เราเป็นคนหนึ่งที่แตกต่างกับแฟนเรื่องของทั้งฐานะ ครอบครัวมาก เราเคยคิดว่าไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคถ้าเราจะรักใครสักคนหนึ่ง อยากจะใช้ชีวิตร่วมกับเขา สร้างอนาคตไปด้วยกันได้ แต่ว่าควมเชื่อนั้นหมดไป ..
เรากับแฟนคบกันตอนเรียนวิทยลัยแฟนเราเป็นคนฉลาด เรียนเก่งมาก วันนึงเขามีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนเรียนต่างประเทศ3เดือน เขากังวลมากเพราะเขาต้องพยายามด้วยตัวเองหมายถึงเรื่องการดำเนินเรื่อง เขากังวลว่าจะสามารถไปได้รึเปล่า จะผ่านไหม ทางครอบครัวพร้อมซับพอทอยู่แล้วแค่ขอให้เขาเดินเรื่องผ่าน เราก็ให้กำลังใจเขาว่าเขาเก่งเขาต้องทำได้แน่ๆ เขาลังเลอยู่นานก็ตัดสินใจเดินเรื่องต่อจนผ่าน เขาได้ไปแลกเปลี่ยน3เดือน ช่วงนั้นเราคุยกันทุกวัน เขาทำให้เรามั่นใจมากว่าเขาจะไม่นอกใจเราไม่เคยต้องตามอะไรเลย เราทั้งคู่มีความสุขการไปแลกเปลี่ยนของเขาครั้งนั้น เราให้กำลังใจเขา คุยกับเขาปรึกษาเรื่องการใช้ชีวิตที่ประเทศนั้น เราภูมิใจในตัวเขามากจริงๆ เขากลับมาความสัมพันธ์ของเราดูเหมือนจะดีขึ้นด้วยซ้ำ เพราะการที่เราไกลกันมากๆ เราผ่านช่วงนั้นไปได้ยังดี เขาพูดเรื่องเรากับครอบครัว มั่นใจแล้วดูเหมือนเรื่องจะดีมากๆ แต่ว่า ..
ความคิดทัศนคติของเขาในเรื่องการใช้ชีวิต การเรียนก็เปลี่ยนไป ตอนแรกเราสนับสนุนเขามากนะที่เขาตัดสินใจไปเริ่มเรียนปริญญาใหม่ที่ต่างประเทศแต่ครั้งนี้เขาจะไปนานใช้เวลา4-5ปีเลย ด้วยความเรามั่นใจมากๆเราสนับสนุนเขาเต็มที่ เขาเดินตามทางของเขา แล้วชวนเราไปด้วย แต่เราไม่ได้เก่งไม่ได้มีใครซับพอทเราไปเหมือนเขา เราก็อยากไปอยู่ข้างๆเขานะ เราหาวิธีมากมายที่ขะไปด้วย ทั้งเป็นแนนนี่ เรียนด้วยทำงานด้วย ตอนนั้นมีไฟมากเพราะเรียนจบมีงานทำแล้ว แต่ต้องใช้เงินเยอะซึ่งเราก็ต้องเก็บตังค์กว่าจะได้ตามเขาไปยากมากเลย และเรามีต้องจ่ายหนี้ค่าเรียนด้วย อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ตามไป
วันที่เขาไปเราไปส่งเขาที่สนามบินกับครอบครัวเขา กอดสุดท้ายแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว แต่มั่นใจตั้งใจสนับสนุนเขาเต็มที่จึงไม่อยากร้องไห้ มองเขาเดินไปขึ้นเครื่อง และก็ได้คุยกันอีกทีตอนเขาถึง ช่วงแรกเขาเหนื่อยมากคนไทยไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวต้องเดินเรื่องเองเรื่องงาน เรื่องเรียน เขาตั้งใจทำงานไปด้วยเรียนด้วย เราเริ่มคุยน้อยลง เราเข้าใจเขานะเขาเหนื่อยเขาเพลียยุ่งจนไม่มีเวลา จนเริ่มห่าง เราก็กลัวตอนนั้นคิดมากไปหมด ไม่เหมือนกับที่เขาไปสามเดือนแลกเปลี่ยน ไม่มีความมั่นใจใดๆเลย เรากลัวมากและร้องไห้ คุยแล้วงอลกันมากขึ้น
