลือดจาง เลยต้องให้น้ำเกลือ และได้ให้ธาตุเหล็กและวิตามินมาทาน
กพ.-พค.64 สรรหาแพทย์ทางเลือก
ช่วงนี้เป็นช่วงมืดแปดด้าน เห็นแม่อาการอ่อนแรงลงแต่ทำไรไม่ได้ เลยฮึดหาตัวช่วยที่เป็นการรักษาแบบแพทย์แผนจีนที่แม่คุ้นเคยเพื่อให้มีกำลังใจ แม่ลองรักษากับหมอแมะที่นึงแถวบางบัวทองอยู่สองเดือน แต่ไม่ดีขึ้น
เดือนพค.แม่เริ่มโมโหว่าหมอไม่เก่ง และบอกให้เราพาไปรพ.หัวเฉียวแผนจีนแทนวันนั้นเลย
นี่อาจจะเป็นโชคของแม่ เพราะหมอที่รักษาแม่วันนั้นเป็นหมอชาวจีนที่เก่งมาก ทำให้ระบบย่อยของแม่ดีขึ้น พอจะกินได้ ถ่ายได้ จากต้องกินแต่ข้าวบด แม่เริ่มกลับมากินข้าวต้มและข้าวสวยปกติได้แม้จะกินได้น้อยก้อเถอะ
พอมาคิดดู ตั้งแต่แม่รู้ว่าป่วย แม่ไม่ค่อยมีทุกข์ทรมานมาก สาเหตุนึงอาจเพราะแม่เชื่อว่าตัวเองไม่ได้เป็นมะเร็ง (จากวันที่ตรวจเจอแม่อยู่ได้ประมาณปีนึง)จึงไม่ได้เครียดมากนัก และแม่ยังชอบสวดมนต์ เข้าวัดทำบุญ ทำให้ปลงได้บ้าง
ส่วนร่างกายจะมีก้อแค่กินไม่ค่อยลง โดยรวมแล้วตั้งแต่รู้ว่าป่วย แม่ค่อนข้างปกติเพราะนอนหลับได้ดีทั้งกลางวันและกลางคืน
เดือน พค.พวกเราได้ฉลองวันเกิดแม่ เช้าทำสังฆทานและตอนสายทำสุกี้กินกันที่บ้าน ใจนึงเรามีความสุขที่ได้ฉลองวันเกิดแม่แต่อีกใจก้อกลัวว่าแม่อายุครบ81ปีแล้ว จะอยู่กับเราได้อีกนานมั้ย
ภาวะสับสนของผู้ป่วยระยะท้าย
พอเข้าเดือน มิย.สังเกตุแม่เริ่มฝันแปลกๆบ่อยขึ้น และเริ่มมีอาการขยับมือไปมาขณะหลับเหมือนคนละเมอ ต่อมาตอนกลางคืนเริ่มสับสน ตื่นกลางดึกแล้ว เห็นภาพหลอน เช่น เห็นคนเดินเข้ามาในห้องนอน มีทั้งแม่อุ้มลูกเล็ก คนนุ่งชุดขาว เห็นพระ เป็นทุกคืนจนคนในบ้านเริ่มเครียด แม้แม่จะไม่เห็นภาพใครที่น่ากลัวแต่ก้อเครียดที่มีคนเข้ามาในบ้าน เพราะห่วงความปลอดภัยคนในบ้านและกลัวเข้ามาขโมยของ เคยถามแม่ว่าเค้าคุยกันมั้ยแม่บอกไม่คุยไรกัน และเป็นคนเดิมมาให้เห็นบ่อยๆแต่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
เราเริ่มศึกษาข้อมูลพบว่านี่เป็นอาการสับสนในผู้ป่วยระยะท้าย (Delirium) ซึ่งเป็นได้จากหลายสาเหตุ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียมในเลือดไม่สมดุลย์,โรคทางสมอง,ภาวะติดเชื้อในร่างกาย
