การให้ไม่สิ้นสุด
หากมองว่าการแพร่เชื้อโรค อันก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วย ความกังวล และภาระค่าใช้จ่าย เป็นการสร้างเวรสร้างกรรมที่ส่งต่อกันไปไม่มีวันสิ้นสุด จงอย่าลืมว่า การทำให้คนมีสติรู้คิด ด้วยการเผยแพร่ความรู้ ศีล สมาธิ สติปัญญา การปล่อยวาง เพื่อทางดับทุกข์ ก็ส่งต่อกันไม่มีวันสิ้นสุดได้เหมือนกัน
ประโยชน์ของการมีศีล สมาธิ สติ ปัญญา
ศีลจะทำให้รู้จักผิดชอบชั่วดี เมื่อฝึกสมาธิ จะเกิดความสงบ เมื่อมีความสงบ จึงมีสติ เมื่อมีสติ จะรู้เท่าทันตนเอง ยามใดขาดสติก็ต้องใช้สมาธิ สนับสนุนค้ำจุนกัน เมื่อมีสติจะใช้ปัญญาพิจารณาหาทางออก หากมีศีล ศีลจะคอยชักนำความสงบสุข ความสบายใจมาให้ เมื่อรู้ดังนี้แล้วหากมีสติจะรู้เท่าทันตนเอง เมื่อมีความคิดความรู้สึกไม่ดี จากกิเลส ราคะ อันได้แก่ ความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความยึดมั่นถือมั่น ตัดไม่ลงปลงไม่ขาด จะรู้จักพิจารณา รู้จักข่มอารมณ์ รู้จักผิดชอบชั่วดียับยั้งชั่งใจ เมื่อรู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตนเองแล้วจะรู้จักป้องกันตนเองทั้งความคิดและความรู้สึก ทั้งของตนเองและของผู้อื่น จะรู้จักมองการไกล นึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และเมื่อมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นแล้ว จะรู้จักปล่อยวาง ตั้งสติแล้วแก้ไข สมาธิก็คือการปล่อยวาง การปล่อยวางและความมีสติ จะเกื้อหนุนค้ำจุนกัน สติและปัญญาจะร่วมกันพิจารณาหาทางออก และศีลจะคอยชักนำ ความสงบสุขความสบายใจมาให้ สุดท้ายจงรู้จักการให้และการแบ่งปัน
ด่าเค้าสิบอย่าหวังว่าเค้าจะโต้ตอบมาสิบ เค้าอาจไม่ตอบโต้ หรือตอบโต้มาเป็นร้อยเท่าพันเท่า หรือลามไปถึงบุพการีคุณก็ได้ อย่าคิดว่าก่อเท่าใดแล้วควรได้รับเท่านั้น
บุญก็เช่นเดียวกัน ทำสิบก็อาจได้คืนร้อยเท่าพันเท่าทวีคูณ เพราะการให้ก็ส่งต่อกันไม่มีวันสิ้นสุด
ประโยชน์ของสมาธิ หรือการปล่อยวาง
สมาธิ: ความตั้งมั่น แน่วแน่
สติ: ความรู้สึก ความรู้ตัว ว่าทุกข์ ว่าสุข
ฟุ้งซ่าน: คิดไปทั่ว คิดไปไม่หยุดนิ่ง ไม่อยู่กับร่องกับรอย
หากคุณกำลังฟุ้งซ่านขาดสติ มีความทุกข์หาทางออกไม่ได้ เช่นเสียความรู้สึก ไม่ว่าความเศร้า ความกังวล หรือกำลังครุ่นคิด ลังเล สงใส
เศร้าโศก เสียใจ ก็ทำสมาธิกำหนดจิตกำหนดใจให้แน่วแน่
เมื่อสมาธิมั่นคงแล้ว ก็จะมีสติรู้ตัวว่าฟุ้งซ่าน รุ่มร้อน ลุ่มหลง กระวนกระวาย อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เมื่อทำสมาธิ หรือปล่อยวางได้
ความฟุ้งซ่านก็สงบลง ไม่ทำให้เสียสติไปมากกว่าเดิม
ความฟุ้งซ่านก็คือใจที่ร้อนรุ่ม กระวนกระวายหาทางออกไม่ได้ เปรียบเหมือนน้ำที่กำลังเดือดพล่าน ระเหยออกไปทุกที ทำให้น้ำหรือสติที่มีลดน้อยลง หรือคุณกำลังจะขาดสตินั่นเอง การทำสมาธิก็เหมือนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ หรือลดความร้อนในใจคุณ เมื่อมีสมาธิแล้วใจเย็นแล้ว จะประคองสติได้ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เสื่อมถอย ก็กำหนดสมาธิตั้งมั่นเรียกสติต่อยอดกันต่อไป เพื่อหาทางออก ทางแก้ไข หรือทางดับทุกข์นั่นเอง
ทางแห่งการหลุดพ้น