จุดเปลี่ยนมากในชีวิตอีกครั้งเขาโทรมาจากที่ไม่ได้คุยกันนานมาก เพราะจะพิมแชทคุยกันมากกว่า เขาโทรมาอยากห่างจากความสัมพันธ์ เขาขอให้เราเอาสถานะออก ทุกอย่างตอนนั้นเราสับสนไปหมด เราควรที่จะเข้มแข็งหรือว่าควรพูดความรู้สึกทั้งหมดที่เรารู้สึกตอนนั้น จริงๆเรารู้มาจากเพื่อนว่าเขาเคยบอกเพื่อนเราว่าเคยมีเด็กบาร์มาจีบและคุยกันตอนก่อนไปเรียนต่อแต่ห้ามบอกเราเพราะเขาเอามาโชว์เฉยๆ เพื่อนไม่อยากบอกเพราะตอนนั้นรักกันดีมาก พอรู้เราเลยเริ่มกลัวทุกอย่าง จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนเราไม่ได้คุยกันเลย เรากลัวความจริงที่จะเกิดทั้งหมดที่เขาพูดมาจะเป็นแค่คำอ้างเพื่อจะได้รุยกับคนใหม่ เราก็ทำตามที่เขาบอกตอนนั้นเราไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน สับสน งง และร้องไห้กับเพื่อนหลายเดือน เราไม่ได้คุยกันเลย สับสนมากว่าเราเลิกกันหรือเปล่า เขาโพสสเตตัสเศร้าสมกับซึ่งเราไม่เข้าใจว่าทำไมเขาเศร้า เขาเป็นคนบอกให้เราเอาสถานะออกเอง เราร้องไห้เศร้ากับเพื่อนสองสามเดือน เราก็ออกไปเที่ยว กินเหล้า อยู่กับเพื่อนมากขึ้นเพราะอยู่คนเดียวจะร้องไห้ตลอด เราก็ดีขึ้นมาแล้วเขาโทรมาทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ เราเป็นเพื่อนกัน เขาตั้งใจโทรมาถามเป็นไงทั้งที่เขาเป็นคนทำเราร้องไห้แทบตาย ตอนเราเราก็คิดเขาจะมาง้อ แต่งงๆว่าคืออะไร
จนเขาตั้งสเตตัสตั้งคบกับผู้หญิง เหมือนเรารู้อยู่แล้วว่าที่เขาทำไปมันต้องมีอะไรแน่ๆแล้วมีจริง ความเสียใจของเราทั้งหมดไม่ได้สูญเปล่า ตอนนั้นเราเหมือนเราทำใจได้แล้วเราร้องไห้มานานแล้ว เราไปคอนเกรทกับเขาในสเตตัสนั้นด้วยนะ แต่เรายังเจ็บในใจลึกๆคำพูดการกระทำที่ทำให้เรามั่นใจเชื่อใจ เราไม่คิดว่าจะเชื่อเขาได้ขนาดนั้น ความคิดมุมมองความรักเราเปลี่ยนไปมาก เราไม่ได้รู้สึกจริงจังกับใครเลย ไม่อยากเชื่อไม่อยากรู้สึกอะไรกับใคร ไม่อยากนั่งวาดฝันอนาคต เราไม่อยากเชื่อแล้ว ตอนนั้นเราเริ่มคิดแล้วนะว่าเราต่างกันมากไปไหม เขาเดินตามทางที่เขาตั้งใจ เราดูไม่คู่ควรกับเขาจริงๆแหละ
จนตอนนี้ก็ผ่านไปเป็นปีเรายังลืมเขาไม่ได้เลย ยังฝันถึงเขาบ้าง แอบไปส่องชีวิตกับแฟนเขา เขาดูมีความสุขชีวิตดีกว่าตอนที่อยู่กับเราสะอีก แบบนั้นมันก็น่าจะดีแล้ว ทำไมเรายังรู้สึกเราไม่น่าทำตัวเองดูน่าสมเพชขนาดนี้เลย มองย้อนกลับไปเราไม่เหมาะสมกับเขาตั้งแต่แรกจริงๆ ฐานะการงาน ครอบครัว มันคงเป็นสิ่งควรต้องคิดมากกว่านี้ในการคบใครสักคน
ไม่อยากเอาความคิดมาบอกตัวเองพัฒนาไม่ได้หรอกนะ ชีวิตเราสามารถดีขึ้นกว่านี้ได้แค่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เรายังมีภาระหนี้สินทางการเรียน เราไม่เหมาะกับใครในตอนนี้ แล้ววันนึงวันที่เราประสบความสำเร็จทางการงานการเงินที่มากกว่านี้คงเจอคนที่เหมาะกันละมั้งนะ
แตกต่างกันมาเกินไป ไปกันไม่รอด จริงไหม?