ซึ่งมักมีอาการตอนกลางคืน คุณหมอเลยให้ยาQuetiapine(Seroquel) 25 mg(ยานี้รักษาผู้ป่วยไบโพล่าร์ด้วย)มาทาน ยามีฤทธิ์ทำให้ง่วงเลยหลับได้บ้างแต่ถ้ากลางวันนอนเยอะกลางคืน ยาก้อเอาไม่อยู่ บางคืนไม่ได้นอนเลย มัวแต่คอยจ้องดูคน(ที่แม่เห็นว่า)เข้ามาในบ้าน
อาการช่วงนี้มีความสำคัญมาก ทำให้ร่างกายและจิตใจแม่แย่ลงเพราะนอนไม่พอ เครียดและยิ่งถ้าคนในครอบครัวไม่เข้าใจ ยืนยันว่าสิ่งที่แม่เห็นไม่มีจริง แม่จะน้อยใจ บางทีโกรธจนไม่อยากคุยด้วย คุณหมอแนะนำว่า จิตวิทยาในการพูดกับคนป่วยสำคัญมากในช่วงนี้ ไม่ควรเอาแต่ปฏิเสธผู้ป่วยแต่ให้ถามแบบรับฟังเพื่อให้คนป่วยได้ระบายจะดีกว่า
มะเร็งลำไส้ ประสบการณ์ดูแล รักษาแบบประคับประคอง (ตอนที่1)
ปี64นี้แม่มีอายุ81ปี มีโรคประจำตัวคือ หัวใจโตเล็กน้อย ความดันสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคที่เป็นมาตั้งแต่สาวๆคือโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน ท้องผูก ด้วยความที่มีเชื้อสายจีนจึงคุ้นกับการรักษาแบบหมอแผนจีนกินยาต้มมาตลอด
ปลายปี62 เริ่มผิดปกติ
ปกติแม่จะมีอาการโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน ท้องผูกเป็นประจำ แต่คราวนี้มักบ่นเรื่อง อึลีบเล็ก เป็นก้อนแข็ง ท้องอืดแน่น สังเกตุเห็นแม่เหนื่อยง่ายขึ้น ตอนกลางวันมักบ่นง่วงจนต้องนอนพัก
ต้นปี63 แม่เริ่มมีอาการผิดปกติมากขึ้น ผะอืดผะอม กินไม่ค่อยลง ปากเปรี้ยว ท้องผูก และง่วงนอน เพลียต้องนอนพักกลางวันทุกวัน ช่วงนี้ขาเริ่มเดินไม่คล่อง อาจเพราะอายุมากด้วย เลยไปไหนคนเดียวไม่ได้เหมือนก่อน (ปกติจะชอบไปซื้อของที่เยาวราชคนเดียวไม่บอกใคร)
แม่พยายามหาหมอจีนที่เคยรักษาโรคกระเพาะแล้วหายมาตลอด แต่คราวนี้หาหมอหลายครั้งอาการก้อไม่ดีขึ้น ดูแม่กลุ้มมาก เลยบอกให้ลองไปเช็คที่ รพ.ดูเผื่อมีเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะ เพราะมีอาการคล้ายกับที่หลานสาวเป็นอยู่ (เชื้อแบคทีเรียในกระเพาะ H.Pylori) แม่เลยยอมไปตรวจ
(ปกติแม่จะไม่ยอมไปหาหมอ รพ. เพราะ4ปีก่อนเคยเข้าICU เนื่องจากความดันสูง200กว่าจนเพ้อหนักขยับตัวไม่ได้ อยู่รพ.สามคืนอยากกลับบ้านแต่หมอไม่ให้กลับ สุดท้ายฝืนคำสั่งหมอ กลับมาบ้านทั้งที่ความดันเกิน200แล้วอาการป่วยก้อดีขึ้น)