การหาทางดับทุกข์ เมื่อมีทุกข์ ก็ต้องมีสุข มันเป็นของคู่กัน เปรียบได้เหมือนฝาแฝดที่มีพร้อมกัน ต่างกันแค่เหตุใดจะเกิดก่อนหรือเกิดหลัง สืบเนื่องเชื่อมโยง ไม่ว่าจะมองในมุมของตัวเรา หรือมุมของผู้อื่นที่ได้ผลกระทบจากเรา เหมือนทำดีกับคนหนึ่ง อีกคนก็อาจได้รับผลกระทบ หรือก่อนเราจะเสียสละเราก็ต้องแลกกับความเหนื่อยยากอุตสาหะ ตัดใจ ข่มใจ อยากแข็งแรงก็ต้องอดทน ออกกำลังกาย ไม่อยากอ้วนก็ต้องตัดใจข่มใจไม่กิน นี่แหละมันเป็นของมีคู่กันมา มีคนหน้าตาดี คนหน้าตาไม่ดีก็น้อยใจเสียใจ คนหนึ่งได้ดีคนหนึ่งก็อิจฉาริษยา คนได้ตำแหน่งดีใจ คนไม่ได้ตำแหน่งก็ผิดหวังเสียใจ แล้วกว่าจะได้ตำแหน่งต้องแลกกับอะไรมาบ้าง เพราะมันเป็นของคู่กัน คนเราไม่ได้เกิดมาเสมอกัน มีพร้อมกัน มีเหมือนกัน หรือคิดเหมือนกัน เป็นสิ่งเที่ยงแท้และแน่นอนที่สุด
จึงเป็นเหตุของการปล่อยวางเพื่อหาทางหลุดพ้น เมื่ออยากถึงทางแห่งความพ้นทุกข์ ก็ต้องดับทุกข์ให้ได้ แต่อย่าลืมว่าทุกข์สุขเป็นของคู่กัน
ไม่รู้จักความทุกข์ก็ไม่รู้จักความสุข อยากดับทุกข์ก็ต้องยอมสละความสุข
นั้นแหละหนทางแห่งความหลุดพ้น
ความเที่ยงแท้คือความไม่แน่นอน
ความแน่นอนคือความสุขและความทุกข์
ซึ่งความสุขก็อาจเปลี่ยนเป็นความทุกข์ ความทุกข์ก็อาจเปลี่ยนเป็นความสุข นั่นแหละที่มาของคำว่าในความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
หากมองว่าการนิพพาน หรือทางแห่งความหลุดพ้น
เป็นการหนีปัญหา หรือทิ้งปัญหาไว้ให้คนข้างหลังเมื่อพิจารณาให้ดี จะเห็นว่าเป็นการตัดปัญหา หากไม่ปล่อยวางก็เป็นการจองเวร สร้างเวรสร้างกรรมกันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้วสอนแล้วเตือนแล้ว หากไม่เข้าใจ ต้องปล่อยวาง
หากมองในเรื่องของบุญกุศล หรือเวรกรรม คุณก็มองว่า การตรัสรู้ นิพพานจนถึงการเผยแพร่หนทางแห่งความดับทุกข์เป็นการสร้างบุญสร้างกุศลมหาศาล เจ้ากรรมนายเวรเมื่อได้รับผลบุญตอบแทนหรือชดเชยแล้ว ก็หยุดจองเวรจองกรรม เป็นอันสิ้นสุด หากคุณยังปล่อยวางเพื่อถึงทางหลุดพ้นไม่ได้ ก็ควรปล่อยวางเรื่องที่ทำแล้วไม่เกิดประโยชน์ สร้างปัญหาให้น้อยที่สุด แต่สร้างประโยชน์ให้มากที่สุด เพื่อความสงบสุขในสังคม และเพื่อความสุขในชีวิตบั้นปลายของคุณ ปล่อยวางได้เรื่องหนึ่งก็หลุดพ้นได้เรื่องหนึ่ง
ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
ไม่ยินดีกับเรื่องไม่ดี หากเกิดความคิดไม่ดี ไม่ควรตกลงปลงใจ
หรือไม่ยุยงส่งเสริม เรื่องที่ทำแล้วไม่เกิดผลดี
ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ เรื่องที่ทำแล้วเกิดความทุกข์ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
ไม่ยินร้าย กับความทุกข์ใจของตนเอง ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ สิ่งยั่วยุ
ให้เกิดความทุกข์ ที่ผู้อื่นมอบให้ ไม่ว่าคำสบประมาท
ความสูญเสียพลัดพราก รู้จักการปล่อยวาง ตั้งสติแล้วแก้ไข หาทางออก
เพื่อความสุข ความสงบ ความสบายใจ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลให้ผลเป็นความสุข
ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลให้ผลเป็นความทุกข์