เรากับแฟนคบกันตอนเรียนวิทยลัยแฟนเราเป็นคนฉลาด เรียนเก่งมาก วันนึงเขามีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนเรียนต่างประเทศ3เดือน เขากังวลมากเพราะเขาต้องพยายามด้วยตัวเองหมายถึงเรื่องการดำเนินเรื่อง เขากังวลว่าจะสามารถไปได้รึเปล่า จะผ่านไหม ทางครอบครัวพร้อมซับพอทอยู่แล้วแค่ขอให้เขาเดินเรื่องผ่าน เราก็ให้กำลังใจเขาว่าเขาเก่งเขาต้องทำได้แน่ๆ เขาลังเลอยู่นานก็ตัดสินใจเดินเรื่องต่อจนผ่าน เขาได้ไปแลกเปลี่ยน3เดือน ช่วงนั้นเราคุยกันทุกวัน เขาทำให้เรามั่นใจมากว่าเขาจะไม่นอกใจเราไม่เคยต้องตามอะไรเลย เราทั้งคู่มีความสุขการไปแลกเปลี่ยนของเขาครั้งนั้น เราให้กำลังใจเขา คุยกับเขาปรึกษาเรื่องการใช้ชีวิตที่ประเทศนั้น เราภูมิใจในตัวเขามากจริงๆ เขากลับมาความสัมพันธ์ของเราดูเหมือนจะดีขึ้นด้วยซ้ำ เพราะการที่เราไกลกันมากๆ เราผ่านช่วงนั้นไปได้ยังดี เขาพูดเรื่องเรากับครอบครัว มั่นใจแล้วดูเหมือนเรื่องจะดีมากๆ แต่ว่า ..
ความคิดทัศนคติของเขาในเรื่องการใช้ชีวิต การเรียนก็เปลี่ยนไป ตอนแรกเราสนับสนุนเขามากนะที่เขาตัดสินใจไปเริ่มเรียนปริญญาใหม่ที่ต่างประเทศแต่ครั้งนี้เขาจะไปนานใช้เวลา4-5ปีเลย ด้วยความเรามั่นใจมากๆเราสนับสนุนเขาเต็มที่ เขาเดินตามทางของเขา แล้วชวนเราไปด้วย แต่เราไม่ได้เก่งไม่ได้มีใครซับพอทเราไปเหมือนเขา เราก็อยากไปอยู่ข้างๆเขานะ เราหาวิธีมากมายที่ขะไปด้วย ทั้งเป็นแนนนี่ เรียนด้วยทำงานด้วย ตอนนั้นมีไฟมากเพราะเรียนจบมีงานทำแล้ว แต่ต้องใช้เงินเยอะซึ่งเราก็ต้องเก็บตังค์กว่าจะได้ตามเขาไปยากมากเลย และเรามีต้องจ่ายหนี้ค่าเรียนด้วย อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ตามไป
วันที่เขาไปเราไปส่งเขาที่สนามบินกับครอบครัวเขา กอดสุดท้ายแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว แต่มั่นใจตั้งใจสนับสนุนเขาเต็มที่จึงไม่อยากร้องไห้ มองเขาเดินไปขึ้นเครื่อง และก็ได้คุยกันอีกทีตอนเขาถึง ช่วงแรกเขาเหนื่อยมากคนไทยไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวต้องเดินเรื่องเองเรื่องงาน เรื่องเรียน เขาตั้งใจทำงานไปด้วยเรียนด้วย เราเริ่มคุยน้อยลง เราเข้าใจเขานะเขาเหนื่อยเขาเพลียยุ่งจนไม่มีเวลา จนเริ่มห่าง เราก็กลัวตอนนั้นคิดมากไปหมด ไม่เหมือนกับที่เขาไปสามเดือนแลกเปลี่ยน ไม่มีความมั่นใจใดๆเลย เรากลัวมากและร้องไห้ คุยแล้วงอลกันมากขึ้น