สค.63 เผชิญข่าวร้าย
พาแม่มาตรวจ รพ.เอกชนใกล้บ้าน หมอตรวจโดยคลำท้องสักพัก รีบสั่งให้ทำct scanทันที ผลออกมามีก้อนมะเร็งลำไส้ขนาด3ซม.กว่าอยู่ตรงลำไส้ใหญ่ส่วนต้นตรงที่ต่อมาจากลำไส้เล็ก(ascending colon)และกระจายไปต่อมน้ำเหลือง ช่องท้องและมีก้อนเล็กๆที่จุดอื่นด้วย หมอแนะนำให้รีบผ่าตัดพร้อมกระซิบเราว่าให้คุยกับทางบ้านให้เตรียมทำใจกันไว้ด้วย พอได้ยิน เรารู้สึกช็อคเหมือนโลกกะลังหยุดหมุน ตัวชาไม่คิดว่าแม่จะเป็นหนักขนาดนี้
เรากระซิบบอกหมอว่าอย่าเพิ่งบอกแม่เพราะกลัวว่าจะรับไม่ได้ หมอเลยบอกแม่ว่าตรวจเจอก้อนเนื้อในท้องแต่ไม่ใช่เนื้อร้าย ให้รีบรักษา
ลองคิดดู แม่อายุเยอะแล้ว ร่างกายไม่น่าจะรับการผ่าตัดใหญ่ไหว เลยถามหมอถึงความเสี่ยงในการผ่าตัด หมอบอกคนมีอายุมีความเสี่ยงแน่นอน บางรายผ่าไปเดือนนึงแล้วเสียชีวิตก้อมี ถามว่าถ้าปล่อยไว้อยู่ได้นานแค่ไหน หมอบอกไม่แน่แต่น่าจะไม่ถึงปี
ทีนี้พอคุยเรื่องผ่าตัด หมอบอกจุดที่แม่เป็นมีความยากคือก้อนมะเร็งนั้นอยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ตรงส่วนต่อจากลำไส้เล็ก หมอเลยแนะนำให้ไปปรึกษาอาจารย์ของหมอที่ รร.แพทย์ซึ่งพร้อมกว่าด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางหลายด้าน
อาทิตย์ถัดมาได้ไปหาอาจารย์หมอที่แนะนำมา หมอดูผลสแกนแล้วนัดส่องกล้องอีกเดือนนึง(นี่คือเร็วสุดแล้ว)
ขอตัวช่วย..พลังบุญและกำลังใจจากหลวงพ่อ
ช่วงที่รอนี้ ตัดสินใจชวนที่บ้านขับรถไปตจว.กราบหลวงพ่อที่เราศรัทธาเพื่อให้แม่มีกำลังใจ ดีกว่าปล่อยเวลาไปเปล่าๆ คิดเสมอว่าเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้ไม่รู้แต่ขอให้แม่สะสมกุศลไว้ก่อน และถือเป็นโอกาสดีที่ได้พาทั้งพ่อ พี่สาวและหลานๆไปกราบท่านและยังได้เปลี่ยนบรรยากาศไป ตจว.ด้วยกันในครอบครัวเป็นครั้งแรก ก่อนนี้เคยชวนไปกี่ครั้งไม่เคยสำเร็จพ่อแม่เพราะประหยัดกันมากเนื่องจากตอนเด็กยากจน ลำบากมากกว่าจะลืมตาอ้าปาก หาเงินให้ครอบครัวสบายได้ ตอนนี้พอแก่ตัวก้อยังไม่กล้าใช้เงินเพราะคิดแต่ว่ายังมีหนี้ธนาคารที่กู้มาทำธุรกิจอยู่