การให้ และการเสียสละ เพื่อให้ผลดีต่อผู้อื่นนั้น ต้องเกิดจากความเสียสละที่เกิดจากความเมตตา เต็มใจ ไม่เกินพอดีจนเบียดเบียนตนเอง จึงจะเป็นกุศลที่ให้ผลเป็นความสุข ทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วย
ความสุขที่ได้จากกุศลได้แก่ ความไม่มีโรค ความไม่มีโทษ ความฉลาด
ธรรม แปลว่า คุณงามความดี , ความดีงาม , คำสั่งสอนในศาสนา
คือคำสั่งสอนให้เกิดคุณความดี คำสั่งสอนที่ดีงาม
คำสอนที่ให้ผลดีคือการกระทำที่ดีงาม คำสอนที่ไม่ให้ผลดี ไม่ใช่ความดีงาม
คำสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี นั่นแหละคือความดีงาม
อกุศลแปลว่า การกระทำทั้งหลายที่เป็นความชั่ว ไม่เป็นมงคล เช่น ความโลภ ความโกรธ
ธรรมที่เป็นอกุศล จึงหมายถึงคำสอนที่บอกว่าเมื่อกระทำกรรมชั่วให้ผลเป็นความทุกข์
วิบาก หมายถึงผลจากการกระทำ วิบากกรรม คือผลที่เกิดจากเหตุ
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
สิ่งที่ตัดความอาลัยอาวรณ์ยากที่สุดคือ ตันหา
ตันหา เป็นความอยากใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธัมมารมณ์ (ความคิด ความรู้สึกเสวยอารมณ์) พระพุทธเจ้าจึงมีวิธีการสอน ถ้าตัดยังไม่ได้ก็ควบคุม ให้อยู่ในกรอบของศีล5 เป็นเบื้องต้น แล้วเพิ่มพูนปัญญา มองเห็นโทษ ของตันหาและอายตนะ ว่าเป็นทั้งตัวทุกข์และเหตุให้เกิดทุกข์ตามอริยสัจหรือปฏิจจสมุปบาท เมื่อมองเห็นโทษอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอไม่ขาดสาย ก็ย่อมตัดความอาลัยอาวรณ์ในทุกสิ่งได้ในที่สุด เป็นการทำนิพพานให้แจ้ง ซึ่งเป็นความดับของทุกข์อย่างสมบูรณ์ไม่กลับมากำเริบอีกตลอดกาล
พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่อาจค้นพบได้ด้วยตำราต่างๆ ถ้าท่านต้องการจะรู้เห็นจริงด้วยตัวของท่านเอง ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไร ท่านไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับตำรับตำราเลย จงเฝ้าดูจิตของท่านเอง พิจารณาให้รู้เห็นว่าความรู้สึกต่างๆ (เวทนา) เกิดขึ้นและดับไปอย่างไร ความนึกคิดเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร อย่าได้ผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย จงมีสติอยู่เสมอเมื่อมีอะไรๆเกิดขึ้นให้ได้รู้ได้เห็น นี่คือทางที่จะบรรลุ ถึงสัจธรรมของพระพุทธองค์ จงเป็นปกติธรรมดาตามธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำขณะอยู่ที่นี่เป็นโอกาสแห่งการฝึกปฏิบัติ เป็นธรรมะทั้งหมด เมื่อท่านทำวัตรสวดมนตร์อยู่ พยายามให้มีสติ ถ้าท่านกำลังเทกระโถน หรือล้างส้วมอยู่ อย่าคิดว่าท่านกำลังทำบุญทำคุณให้กับผู้หนึ่งผู้ใด มีธรรมะอยู่ในการเทกระโถนนั้น อย่ารู้สึกว่าท่านกำลังฝึกปฏิบัติอยู่เฉพาะเวลานั่งขัดสมาธิเท่านั้น พวกท่านบางคนบ่นว่า ไม่มีเวลาพอที่จะทำสมาธิภาวนา แล้วเวลาหายใจเล่ามีเพียงพอไหม การทำสมาธิภาวนาของท่านคือการมีสติระลึกรู้ และการรักษาจิตให้เป็นปกติตามธรรมชาติในการกระทำทุกอิริยาบถ
: เทศนาธรรมคำสอน..องค์หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง
อยู่ที่ไหนก็ฝึกจิตได้ แค่ใจสงบ ใจบริสุทธิ์ อยู่ที่ไหนก็ทำได้
ตายในคุกไปนิพพานได้ไหม
หลวงพ่อ : มีผลร้อยเปอร์เซ็นต์ จะตายที่ไหนก็ตามนะ จิตเขาบริสุทธิ์นะ จะตายในเรือนจำ เรือนจำน่ะมันไม่ใช่ส้วม ตายในส้วมยังไปนิพพานได้เลย
