ภิกษุ ท. ! เราจักแสดง จักจำแนก ซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์แปด) แก่เธอทั้งหลาย.
เธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์
เราจักกล่าว.
ภิกษุ ท. ! อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์แปด)
เป็นอย่างไรเล่า ?
อริยอัฏฐังคิกมรรค ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เป็อย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ความรู้อันใดเป็นความรู้ในทุกข์ เป็นความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นความรู้ในความดับแห่งทุกข์ เป็นความรู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์. ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) เป็นอย่างไรเล่า ?
คือ ความดำริในการออกจากกาม ความดำริในการไม่มุ่งร้าย ความดำริในการไม่เบียดเบียน.
ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสังกัปปะ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ) เป็นอย่างไรเล่า ? คือ เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดไม่จริง เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดส่อเสียด เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดหยาบ เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ. ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาวาจา.
ภิกษุ ท. ! สัมมากัมมันตะ (การทำการงานชอบ)
เป็นอย่างไรเล่า ? คือ เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฆ่า
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้
ให้แล้ว เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดใน
กาม. ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมากัมมันตะ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! สาวกของพระอริยเจ้า
ในกรณีนี้ ละการหาเลี้ยงชีวิตที่ผิดเสีย ย่อมสำเร็จความ
เป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตที่ชอบ. ภิกษุ ท. ! อันนี้เรา
กล่าวว่า สัมมาอาชีวะ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ)
เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมทำ
ความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายามปรารภความเพียร ย่อม
ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะยังอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่ยังไม่
เกิดไม่ให้เกิดขึ้น ; ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อม
พยายามปรารภความเพียร ย่อมประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะ
ละอกุศลธรรม อันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว ; ย่อมทำความ
พอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายามปรารภความเพียร ย่อม
ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไมเ่ กิดให้
เกิดขึ้น ; ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายาม
ปรารภความเพียร ย่อมประคองตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งอยู่
ความไม่เลอะเลือน ความงอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย์
ความเจริญ ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว.
ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาวายามะ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาสติ (ความระลึกชอบ)
เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเป็นผู้
พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่อง
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความ
ไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ; ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็น
เวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่อง
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความ
ไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ; ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นจิต
ในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มี
สัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจใน
โลกออกเสียได้ ; ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรม
ทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่องเผากิเลสมี
สัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจใน
โลกออกเสียได้. ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสติ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ)
เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจาก
กามทั้งหลาย สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึง
ปฐมฌาน อันมีวิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก
แล้วแลอยู่ ; เพราะความที่วิตก วิจารทั้งสองระงับลง
เข้าถึงทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้
สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่
ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่ ; อนึ่ง เพราะ
ความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและ
สัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย ชนิดที่
พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้อยู่
อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ เข้าถึงตติยฌาน แล้ว
แลอยู่ ; เพราะละสุข และทุกข์เสียได้ เพราะความดับไป
แห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน เข้าถึง
จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็น
ธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสมาธิ.
----------------------
- มหาวาร.สํ. ๑๙/๑๐ - ๑๒/๓๓-๔๑.
ทางแห่งความสิ้นกรรม
เธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์
เราจักกล่าว.
ภิกษุ ท. ! อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์แปด)
เป็นอย่างไรเล่า ?
อริยอัฏฐังคิกมรรค ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เป็อย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ความรู้อันใดเป็นความรู้ในทุกข์ เป็นความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นความรู้ในความดับแห่งทุกข์ เป็นความรู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์. ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) เป็นอย่างไรเล่า ?
คือ ความดำริในการออกจากกาม ความดำริในการไม่มุ่งร้าย ความดำริในการไม่เบียดเบียน.
ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสังกัปปะ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ) เป็นอย่างไรเล่า ? คือ เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดไม่จริง เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดส่อเสียด เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดหยาบ เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ. ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาวาจา.
ภิกษุ ท. ! สัมมากัมมันตะ (การทำการงานชอบ)
เป็นอย่างไรเล่า ? คือ เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฆ่า
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้
ให้แล้ว เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดใน
กาม. ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมากัมมันตะ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! สาวกของพระอริยเจ้า
ในกรณีนี้ ละการหาเลี้ยงชีวิตที่ผิดเสีย ย่อมสำเร็จความ
เป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตที่ชอบ. ภิกษุ ท. ! อันนี้เรา
กล่าวว่า สัมมาอาชีวะ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ)
เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมทำ
ความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายามปรารภความเพียร ย่อม
ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะยังอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่ยังไม่
เกิดไม่ให้เกิดขึ้น ; ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อม
พยายามปรารภความเพียร ย่อมประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะ
ละอกุศลธรรม อันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว ; ย่อมทำความ
พอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายามปรารภความเพียร ย่อม
ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไมเ่ กิดให้
เกิดขึ้น ; ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายาม
ปรารภความเพียร ย่อมประคองตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งอยู่
ความไม่เลอะเลือน ความงอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย์
ความเจริญ ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว.
ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาวายามะ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาสติ (ความระลึกชอบ)
เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเป็นผู้
พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่อง
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความ
ไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ; ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็น
เวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่อง
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความ
ไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ; ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นจิต
ในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มี
สัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจใน
โลกออกเสียได้ ; ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรม
ทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่องเผากิเลสมี
สัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจใน
โลกออกเสียได้. ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสติ.
ภิกษุ ท. ! สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ)
เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจาก
กามทั้งหลาย สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึง
ปฐมฌาน อันมีวิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก
แล้วแลอยู่ ; เพราะความที่วิตก วิจารทั้งสองระงับลง
เข้าถึงทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้
สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่
ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่ ; อนึ่ง เพราะ
ความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและ
สัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย ชนิดที่
พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้อยู่
อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ เข้าถึงตติยฌาน แล้ว
แลอยู่ ; เพราะละสุข และทุกข์เสียได้ เพราะความดับไป
แห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน เข้าถึง
จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็น
ธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสมาธิ.
----------------------
- มหาวาร.สํ. ๑๙/๑๐ - ๑๒/๓๓-๔๑.