คุณแม่ถวายสังฆทานให้หลวงพ่อ ท่านได้เมตตาให้กำลังใจพูดคุยอยู่นานและให้พรแม่มากมายและบอกว่าแม่เป็นคนดี มีบุญเยอะ พร้อมกำชับให้ลูกๆทำอาหารพวกไข่ขาวให้ท่านทานด้วย
น่าแปลกที่หลังจากที่ไปตรวจCT Scan กลับมาคราวนั้น แม่บอกรู้สึกพอกินข้าวได้รสชาติและท้องกลับมาทำงานดีขึ้น (รึจะเป็นเพราะบุญที่เราได้พาแม่และที่บ้านไปกราบหลวงพ่อก้ออาจเป็นได้ ขอขอบพระคุณท่านที่เมตตาแม่มาณ ที่นี้ด้วย)
ส่องกล้องทางทวาร
ก่อนถึงวันนัดสองวัน หมอให้ยาถ่ายแม่มากินไว้ก่อนเพื่อทำความสะอาดลำไส้ก่อนส่องกล้องทางทวาร
เห็นว่าสูงอายุก่อนวันส่องกล้อง หมอเลยให้มานอน รพ.1คืนก่อน หลังให้ยาถ่ายหลายครั้ง หมอมาเช็คแล้วบอกยังไม่สะอาดพอให้กินยาให้ถ่ายอีก เห็นแล้วสงสารแม่ กินอะไรไม่ค่อยลงอยู่แล้วยังต้องพยายามถ่ายเพื่อล้างท้องอีก
วันส่องกล้อง อ.หมอมอบหน้าที่ให้ทีมแพทย์ทำการวางยาสลบและส่องกล้อง ผลปรากฏว่ามีก้อนมะเร็งขนาด3-5ซม.และมีติ่งเนื้อ(polyp)ที่หมอตัดออกมาอีก13ชิ้น หลังจากนั้นอ.หมอให้รังสีแพทย์มาคุยเพื่อเตรียมทำคีโม12ครั้งแต่ไม่ได้ให้ข้อมูลว่าต่อจากนั้นควรผ่าตัดหรือยังไงต่อ พอถามกลับไป อ.หมอฝากบอกมาว่าไม่ต้องผ่าตัดแต่ไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ
ที่บ้านจึงปรึกษากันว่าร่างกายแม่ไม่พร้อมรับคีโมหรือการผ่าตัดใหญ่แน่ ส่วนตัวคิดว่าแม่น่าจะเป็นระยะท้ายแล้วต่อให้ผ่าตัดหรือทำคีโมคงไม่หาย และแม่เองก้อไม่อยากทำคีโม สรุปจึงปฏิเสธและตัดสินใจเลือกรักษาแบบประคับประคองที่บ้าน(palliative care)แทน
หาทางเลือก...ทางรอด
ตอนนี้ใครแนะว่าอะไรดีถ้าดูไม่อันตรายเข้ากับแม่ได้เราลองหมด น้ำมันกัญชา ยาหมอแสง น้ำผักผลไม้สกัด ....
หลังจากรู้ว่าแม่ป่วย เราพยายามต้มน้ำRCชีวจิต, ซื้อเครื่องสกัดน้ำผักผลไม้มาสกัดจิงจูฉ่าย แครอท แอปเปิ้ล ฝรั่ง สูตรที่ใครว่าดี ให้แม่กินทุกวัน แต่ร่างกายคนป่วยแต่ละคนมีข้อจำกัด เช่น ของแม่กระเพาะจะอ่อนแอ กินน้ำผักผลไม้แล้วฤทธิ์เย็นเกินไปท้องไม่ย่อย ยิ่งพะอืดพะอม จึงต้องหยุด
ปรับเปลี่ยนอาหารยังไงดีสำหรับคนป่วยมะเร็ง
แม้เราจะได้ยินมาตลอดว่าคนป่วยมะเร็งให้งดของหมักดอง ห้ามกินเนื้อสัตว์ โรคลำไส้ห้ามกินเผ็ด ห้ามรสจัด ของทอด...