คือว่าเมื่อปี ๒๕๒๓ นึกอยากจะเข้าห้องน้ำ พอนั่งบนโถส้วมปั๊ป
มันมืดตื๋อไป ไม่เห็นอะไรทั้งหมด จิตพุ่งขึ้นทันที แต่ว่าพอไปถึงแล้ว
ท่านไล่กลับลงมา ที่ฉันกล้ายืนยันเพราะฉันไปมาแล้ว ไปในส้วมนี่สะดวกกว่าที่อื่นหมดไม่มีใครกวน เพราะอยู่ในส้วม เราคนเดียว อันนี้เรื่องจริง ๆ นะ ไม่เลือกสถานที่ อย่างนึกว่าเรือนจำเป็นที่เลว เพราะจิตเขาน่ะ
จิตเขานะบริสุทธิ์ อยู่ที่ไหนก็บริสุทธิ์ใช่ไหม
นอนอยู่ในส้วมก็บริสุทธิ์ ไอ้กายสกปก แต่จิตมันบริสุทธิ์ต่างหาก
คนนั้นเขาดีมาก อย่าลืมว่าเขาอยู่ในเรือนจำ เขาเห็นความทุกข์
อย่าลืมนะ นั้นตัวทุกข์เป็นตัว “ อริยสัจ ” นะ คือว่าการเกิดมีเป็นทุกข์อย่างนี้
คนในเรือนจำนี่ก็ไม่แน่นักว่าเขาจะมีโทษจริงหรือไม่จริง
บางครั้งก็ไม่ใช่มีโทษจริง แต่พยานเขายันไปยันมา ทนายเห็นด้วย
ผู้พิพากษาเห็นด้วย อัยการเห็นด้วยเข้าตะรางไปเลย นี่เยอะ ! อันนี้มีมาก หรือบางทีเขาอาจจะมีโทษจริง แต่ไอ้การที่เขาต้องทำผิด บางทีก็มีความจำเป็นจำใจ ถ้าเขาไล่ฆ่าเรา เราก็รักชีวิตก็ต้องหันไปป้องกันตัวแล้วต่อสู้ เผอิญเขาตาย ฝ่ายนั้นกลับไม่ผิดแต่ตายไปแล้ว ไอ้คนที่ป้องกันตัวกลับมีความผิด ไอ้อย่างนี้ก็มีมาก ต้องเห็นใจเขา
อย่านึกว่าคนในเรือนจำชั่วทุกคนไม่ได้
การฝึก การปฏิบัติ อย่ายึดติดมุ่งไปทางเดียวหน้ามืดตามัว
เวลาไหนพร้อมทำอะไรก็ตั้งใจทำสิ่งนั้น
วัวที่ไหนมีหญ้าให้กินมันก็จะมุ่งไปที่นั่นที่เดียว ไปที่ไหนแล้วอิ่มมันก็จะไปที่นั่น เหมือนการหาทางหลุดพ้น แต่คนไม่ใช่ เราไม่ได้กินเพื่ออยู่เพียงอย่างเดียว สิ่งจูงใจ ความกดดัน ปัจจัยแวดล้อมมันต่างกัน เราถึงต้องมีสติปัญญาที่เหนือกว่า การหลุดพ้นมันต่างกัน ไม่ควรหนีปัญหา ทิ้งปัญหาไว้ให้คนรอบข้าง แล้วมุ่งไปทางเดียว ควรพิจารณาด้วยสติปัญญาที่มี เวลาไหนควรทำอะไร เราทำอะไรได้ จงใช้สติปัญญาที่มีให้คุ้มค่า
คนใจแคบ คนยากจน ควรฝึกตนอย่างไร
เมื่อไม่เต็มใจให้ หรือไม่มีสิ่งที่อยากจะให้ ยามไม่มีเงินทอง ก็ฝึกใจให้พร้อม ปล่อยวางให้เป็น รู้จักการให้อภัย รักษาน้ำใจคนอื่น ยามใดพร้อมด้วยสมบัติ ก็จะให้อย่างเต็มใจ เพราะฝึกใจไว้พร้อมแล้ว
หากมองการเกิดของคนเป็นตัวปัญหา
คุณจะยอมรับปัญหานั้นได้รึเปล่า หากใช้สติปัญญาที่มีพิจารณาปัญหาที่จะเกิดมานั้นได้แล้ว รู้วิธีแก้ปัญหานั้นได้แล้วจึงยอมให้ปัญหาเกิด คุณก็จะไม่ทุกข์หรือมีความสุข เพราะรู้วิธีแก้ปัญหาก่อนปัญหานั้นเกิดแล้ว เตรียมการไว้แล้ว เช่นมีสมบัติพร้อมแล้ว วัยวุฒิ คุณวุฒิพร้อมแล้ว ปูทางไว้พร้อมแล้ว คุณก็จะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข แต่หากปัญหาเกิดในขณะที่คุณยังไม่พร้อม ไม่รู้วิธีแก้ปัญหา คุณก็จะทุกข์ ความยุ่งยากในชีวิตคุณจะมากขึ้น ภาระมากขึ้น หากตั้งสติแก้ไขปัญหา ยอมรับปัญหา เผชิญหน้ากับความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาได้เร็วเท่าใด ความทุกข์กับปัญหานั้นก็เบาบางลง แต่พึงระลึกถึงปัญหาที่จะตามมาในอนาคต รักมากก็หวงมาก จงเตรียมใจ รู้จักการปล่อยวาง
เราไม่รู้หรอกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในวันข้างหน้า แต่ที่เที่ยงแท้และแน่นอนที่สุด คือความสุขและความทุกข์