จุดเปลี่ยนมากในชีวิตอีกครั้งเขาโทรมาจากที่ไม่ได้คุยกันนานมาก เพราะจะพิมแชทคุยกันมากกว่า เขาโทรมาอยากห่างจากความสัมพันธ์ เขาขอให้เราเอาสถานะออก ทุกอย่างตอนนั้นเราสับสนไปหมด เราควรที่จะเข้มแข็งหรือว่าควรพูดความรู้สึกทั้งหมดที่เรารู้สึกตอนนั้น จริงๆเรารู้มาจากเพื่อนว่าเขาเคยบอกเพื่อนเราว่าเคยมีเด็กบาร์มาจีบและคุยกันตอนก่อนไปเรียนต่อแต่ห้ามบอกเราเพราะเขาเอามาโชว์เฉยๆ เพื่อนไม่อยากบอกเพราะตอนนั้นรักกันดีมาก พอรู้เราเลยเริ่มกลัวทุกอย่าง จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนเราไม่ได้คุยกันเลย เรากลัวความจริงที่จะเกิดทั้งหมดที่เขาพูดมาจะเป็นแค่คำอ้างเพื่อจะได้รุยกับคนใหม่ เราก็ทำตามที่เขาบอกตอนนั้นเราไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน สับสน งง และร้องไห้กับเพื่อนหลายเดือน เราไม่ได้คุยกันเลย สับสนมากว่าเราเลิกกันหรือเปล่า เขาโพสสเตตัสเศร้าสมกับซึ่งเราไม่เข้าใจว่าทำไมเขาเศร้า เขาเป็นคนบอกให้เราเอาสถานะออกเอง เราร้องไห้เศร้ากับเพื่อนสองสามเดือน เราก็ออกไปเที่ยว กินเหล้า อยู่กับเพื่อนมากขึ้นเพราะอยู่คนเดียวจะร้องไห้ตลอด เราก็ดีขึ้นมาแล้วเขาโทรมาทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ เราเป็นเพื่อนกัน เขาตั้งใจโทรมาถามเป็นไงทั้งที่เขาเป็นคนทำเราร้องไห้แทบตาย ตอนเราเราก็คิดเขาจะมาง้อ แต่งงๆว่าคืออะไร
จนเขาตั้งสเตตัสตั้งคบกับผู้หญิง เหมือนเรารู้อยู่แล้วว่าที่เขาทำไปมันต้องมีอะไรแน่ๆแล้วมีจริง ความเสียใจของเราทั้งหมดไม่ได้สูญเปล่า ตอนนั้นเราเหมือนเราทำใจได้แล้วเราร้องไห้มานานแล้ว เราไปคอนเกรทกับเขาในสเตตัสนั้นด้วยนะ แต่เรายังเจ็บในใจลึกๆคำพูดการกระทำที่ทำให้เรามั่นใจเชื่อใจ เราไม่คิดว่าจะเชื่อเขาได้ขนาดนั้น ความคิดมุมมองความรักเราเปลี่ยนไปมาก เราไม่ได้รู้สึกจริงจังกับใครเลย ไม่อยากเชื่อไม่อยากรู้สึกอะไรกับใคร ไม่อยากนั่งวาดฝันอนาคต เราไม่อยากเชื่อแล้ว ตอนนั้นเราเริ่มคิดแล้วนะว่าเราต่างกันมากไปไหม เขาเดินตามทางที่เขาตั้งใจ เราดูไม่คู่ควรกับเขาจริงๆแหละ
จนตอนนี้ก็ผ่านไปเป็นปีเรายังลืมเขาไม่ได้เลย ยังฝันถึงเขาบ้าง แอบไปส่องชีวิตกับแฟนเขา เขาดูมีความสุขชีวิตดีกว่าตอนที่อยู่กับเราสะอีก แบบนั้นมันก็น่าจะดีแล้ว ทำไมเรายังรู้สึกเราไม่น่าทำตัวเองดูน่าสมเพชขนาดนี้เลย มองย้อนกลับไปเราไม่เหมาะสมกับเขาตั้งแต่แรกจริงๆ ฐานะการงาน ครอบครัว มันคงเป็นสิ่งควรต้องคิดมากกว่านี้ในการคบใครสักคน
ไม่อยากเอาความคิดมาบอกตัวเองพัฒนาไม่ได้หรอกนะ ชีวิตเราสามารถดีขึ้นกว่านี้ได้แค่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เรายังมีภาระหนี้สินทางการเรียน เราไม่เหมาะกับใครในตอนนี้ แล้ววันนึงวันที่เราประสบความสำเร็จทางการงานการเงินที่มากกว่านี้คงเจอคนที่เหมาะกันละมั้งนะ