ทีแรกให้งดเนื้อสัตว์และผักดอง(ตอนเช้าผักดองกับข้าวต้มของโปรดแม่เลย)ให้กินข้าวกล้อง ธัญพืช... แม่กินไม่ลงอยู่แล้วยิ่งพะอืดพะอม พวกเราเลยคุยกันกับแม่ว่า ถ้าอยากกินอาหารที่ควรเลี่ยง ให้กินนิดหน่อย จะได้ไม่เครียดมาก สรุปเราจึงตกลงว่าขอยึดเอาร่างกายและจิตใจแม่เป็นสำคัญดีกว่า แม่เองก้อพยายามเลี่ยงเท่าที่ทำได้อยู่แล้ว
ปลายปี63 เราได้เข้าปรึกษาศูนย์บริรักษ์ ศิริราช เพื่อขอความรู้ในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองที่บ้าน ทางศูนย์ได้พูดคุย เช็คอาการทางกายและจิตใจ พร้อมทั้งให้ยาที่จำเป็น ให้ความรู้ตอบคำถามญาติถึงการดูแลคนป่วยที่บ้าน ทางศูนย์ยังมีบริการโทรมาสอบถามอาการแม่เป็นระยะ
หมอไม่สนับสนุนให้กินยาจีน ยาหมอแสงหรือน้ำมันกัญชา โดยให้เหตุผลว่าไม่มีการวิจัยรองรับที่เห็นผลชัดเจน แต่ก้อไม่ห้าม แต่เรามองว่าคนป่วยยังไงก้อต้องการที่พึ่งทางใจ เลยยังคงให้กินสมุนไพรทางเลือกไปตามเดิม ปัญหาแม่ช่วงนี้จะเป็นเรื่องท้องผูก และกินไม่ค่อยลง หมอจึงให้ยาถ่ายมาทำให้พอถ่ายได้
ครอบครัวเราคิดกันว่าเราจะรักษาแม่แบบประคับประคอง แต่หากต้องตรวจร่างกายหรือฉุกเฉิน คงต้องพาแม่ไป รพ.เอกชนแถวบ้านที่แม่มีประวัติอยู่เพราะหากพาไป รพ.ศิริราช แม่คงไปนั่งรอคิว รอตรวจไม่ไหวแน่ๆ
เดือน พย.ลางบอกเหตุ
พี่สาวที่แต่งงานไปอยู่ออสเตรเลียเป็นห่วงแม่มาก ยิ่งช่วงโควิดระบาดทำให้ไม่ได้กลับบ้านมาสองปีกว่าพอรู้ข่าวแม่ป่วยยิ่งกังวลใจ
พอเข้าเดือนพย.วันนึงจู่ๆ fbของพี่สาวก้อปรากฎรูปฝนตกเป็นภาพขาวดำ และขึ้นเลข 81โดยที่พี่สาวไม่ได้เข้าไปโพสต์อะไรเลยในวันนั้น พี่สาวเขียนมาถามว่าตอนนี้แม่อายุ80ใช่มั้ย เราบอกใช่ แต่พอเห็นแล้วเราก้ออดคิดไม่ได้ว่านี่อาจเป็นลางบอกเหตุว่าแม่จะไปตอนอายุ81แต่ก้อไม่ได้บอกใครให้เป็นกังวล
พอผ่านตรุษจีนปี64 แม่กลับมาพะอืดพะอมมากขึ้น ปากเปรี้ยว ท้องผูก กินอะไรแทบไม่ลง ผอมแห้ง เพลียนอนทั้งกลางวันกลางคืน
ช่วงนึง แม่อ่อนเพลียมาก ซีด ไม่มีแรง หน้ามืด จนต้องพาไปรพ.หมอบอกแม่ซีดมาก ขาดธาตุเหล็ก เลือดจาง เลยต้องให้น้ำเกลือ และได้ให้ธาตุเหล็กและวิตามินมาทาน
กพ.-พค.64 สรรหาแพทย์ทางเลือก
ช่วงนี้เป็นช่วงมืดแปดด้าน เห็นแม่อาการอ่อนแรงลงแต่ทำไรไม่ได้ เลยฮึดหาตัวช่วยที่เป็นการรักษาแบบแพทย์แผนจีนที่แม่คุ้นเคยเพื่อให้มีกำลังใจ แม่ลองรักษากับหมอแมะที่นึงแถวบางบัวทองอยู่สองเดือน แต่ไม่ดีขึ้น
เดือนพค.แม่เริ่มโมโหว่าหมอไม่เก่ง และบอกให้เราพาไปรพ.หัวเฉียวแผนจีนแทนวันนั้นเลย