ยาต้าน Hiv การให้ไม่สิ้นสุด การแพร่เชื้อ สติ ทางดับทุกข์ https://twitter.com/VeesarawutY?s=09
หากมองว่าการแพร่เชื้อโรค อันก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วย ความกังวล และภาระค่าใช้จ่าย เป็นการสร้างเวรสร้างกรรมที่ส่งต่อกันไปไม่มีวันสิ้นสุด จงอย่าลืมว่า การทำให้คนมีสติรู้คิด ด้วยการเผยแพร่ความรู้ ศีล สมาธิ สติปัญญา การปล่อยวาง เพื่อทางดับทุกข์ ก็ส่งต่อกันไม่มีวันสิ้นสุดได้เหมือนกัน
ประโยชน์ของการมีศีล สมาธิ สติ ปัญญา
ศีลจะทำให้รู้จักผิดชอบชั่วดี เมื่อฝึกสมาธิ จะเกิดความสงบ เมื่อมีความสงบ จึงมีสติ เมื่อมีสติ จะรู้เท่าทันตนเอง ยามใดขาดสติก็ต้องใช้สมาธิ สนับสนุนค้ำจุนกัน เมื่อมีสติจะใช้ปัญญาพิจารณาหาทางออก หากมีศีล ศีลจะคอยชักนำความสงบสุข ความสบายใจมาให้ เมื่อรู้ดังนี้แล้วหากมีสติจะรู้เท่าทันตนเอง เมื่อมีความคิดความรู้สึกไม่ดี จากกิเลส ราคะ อันได้แก่ ความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความยึดมั่นถือมั่น ตัดไม่ลงปลงไม่ขาด จะรู้จักพิจารณา รู้จักข่มอารมณ์ รู้จักผิดชอบชั่วดียับยั้งชั่งใจ เมื่อรู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตนเองแล้วจะรู้จักป้องกันตนเองทั้งความคิดและความรู้สึก ทั้งของตนเองและของผู้อื่น จะรู้จักมองการไกล นึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และเมื่อมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นแล้ว จะรู้จักปล่อยวาง ตั้งสติแล้วแก้ไข สมาธิก็คือการปล่อยวาง การปล่อยวางและความมีสติ จะเกื้อหนุนค้ำจุนกัน สติและปัญญาจะร่วมกันพิจารณาหาทางออก และศีลจะคอยชักนำ ความสงบสุขความสบายใจมาให้ สุดท้ายจงรู้จักการให้และการแบ่งปัน
ด่าเค้าสิบอย่าหวังว่าเค้าจะโต้ตอบมาสิบ เค้าอาจไม่ตอบโต้ หรือตอบโต้มาเป็นร้อยเท่าพันเท่า หรือลามไปถึงบุพการีคุณก็ได้ อย่าคิดว่าก่อเท่าใดแล้วควรได้รับเท่านั้น
บุญก็เช่นเดียวกัน ทำสิบก็อาจได้คืนร้อยเท่าพันเท่าทวีคูณ เพราะการให้ก็ส่งต่อกันไม่มีวันสิ้นสุด
ประโยชน์ของสมาธิ หรือการปล่อยวาง
สมาธิ: ความตั้งมั่น แน่วแน่
สติ: ความรู้สึก ความรู้ตัว ว่าทุกข์ ว่าสุข
ฟุ้งซ่าน: คิดไปทั่ว คิดไปไม่หยุดนิ่ง ไม่อยู่กับร่องกับรอย
หากคุณกำลังฟุ้งซ่านขาดสติ มีความทุกข์หาทางออกไม่ได้ เช่นเสียความรู้สึก ไม่ว่าความเศร้า ความกังวล หรือกำลังครุ่นคิด ลังเล สงใส
เศร้าโศก เสียใจ ก็ทำสมาธิกำหนดจิตกำหนดใจให้แน่วแน่
เมื่อสมาธิมั่นคงแล้ว ก็จะมีสติรู้ตัวว่าฟุ้งซ่าน รุ่มร้อน ลุ่มหลง กระวนกระวาย อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เมื่อทำสมาธิ หรือปล่อยวางได้
ความฟุ้งซ่านก็สงบลง ไม่ทำให้เสียสติไปมากกว่าเดิม
ความฟุ้งซ่านก็คือใจที่ร้อนรุ่ม กระวนกระวายหาทางออกไม่ได้ เปรียบเหมือนน้ำที่กำลังเดือดพล่าน ระเหยออกไปทุกที ทำให้น้ำหรือสติที่มีลดน้อยลง หรือคุณกำลังจะขาดสตินั่นเอง การทำสมาธิก็เหมือนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ หรือลดความร้อนในใจคุณ เมื่อมีสมาธิแล้วใจเย็นแล้ว จะประคองสติได้ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เสื่อมถอย ก็กำหนดสมาธิตั้งมั่นเรียกสติต่อยอดกันต่อไป เพื่อหาทางออก ทางแก้ไข หรือทางดับทุกข์นั่นเอง
