“มันลิเคอร์” มีลักษณะเฉพาะตัวที่สังเกตได้ง่าย ก้านลูกเลื่อนแบบ “ด้ามมีด” ไม่เป็นตุ่มกลมเหมือนยี่ห้ออื่น มีชื่อเสียงที่ทำงานป้อนกระสุนเรียบลื่น นุ่มนวลกว่าคู่แข่งร่วมสมัย
ปืนยาวแบบลูกเลื่อนยี่ห้อ “มันลิเคอร์” (Mannlicher) จากออสเตรีย มีลักษณะเฉพาะตัวที่สังเกตได้ง่ายตรงก้านลูกเลื่อนแบบ “ด้ามมีด” ไม่เป็นตุ่มกลมเหมือนยี่ห้ออื่น มีชื่อเสียงว่าการทำงานป้อนกระสุนเรียบลื่น นุ่มนวลกว่าคู่แข่งร่วมสมัยจากเยอรมัน คือ เมาเซอร์ 98 ที่เน้นความแข็งแรงบึกบึน ปืนมันลิเคอร์รูปแบบที่ได้รับความนิยมอย่างสูง คือรุ่นลำกล้องสั้น กระโจมมือยาวตลอดถึงปลายลำกล้อง เริ่มผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1903 ใช้ชื่อ “มันลิเคอร์-ชนาวเออร์” (Mannlicher-Schoenauer) ซึ่งเป็นชื่อของวิศวกรคู่คิด โดยมันลิเคอร์ออกแบบตัวลูกเลื่อน และชนาวเออร์ออกแบบซองกระสุนโรตารี ปืนมันลิเคอร์-ชนาวเออร์ เลิกผลิตไปในปีค.ศ. 1973
สำหรับปืน สไตเออร์ มันลิเคอร์ (Steyr-Mannlicher) เริ่มผลิตในปีค.ศ. 1969 ใช้ลูกเลื่อนใหม่เป็นแบบขัดกลอนด้านหลัง ปีกลูกเลื่อนสามแถวช่วยให้มุมปลดกลอนแคบ ก้านลูกเลื่อนไม่ต้องยกขึ้นสูง ติดตั้งกล้องเล็งสะดวกกว่า และขึ้นลำป้อนกระสุนได้เร็วกว่าแบบที่ต้องยกก้านสูง ก้านลูกเลื่อนยังคงแบบด้าม มีด และใช้ซองกระสุนโรตารีเหมือนเดิม มีจุดเด่นสะดุดตาคือลำกล้องที่ผิวนอกเป็นเกลียว ซึ่งเป็นผลจากกรรมวิธีผลิตลำกล้องแบบทุบเย็น (Cold Hammer-forge) ที่ สไตเออร์ ทิ้งร่องรอยการทุบไว้เป็นจุดขาย เพียงขัดผิวให้เงา ไม่กลึงเรียบเหมือนลำกล้องปืนทั่วไป ปืนสไตเออร์-มันลิเคอร์ มีความยาวลูกเลื่อนสี่ระดับ ตั้งแต่สั้นสุดคือ โมเดล SL ใช้กับกระสุนปลอกสั้นเช่น .223, โมเดล L รับกระสุนในชั้น .308, โมเดล M สำหรับ .30-06 และยาวสุดคือโมเดล S รับลูกแม็กนั่มปลอกยาว เช่น .375 H&H เป็นต้น น่าสังเกตว่า รหัสอักษร L-M-S ไม่ได้มาจากความยาวของลูกเลื่อน (Long, Medium, Short) แต่น่าจะมาจาก ความแรงของกระสุน มากกว่าจะเห็นได้ว่า สไตเออร์ ทำโมเดล M ในขนาดกระสุน .30-06 เพื่อจับตลาดอเมริ กันโดยเฉพาะ กระสุนขนาดนี้เริ่มใช้ในปืนทหารของสหรัฐยุคก่อนสงคราม โลกครั้งที่หนึ่ง คือปืนลูกเลื่อน Springfield ตัวเลข 06 มาจากปีที่เข้าประจำการ ค.ศ.1906 แม้ต่อมาจะพัฒนาตัวปืนเป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ คือ M1 Garand ที่บ้านเราเรียกว่า “ปลยบ.88” ก็ยังใช้กระสุนเดิม มาเปลี่ยนเป็น .308 (คือ 7.62 NATO) ที่ปลอกสั้นกว่าเมื่อพัฒนาปืน M1A และ M14 ที่เข้าประจำการในปีค.ศ. 1959