นี่อาจจะเป็นโชคของแม่ เพราะหมอที่รักษาแม่วันนั้นเป็นหมอชาวจีนที่เก่งมาก ทำให้ระบบย่อยของแม่ดีขึ้น พอจะกินได้ ถ่ายได้ จากต้องกินแต่ข้าวบด แม่เริ่มกลับมากินข้าวต้มและข้าวสวยปกติได้แม้จะกินได้น้อยก้อเถอะ
พอมาคิดดู ตั้งแต่แม่รู้ว่าป่วย แม่ไม่ค่อยมีทุกข์ทรมานมาก สาเหตุนึงอาจเพราะแม่เชื่อว่าตัวเองไม่ได้เป็นมะเร็ง (จากวันที่ตรวจเจอแม่อยู่ได้ประมาณปีนึง)จึงไม่ได้เครียดมากนัก และแม่ยังชอบสวดมนต์ เข้าวัดทำบุญ ทำให้ปลงได้บ้าง
ส่วนร่างกายจะมีก้อแค่กินไม่ค่อยลง โดยรวมแล้วตั้งแต่รู้ว่าป่วย แม่ค่อนข้างปกติเพราะนอนหลับได้ดีทั้งกลางวันและกลางคืน
เดือน พค.พวกเราได้ฉลองวันเกิดแม่ เช้าทำสังฆทานและตอนสายทำสุกี้กินกันที่บ้าน ใจนึงเรามีความสุขที่ได้ฉลองวันเกิดแม่แต่อีกใจก้อกลัวว่าแม่อายุครบ81ปีแล้ว จะอยู่กับเราได้อีกนานมั้ย
ภาวะสับสนของผู้ป่วยระยะท้าย
พอเข้าเดือน มิย.สังเกตุแม่เริ่มฝันแปลกๆบ่อยขึ้น และเริ่มมีอาการขยับมือไปมาขณะหลับเหมือนคนละเมอ ต่อมาตอนกลางคืนเริ่มสับสน ตื่นกลางดึกแล้ว เห็นภาพหลอน เช่น เห็นคนเดินเข้ามาในห้องนอน มีทั้งแม่อุ้มลูกเล็ก คนนุ่งชุดขาว เห็นพระ เป็นทุกคืนจนคนในบ้านเริ่มเครียด แม้แม่จะไม่เห็นภาพใครที่น่ากลัวแต่ก้อเครียดที่มีคนเข้ามาในบ้าน เพราะห่วงความปลอดภัยคนในบ้านและกลัวเข้ามาขโมยของ เคยถามแม่ว่าเค้าคุยกันมั้ยแม่บอกไม่คุยไรกัน และเป็นคนเดิมมาให้เห็นบ่อยๆแต่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
เราเริ่มศึกษาข้อมูลพบว่านี่เป็นอาการสับสนในผู้ป่วยระยะท้าย (Delirium) ซึ่งเป็นได้จากหลายสาเหตุ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียมในเลือดไม่สมดุลย์,โรคทางสมอง,ภาวะติดเชื้อในร่างกาย
ซึ่งมักมีอาการตอนกลางคืน คุณหมอเลยให้ยาQuetiapine(Seroquel) 25 mg(ยานี้รักษาผู้ป่วยไบโพล่าร์ด้วย)มาทาน ยามีฤทธิ์ทำให้ง่วงเลยหลับได้บ้างแต่ถ้ากลางวันนอนเยอะกลางคืน ยาก้อเอาไม่อยู่ บางคืนไม่ได้นอนเลย มัวแต่คอยจ้องดูคน(ที่แม่เห็นว่า)เข้ามาในบ้าน
อาการช่วงนี้มีความสำคัญมาก ทำให้ร่างกายและจิตใจแม่แย่ลงเพราะนอนไม่พอ เครียดและยิ่งถ้าคนในครอบครัวไม่เข้าใจ ยืนยันว่าสิ่งที่แม่เห็นไม่มีจริง แม่จะน้อยใจ บางทีโกรธจนไม่อยากคุยด้วย คุณหมอแนะนำว่า จิตวิทยาในการพูดกับคนป่วยสำคัญมากในช่วงนี้ ไม่ควรเอาแต่ปฏิเสธผู้ป่วยแต่ให้ถามแบบรับฟังเพื่อให้คนป่วยได้ระบายจะดีกว่า