ทางแห่งการหลุดพ้น
การหาทางดับทุกข์ เมื่อมีทุกข์ ก็ต้องมีสุข มันเป็นของคู่กัน เปรียบได้เหมือนฝาแฝดที่มีพร้อมกัน ต่างกันแค่เหตุใดจะเกิดก่อนหรือเกิดหลัง สืบเนื่องเชื่อมโยง ไม่ว่าจะมองในมุมของตัวเรา หรือมุมของผู้อื่นที่ได้ผลกระทบจากเรา เหมือนทำดีกับคนหนึ่ง อีกคนก็อาจได้รับผลกระทบ หรือก่อนเราจะเสียสละเราก็ต้องแลกกับความเหนื่อยยากอุตสาหะ ตัดใจ ข่มใจ อยากแข็งแรงก็ต้องอดทน ออกกำลังกาย ไม่อยากอ้วนก็ต้องตัดใจข่มใจไม่กิน นี่แหละมันเป็นของมีคู่กันมา มีคนหน้าตาดี คนหน้าตาไม่ดีก็น้อยใจเสียใจ คนหนึ่งได้ดีคนหนึ่งก็อิจฉาริษยา คนได้ตำแหน่งดีใจ คนไม่ได้ตำแหน่งก็ผิดหวังเสียใจ แล้วกว่าจะได้ตำแหน่งต้องแลกกับอะไรมาบ้าง เพราะมันเป็นของคู่กัน คนเราไม่ได้เกิดมาเสมอกัน มีพร้อมกัน มีเหมือนกัน หรือคิดเหมือนกัน เป็นสิ่งเที่ยงแท้และแน่นอนที่สุด
จึงเป็นเหตุของการปล่อยวางเพื่อหาทางหลุดพ้น เมื่ออยากถึงทางแห่งความพ้นทุกข์ ก็ต้องดับทุกข์ให้ได้ แต่อย่าลืมว่าทุกข์สุขเป็นของคู่กัน
ไม่รู้จักความทุกข์ก็ไม่รู้จักความสุข อยากดับทุกข์ก็ต้องยอมสละความสุข
นั้นแหละหนทางแห่งความหลุดพ้น
ความเที่ยงแท้คือความไม่แน่นอน
ความแน่นอนคือความสุขและความทุกข์
ซึ่งความสุขก็อาจเปลี่ยนเป็นความทุกข์ ความทุกข์ก็อาจเปลี่ยนเป็นความสุข นั่นแหละที่มาของคำว่าในความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
หากมองว่าการนิพพาน หรือทางแห่งความหลุดพ้น
เป็นการหนีปัญหา หรือทิ้งปัญหาไว้ให้คนข้างหลังเมื่อพิจารณาให้ดี จะเห็นว่าเป็นการตัดปัญหา หากไม่ปล่อยวางก็เป็นการจองเวร สร้างเวรสร้างกรรมกันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้วสอนแล้วเตือนแล้ว หากไม่เข้าใจ ต้องปล่อยวาง
หากมองในเรื่องของบุญกุศล หรือเวรกรรม คุณก็มองว่า การตรัสรู้ นิพพานจนถึงการเผยแพร่หนทางแห่งความดับทุกข์เป็นการสร้างบุญสร้างกุศลมหาศาล เจ้ากรรมนายเวรเมื่อได้รับผลบุญตอบแทนหรือชดเชยแล้ว ก็หยุดจองเวรจองกรรม เป็นอันสิ้นสุด หากคุณยังปล่อยวางเพื่อถึงทางหลุดพ้นไม่ได้ ก็ควรปล่อยวางเรื่องที่ทำแล้วไม่เกิดประโยชน์ สร้างปัญหาให้น้อยที่สุด แต่สร้างประโยชน์ให้มากที่สุด เพื่อความสงบสุขในสังคม และเพื่อความสุขในชีวิตบั้นปลายของคุณ ปล่อยวางได้เรื่องหนึ่งก็หลุดพ้นได้เรื่องหนึ่ง
ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
ไม่ยินดีกับเรื่องไม่ดี หากเกิดความคิดไม่ดี ไม่ควรตกลงปลงใจ
หรือไม่ยุยงส่งเสริม เรื่องที่ทำแล้วไม่เกิดผลดี
ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ เรื่องที่ทำแล้วเกิดความทุกข์ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
ไม่ยินร้าย กับความทุกข์ใจของตนเอง ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ สิ่งยั่วยุ
ให้เกิดความทุกข์ ที่ผู้อื่นมอบให้ ไม่ว่าคำสบประมาท
ความสูญเสียพลัดพราก รู้จักการปล่อยวาง ตั้งสติแล้วแก้ไข หาทางออก
เพื่อความสุข ความสงบ ความสบายใจ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลให้ผลเป็นความสุข
ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลให้ผลเป็นความทุกข์