หลังปลดประจำการ กระสุนขนาด .30-06 ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดปืนเอกชนสหรัฐ ส่วนหนึ่งมาจากปลอกกระสุนจำนวนมหาศาล หาซื้อง่ายราคาไม่แพง นักนิยมปืนสหรัฐส่วนใหญ่อัดกระสุนเองได้ไม่มีกฎหมายห้าม ปลอกทองเหลืองของ .30-06 เมื่อยิงในปืนแบบลูกเลื่อนที่ขัดกลอนตายตัว สามารถอัดซ้ำได้กว่าสิบครั้ง มีหัวกระสุนให้เลือกได้ตั้งแต่ 110 เกรน สำหรับสัตว์ขนาดสุนัขจิ้งจอก ไปจนถึงหนักสุด 220 เกรน สำหรับกวางมูสและหมีใหญ่ กล่าวได้ว่า มีปืนเพียงสามกระบอก คือลูกกรดสำหรับสัตว์เล็ก, ลูกซองสำหรับสัตว์ปีก และไรเฟิล .30-06 สำหรับสัตว์อื่นทุกชนิด ก็จะครอบคลุมการล่าสัตว์ทั่วอเมริกาเหนือได้ครบ สำหรับบ้านเรา กระสุนขนาด .30-06 เคยได้รับความนิยมสูงสุดช่วงที่นิยายอมตะ “เพชรพระอุมา” กำลังขายดี ปัจจุบันหาซื้อกระสุนค่อนข้างยาก ราคาอาจจะสูงกว่านัดละ 200 บาท ส่วนปืนสไตเออร์-มันลิเคอร์ โมเดล M ซึ่งเลิกผลิตไปแล้ว ราคาปืนเก่าสภาพดีในสหรัฐประมาณ $1,200 ถึง $1,800 แพงกว่าปืนใหม่ยี่ห้ออเมริกันเกือบเท่าตัว..
https://www.dailynews.co.th/article/626436/
...................................
ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช
สวัสดีครับ
สารานุกรมปืนตอนที่ 963 สไตเออร์-มัลลิเคอร์.30-06 ไรเฟิลมีระดับจากออสเตรีย
ปืนยาวแบบลูกเลื่อนยี่ห้อ “มันลิเคอร์” (Mannlicher) จากออสเตรีย มีลักษณะเฉพาะตัวที่สังเกตได้ง่ายตรงก้านลูกเลื่อนแบบ “ด้ามมีด” ไม่เป็นตุ่มกลมเหมือนยี่ห้ออื่น มีชื่อเสียงว่าการทำงานป้อนกระสุนเรียบลื่น นุ่มนวลกว่าคู่แข่งร่วมสมัยจากเยอรมัน คือ เมาเซอร์ 98 ที่เน้นความแข็งแรงบึกบึน ปืนมันลิเคอร์รูปแบบที่ได้รับความนิยมอย่างสูง คือรุ่นลำกล้องสั้น กระโจมมือยาวตลอดถึงปลายลำกล้อง เริ่มผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1903 ใช้ชื่อ “มันลิเคอร์-ชนาวเออร์” (Mannlicher-Schoenauer) ซึ่งเป็นชื่อของวิศวกรคู่คิด โดยมันลิเคอร์ออกแบบตัวลูกเลื่อน และชนาวเออร์ออกแบบซองกระสุนโรตารี ปืนมันลิเคอร์-ชนาวเออร์ เลิกผลิตไปในปีค.ศ. 1973