การให้ และการเสียสละ เพื่อให้ผลดีต่อผู้อื่นนั้น ต้องเกิดจากความเสียสละที่เกิดจากความเมตตา เต็มใจ ไม่เกินพอดีจนเบียดเบียนตนเอง จึงจะเป็นกุศลที่ให้ผลเป็นความสุข ทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วย
ความสุขที่ได้จากกุศลได้แก่ ความไม่มีโรค ความไม่มีโทษ ความฉลาด
ธรรม แปลว่า คุณงามความดี , ความดีงาม , คำสั่งสอนในศาสนา
คือคำสั่งสอนให้เกิดคุณความดี คำสั่งสอนที่ดีงาม
คำสอนที่ให้ผลดีคือการกระทำที่ดีงาม คำสอนที่ไม่ให้ผลดี ไม่ใช่ความดีงาม
คำสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี นั่นแหละคือความดีงาม
อกุศลแปลว่า การกระทำทั้งหลายที่เป็นความชั่ว ไม่เป็นมงคล เช่น ความโลภ ความโกรธ
ธรรมที่เป็นอกุศล จึงหมายถึงคำสอนที่บอกว่าเมื่อกระทำกรรมชั่วให้ผลเป็นความทุกข์
วิบาก หมายถึงผลจากการกระทำ วิบากกรรม คือผลที่เกิดจากเหตุ
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
สิ่งที่ตัดความอาลัยอาวรณ์ยากที่สุดคือ ตันหา
ตันหา เป็นความอยากใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธัมมารมณ์ (ความคิด ความรู้สึกเสวยอารมณ์) พระพุทธเจ้าจึงมีวิธีการสอน ถ้าตัดยังไม่ได้ก็ควบคุม ให้อยู่ในกรอบของศีล5 เป็นเบื้องต้น แล้วเพิ่มพูนปัญญา มองเห็นโทษ ของตันหาและอายตนะ ว่าเป็นทั้งตัวทุกข์และเหตุให้เกิดทุกข์ตามอริยสัจหรือปฏิจจสมุปบาท เมื่อมองเห็นโทษอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอไม่ขาดสาย ก็ย่อมตัดความอาลัยอาวรณ์ในทุกสิ่งได้ในที่สุด เป็นการทำนิพพานให้แจ้ง ซึ่งเป็นความดับของทุกข์อย่างสมบูรณ์ไม่กลับมากำเริบอีกตลอดกาล
พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่อาจค้นพบได้ด้วยตำราต่างๆ ถ้าท่านต้องการจะรู้เห็นจริงด้วยตัวของท่านเอง ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไร ท่านไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับตำรับตำราเลย จงเฝ้าดูจิตของท่านเอง พิจารณาให้รู้เห็นว่าความรู้สึกต่างๆ (เวทนา) เกิดขึ้นและดับไปอย่างไร ความนึกคิดเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร อย่าได้ผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย จงมีสติอยู่เสมอเมื่อมีอะไรๆเกิดขึ้นให้ได้รู้ได้เห็น นี่คือทางที่จะบรรลุ ถึงสัจธรรมของพระพุทธองค์ จงเป็นปกติธรรมดาตามธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำขณะอยู่ที่นี่เป็นโอกาสแห่งการฝึกปฏิบัติ เป็นธรรมะทั้งหมด เมื่อท่านทำวัตรสวดมนตร์อยู่ พยายามให้มีสติ ถ้าท่านกำลังเทกระโถน หรือล้างส้วมอยู่ อย่าคิดว่าท่านกำลังทำบุญทำคุณให้กับผู้หนึ่งผู้ใด มีธรรมะอยู่ในการเทกระโถนนั้น อย่ารู้สึกว่าท่านกำลังฝึกปฏิบัติอยู่เฉพาะเวลานั่งขัดสมาธิเท่านั้น พวกท่านบางคนบ่นว่า ไม่มีเวลาพอที่จะทำสมาธิภาวนา แล้วเวลาหายใจเล่ามีเพียงพอไหม การทำสมาธิภาวนาของท่านคือการมีสติระลึกรู้ และการรักษาจิตให้เป็นปกติตามธรรมชาติในการกระทำทุกอิริยาบถ
: เทศนาธรรมคำสอน..องค์หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง
อยู่ที่ไหนก็ฝึกจิตได้ แค่ใจสงบ ใจบริสุทธิ์ อยู่ที่ไหนก็ทำได้
ตายในคุกไปนิพพานได้ไหม
หลวงพ่อ : มีผลร้อยเปอร์เซ็นต์ จะตายที่ไหนก็ตามนะ จิตเขาบริสุทธิ์นะ จะตายในเรือนจำ เรือนจำน่ะมันไม่ใช่ส้วม ตายในส้วมยังไปนิพพานได้เลย
คือว่าเมื่อปี ๒๕๒๓ นึกอยากจะเข้าห้องน้ำ พอนั่งบนโถส้วมปั๊ป
มันมืดตื๋อไป ไม่เห็นอะไรทั้งหมด จิตพุ่งขึ้นทันที แต่ว่าพอไปถึงแล้ว
ท่านไล่กลับลงมา ที่ฉันกล้ายืนยันเพราะฉันไปมาแล้ว ไปในส้วมนี่สะดวกกว่าที่อื่นหมดไม่มีใครกวน เพราะอยู่ในส้วม เราคนเดียว อันนี้เรื่องจริง ๆ นะ ไม่เลือกสถานที่ อย่างนึกว่าเรือนจำเป็นที่เลว เพราะจิตเขาน่ะ
จิตเขานะบริสุทธิ์ อยู่ที่ไหนก็บริสุทธิ์ใช่ไหม
นอนอยู่ในส้วมก็บริสุทธิ์ ไอ้กายสกปก แต่จิตมันบริสุทธิ์ต่างหาก
คนนั้นเขาดีมาก อย่าลืมว่าเขาอยู่ในเรือนจำ เขาเห็นความทุกข์
อย่าลืมนะ นั้นตัวทุกข์เป็นตัว “ อริยสัจ ” นะ คือว่าการเกิดมีเป็นทุกข์อย่างนี้
คนในเรือนจำนี่ก็ไม่แน่นักว่าเขาจะมีโทษจริงหรือไม่จริง
บางครั้งก็ไม่ใช่มีโทษจริง แต่พยานเขายันไปยันมา ทนายเห็นด้วย
ผู้พิพากษาเห็นด้วย อัยการเห็นด้วยเข้าตะรางไปเลย นี่เยอะ ! อันนี้มีมาก หรือบางทีเขาอาจจะมีโทษจริง แต่ไอ้การที่เขาต้องทำผิด บางทีก็มีความจำเป็นจำใจ ถ้าเขาไล่ฆ่าเรา เราก็รักชีวิตก็ต้องหันไปป้องกันตัวแล้วต่อสู้ เผอิญเขาตาย ฝ่ายนั้นกลับไม่ผิดแต่ตายไปแล้ว ไอ้คนที่ป้องกันตัวกลับมีความผิด ไอ้อย่างนี้ก็มีมาก ต้องเห็นใจเขา
อย่านึกว่าคนในเรือนจำชั่วทุกคนไม่ได้
การฝึก การปฏิบัติ อย่ายึดติดมุ่งไปทางเดียวหน้ามืดตามัว
เวลาไหนพร้อมทำอะไรก็ตั้งใจทำสิ่งนั้น
วัวที่ไหนมีหญ้าให้กินมันก็จะมุ่งไปที่นั่นที่เดียว ไปที่ไหนแล้วอิ่มมันก็จะไปที่นั่น เหมือนการหาทางหลุดพ้น แต่คนไม่ใช่ เราไม่ได้กินเพื่ออยู่เพียงอย่างเดียว สิ่งจูงใจ ความกดดัน ปัจจัยแวดล้อมมันต่างกัน เราถึงต้องมีสติปัญญาที่เหนือกว่า การหลุดพ้นมันต่างกัน ไม่ควรหนีปัญหา ทิ้งปัญหาไว้ให้คนรอบข้าง แล้วมุ่งไปทางเดียว ควรพิจารณาด้วยสติปัญญาที่มี เวลาไหนควรทำอะไร เราทำอะไรได้ จงใช้สติปัญญาที่มีให้คุ้มค่า
คนใจแคบ คนยากจน ควรฝึกตนอย่างไร
เมื่อไม่เต็มใจให้ หรือไม่มีสิ่งที่อยากจะให้ ยามไม่มีเงินทอง ก็ฝึกใจให้พร้อม ปล่อยวางให้เป็น รู้จักการให้อภัย รักษาน้ำใจคนอื่น ยามใดพร้อมด้วยสมบัติ ก็จะให้อย่างเต็มใจ เพราะฝึกใจไว้พร้อมแล้ว
หากมองการเกิดของคนเป็นตัวปัญหา
คุณจะยอมรับปัญหานั้นได้รึเปล่า หากใช้สติปัญญาที่มีพิจารณาปัญหาที่จะเกิดมานั้นได้แล้ว รู้วิธีแก้ปัญหานั้นได้แล้วจึงยอมให้ปัญหาเกิด คุณก็จะไม่ทุกข์หรือมีความสุข เพราะรู้วิธีแก้ปัญหาก่อนปัญหานั้นเกิดแล้ว เตรียมการไว้แล้ว เช่นมีสมบัติพร้อมแล้ว วัยวุฒิ คุณวุฒิพร้อมแล้ว ปูทางไว้พร้อมแล้ว คุณก็จะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข แต่หากปัญหาเกิดในขณะที่คุณยังไม่พร้อม ไม่รู้วิธีแก้ปัญหา คุณก็จะทุกข์ ความยุ่งยากในชีวิตคุณจะมากขึ้น ภาระมากขึ้น หากตั้งสติแก้ไขปัญหา ยอมรับปัญหา เผชิญหน้ากับความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาได้เร็วเท่าใด ความทุกข์กับปัญหานั้นก็เบาบางลง แต่พึงระลึกถึงปัญหาที่จะตามมาในอนาคต รักมากก็หวงมาก จงเตรียมใจ รู้จักการปล่อยวาง
เราไม่รู้หรอกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในวันข้างหน้า แต่ที่เที่ยงแท้และแน่นอนที่สุด คือความสุขและความทุกข์