สำหรับปืน สไตเออร์ มันลิเคอร์ (Steyr-Mannlicher) เริ่มผลิตในปีค.ศ. 1969 ใช้ลูกเลื่อนใหม่เป็นแบบขัดกลอนด้านหลัง ปีกลูกเลื่อนสามแถวช่วยให้มุมปลดกลอนแคบ ก้านลูกเลื่อนไม่ต้องยกขึ้นสูง ติดตั้งกล้องเล็งสะดวกกว่า และขึ้นลำป้อนกระสุนได้เร็วกว่าแบบที่ต้องยกก้านสูง ก้านลูกเลื่อนยังคงแบบด้าม มีด และใช้ซองกระสุนโรตารีเหมือนเดิม มีจุดเด่นสะดุดตาคือลำกล้องที่ผิวนอกเป็นเกลียว ซึ่งเป็นผลจากกรรมวิธีผลิตลำกล้องแบบทุบเย็น (Cold Hammer-forge) ที่ สไตเออร์ ทิ้งร่องรอยการทุบไว้เป็นจุดขาย เพียงขัดผิวให้เงา ไม่กลึงเรียบเหมือนลำกล้องปืนทั่วไป ปืนสไตเออร์-มันลิเคอร์ มีความยาวลูกเลื่อนสี่ระดับ ตั้งแต่สั้นสุดคือ โมเดล SL ใช้กับกระสุนปลอกสั้นเช่น .223, โมเดล L รับกระสุนในชั้น .308, โมเดล M สำหรับ .30-06 และยาวสุดคือโมเดล S รับลูกแม็กนั่มปลอกยาว เช่น .375 H&H เป็นต้น น่าสังเกตว่า รหัสอักษร L-M-S ไม่ได้มาจากความยาวของลูกเลื่อน (Long, Medium, Short) แต่น่าจะมาจาก ความแรงของกระสุน มากกว่าจะเห็นได้ว่า สไตเออร์ ทำโมเดล M ในขนาดกระสุน .30-06 เพื่อจับตลาดอเมริ กันโดยเฉพาะ กระสุนขนาดนี้เริ่มใช้ในปืนทหารของสหรัฐยุคก่อนสงคราม โลกครั้งที่หนึ่ง คือปืนลูกเลื่อน Springfield ตัวเลข 06 มาจากปีที่เข้าประจำการ ค.ศ.1906 แม้ต่อมาจะพัฒนาตัวปืนเป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ คือ M1 Garand ที่บ้านเราเรียกว่า “ปลยบ.88” ก็ยังใช้กระสุนเดิม มาเปลี่ยนเป็น .308 (คือ 7.62 NATO) ที่ปลอกสั้นกว่าเมื่อพัฒนาปืน M1A และ M14 ที่เข้าประจำการในปีค.ศ. 1959
หลังปลดประจำการ กระสุนขนาด .30-06 ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดปืนเอกชนสหรัฐ ส่วนหนึ่งมาจากปลอกกระสุนจำนวนมหาศาล หาซื้อง่ายราคาไม่แพง นักนิยมปืนสหรัฐส่วนใหญ่อัดกระสุนเองได้ไม่มีกฎหมายห้าม ปลอกทองเหลืองของ .30-06 เมื่อยิงในปืนแบบลูกเลื่อนที่ขัดกลอนตายตัว สามารถอัดซ้ำได้กว่าสิบครั้ง มีหัวกระสุนให้เลือกได้ตั้งแต่ 110 เกรน สำหรับสัตว์ขนาดสุนัขจิ้งจอก ไปจนถึงหนักสุด 220 เกรน สำหรับกวางมูสและหมีใหญ่ กล่าวได้ว่า มีปืนเพียงสามกระบอก คือลูกกรดสำหรับสัตว์เล็ก, ลูกซองสำหรับสัตว์ปีก และไรเฟิล .30-06 สำหรับสัตว์อื่นทุกชนิด ก็จะครอบคลุมการล่าสัตว์ทั่วอเมริกาเหนือได้ครบ สำหรับบ้านเรา กระสุนขนาด .30-06 เคยได้รับความนิยมสูงสุดช่วงที่นิยายอมตะ “เพชรพระอุมา” กำลังขายดี ปัจจุบันหาซื้อกระสุนค่อนข้างยาก ราคาอาจจะสูงกว่านัดละ 200 บาท ส่วนปืนสไตเออร์-มันลิเคอร์ โมเดล M ซึ่งเลิกผลิตไปแล้ว ราคาปืนเก่าสภาพดีในสหรัฐประมาณ $1,200 ถึง $1,800 แพงกว่าปืนใหม่ยี่ห้ออเมริกันเกือบเท่าตัว..
https://www.dailynews.co.th/article/626436/
...................................
ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช