ทฤษฎีเซลฟี่ ความลี้ลับของธรรมชาติ ในเชิงฟิสิกส์(พิเศษ) [Theory of Selfies, The Mysteries of Nature in Physics]

ท่านใดที่เคยคิดว่า ธรรมะกับวิทยาศาสตร์ เป็นคนละเรื่อง ขัดแย้งกัน ไปด้วยกันไม่ได้ แต่ถ้าได้รับรู้ ทฤษฎีเซลฟี่ ความลี้ลับฯ นี้ แล้วท่านจะเปลี่ยนไป ถึงบางอ้อ “เฮ้อ!! ถึงมันเป็นคนละเรื่อง แต่ก็เป็นคนละเรื่องเดียวกัน”  
ใช่ครับ! เซลฟี่ [Selfie] มิใช่แค่ หยิบโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปเท่ ๆ ของตัวเองแล้วหละ มันมีอะไรที่แฝงอยู่มากกว่าที่เราเห็น   เราขยับมือขวา แต่ Selfie ขยับมือซ้าย  เราหยิบของยื่นให้ แต่ Selfie กลับยื่นสิ่งนั้นกลับคืนมา  เรายกมือไหว้คนอื่น แต่ Selfie กลับไหว้ตอบกลับมา และอีกมากมายโปรดใจเย็น ๆ
 
โมเมนต์[Moment]นั้น อยู่ในวิชาฟิสิกส์มัธยมต้นและปลาย กล่าวถึง แรงพยายาม แรงต้านทานและ จุดหมุน   สำหรับMomentนั้นไม่ธรรมดา “เมื่อออกแรงเล็กน้อย แต่ยกสิ่งของหนัก ๆ ได้” จึงช่วยให้การดำรงชีวิตราบรื่นสะดวกสบายขึ้นอักโข
   
Selfie อธิบายว่า ทำสิ่งใด ได้สิ่งนั่นตอบกลับมา ในขณะที่Moment บอกว่า ออกแรงเล็กน้อย แต่ได้รับกลับมายิ่งใหญ่ หรือทางกลับกัน ออกแรงมากมาย แต่ได้รับกลับมาน้อยนิด ทั้ง SelfieและMoment เมื่อทำงานร่วมกันจะช่วยให้เราเข้าใจโลกรอบตัวมากยิ่งขึ้น และสามารถได้รับประโยชน์จากธรรมชาติมากยิ่งขึ้น การดำรงชีวิตก็ราบรื่นและก้าวสู้เป้าหมายของชีวิตง่ายเสียอีก
 
 Selfie...ให้สิ่งใด ได้สิ่งนั้น, ให้สิ่งประณีต ได้รับสิ่งประณีต, ให้สิ่งสูงคุณค่า ได้รับสิ่งสูงคุณค่า, 
                 ยิ่งให้ ยิ่งได้ ผู้ที่ร่ำรวย เพราะว่าในอดีตเคยให้สิ่งของแก่ผู้อื่นไว้มากมาย  
Moment...ให้แก่ผู้ทรงศีล ได้รับกลับมาหลายเท่า, ให้แก่ผู้สำเร็จธรรม เช่น พระโพธิสัตว์ พระพุทธะ และพระอรหันต์ ได้รับกลับมาทวีคูณ ให้แก่ผู้มีพระคุณ เช่น พ่อแม่ ดินฟ้าอากาศ ได้รับกลับมาท่วมท้นทวีคูณ ทั้งนี้เพราะว่า ผู้ทรงศีลอยู่ใกล้จุดหมุนมากกว่าผู้คนทั่วไป ผู้สำเร็จธรรมอยู่ใกล้จุดหมุนมากกว่าผู้ทรงศีล ผู้มีพระคุณ อยู่ใกล้จุดหมุนมากที่สุด และพระพุทธเจ้า อยู่ ณ จุดหมุน นั่นเอง
 
Selfie ...ซ้าย คือ ขวา และขวา คือ ซ้าย, ต่ำต้อย คือ สูงศักดิ์ และ ยโสโอหัง คือ ต่ำทราม
Moment...อ่อนโยน ก้มกราบ เทิดทูนบูชาผู้มีพระคุณและผู้สำเร็จธรรม จึงได้รับความเคารพนับถือมากกว่ากระทำต่อผู้คนทั่วไป และในทางกลับกัน เมื่อทรยศหักหลังทำร้าย ผู้มีพระคุณและผู้สำเร็จธรรม จึงถูกธรรมชาติลงโทษสถานหนัก อย่าไปโทษใครที่ไหนเลย เมื่อต้องตกระกำลำบาก เพราะว่า นี่คือ กฎธรรมชาติขั้นพื้นฐาน “ธรรมะกับวิทยาศาสตร์ เป็นคนละเรื่องเดียวกัน” ใช่ไหมครับท่าน?
 
Selfie…เรากินเขา คือ เขากินเรา
เมื่อเรากินเนื้อสัตว์ แต่ใน Selfie สัตว์กลับกินเนื้อเรา ธรรมชาติสร้างมนุษย์และสัตว์ที่มีดวงจิตเหมือนกัน รักตัวกลัวตาย โกรธแค้นแล้วคิดบัญชีคืน เมื่อความโกรธแค้นสะสมมากพอจึงเกิดสถานการณ์ทวงบัญชีแค้น จึงไม่แปลกที่โควิด-19 ระบาดไม่หยุด และยังหาวัคซีนป้องกันไม่ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความโกรธแค้นของสัตว์ฯ ได้ระบายออกมาบ้างแล้ว การระบาดของโควิด-19 ก็จะลดลงเอง พร้อมทั้งมนุษย์ก็จะค้นพบวัคซีนที่ป้องกันได้ด้วย  เริ่มตาสว่างบ้างหล่ะ ว่าทำไม โควิด-19 จึงระบาดไม่หยุด แต่ว่าความยากไร้ โจรผู้ร้าย กำลังจะตามมา อีกไม่นานนะครับ ทำใจได้เลย แม้ว่าไม่เสียชีวิตเพราะโควิด-19 แต่กลับไม่ต่างจาก “นรกบนดิน” วิธีแก้ไข ก็ไม่ใช่ยากอย่างที่คิด ยากหรือไม่ อยู่ที่ใจของท่านเอง ว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์หรือไม่? วัคซีน คือการแก้ไขที่ปลายเหตุ การเลิกกินเนื้อสัตว์ต่างหาก คือการแก้ไขที่ต้นเหตุ แบบไหน ดีกว่ากันล่ะครับ? 
 
สำหรับ ภัยพายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง เกิดจากมนุษย์ทำลายดินฟ้าอากาศ นั่นเอง โรงงานและยานพาหนะปล่อยควันพิษ แม้โดยไม่เจตนา  ทว่า Selfie ก็ไม่มีข้อยกเว้น  ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกทำลายชั้นบรรยากาศ รวมทั้งการตัดไม้ทำลายป่าด้วย นี่คือ Selfie เห็น ๆ
ส่วนความขัดแย้งระหว่างประเทศนับวันยิ่งรุนแรงสาหัสสากรรจ์ เกิดจากมนุษย์มีความโลภอย่างไร้ขอบเขตและขาดเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่างไรเสีย หากเกิดสงครามโลกอีก ทั้ง 2 ฝ่ายจะล้มตายมากมาย ประเทศที่ไม่เกี่ยวข้อง ก็จะอยู่รอด และจะค้าขายร่ำรวยอีกด้วย จะได้เป็นเศรษฐีหลังสงคราม เพราะว่าประเทศที่ทำสงครามจะไม่มีเวลาทำมาหากิน แทบไม่น่าเชื่อ ใครที่สะสมอาวุธสงคราม แต่กลับมีฝ่ายตรงข้ามก็พยายามสะสมอาวุธสงครามด้วย “ก็ไม่มีใครยอมใคร ไงล่ะ” เมื่อพลังความลุ่มหลงสะสมมากพอ สงครามก็จะระเบิดขึ้น นี่ก็คือ  Selfie อีกนั่นแหละ
จากประสบการณ์สงครามโลก 2 ครั้ง ผู้คนล้มตายเป็นเบือ ทำให้รู้ว่า สงครามไม่ใช่ของดี ควรหลีกหนีให้ไกล ถ้าหากทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้าคุยกัน มีสัจจะไม่สะสมอาวุธสงครามเพิ่มขึ้น ลดความลุ่มหลงวัตถุเพราะว่าเมื่อตายไป ไม่มีใครนำอะไรไปได้สักอย่าง ลูกหลานก็จะกล่าวขวัญเคารพเทิดทูนบูชา นี่คือ เกิดปัญญาบารมี รู้เห็นตามเป็นจริง รวมทั้งเพิ่มพลังเมตตาบารมีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะถ้าสงครามระเบิดขึ้นเมื่อใด ประเทศคู่สงครามจะพบความวิบัติถล่มทลายเสียหายครึ่งค่อนประเทศ ทั้งหมดนี้ คือข้อยืนยันว่า “พลังธรรมะนั้น ไม่ธรรมดา สามารถควบคุมวิทยาศาสตร์ ให้ก่อประโยชน์ถ่ายเดียว เพื่อนำความสงบร่มเย็นมาสู่โลก โดยแท้!!” แต่ถ้าตรงข้าม ชาวโลกก็ต้องเตรียมทำใจไว้ได้เลย ครับท่าน
 
Selfie…อ่อนน้อม คือเจริญเติบโต ส่วนแข็งกระด้าง คือผุพังทรุดโทรม
ต้นกล้า ต้นอ่อน แสดงออกซึ่งความพร้อมเจริญเติบโตในเวลาต่อมา ส่วนต้นไม้เมื่อโตเต็มที่ย่อมแข็งกระด้าง นั่นคือสื่อให้รู้ว่า กำลังก้าวย่างสู่การผุพังทรุดโทรมสิ้นซาก ผู้อ่อนน้อมจนเป็นปกตินิสัย ก็จะเจริญก้าวหน้าได้ในที่สุด ในขณะที่ใครก็ตามมีนิสัยก้าวร้าวแข็งกระด้าง แม้ว่ากำลังรุ่งโรจน์ แต่อนาคตกำลังจะหมดสิ้นไปอย่างแน่นอน นี่คือ คำอธิบายทำนายว่า ประเทศคู่สงครามข้างต้น อาจเหลือแต่ชื่อ เพราะถูกลบไปจากแผนที่โลกเสียแล้ว เป็นเพราะว่า “พิษสงของวิทยาศาสตร์ ที่ขาดธรรมะควบคุม”  รวมทั้งแข็งกร้าวใส่กัน  จึงพากันพังทั้งคู่ นี่ก็ Selfie ชัดเว่อร์
Moment…อธิบายคล้าย ๆ กับที่ผ่านมา เปรียบเทียบ 5 ระดับ กล่าวคือ ผู้คนทั่วไป ผู้ทรงศีล ผู้สำเร็จธรรม ผู้มีพระคุณ และพระพุทธเจ้ารวมทั้งศาสดาทุกศาสนา ได้แก่ พระเยซู พระอัลเลาะห์ ท่านผู้เฒ่าเล่าจื้อ และปรมาจารย์ขงจื้อ เป็นต้น
 
Selfie & Moment...สงบนิ่ง คือ ทรงพลัง 
พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สิ้นกิเลส กิเลสตัณหามิอาจทำให้จิตใจพระพุทธองค์หวั่นไหว จึงประทับสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดก็ตาม ถวายทานและกราบไหว้เทิดทูนบูชาพระพุทธเจ้า จึงได้รับอานิสงส์หลากหลายมากมายสุดประมาณ
ผู้ที่กราบไหว้บูชา สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย ก็จะอยู่ใกล้พระนิพพาน พระองค์เป็นที่พึ่งองค์สุดท้าย ในยุคท้ายปลายกัล์ป พูดชัด ๆ โลกกำลังเสื่อมทรุดเหมือนต้นไม้ริมฝั่งที่เคาท์ดาวน์ถอยหลัง สู่กาลแตกดับ
 
ต้องยอมรับว่า โลกกำลังเผชิญการคัดเลือกโดยธรรมชาติ[Natural Selection]อีกครั้ง หลังจากเกิดสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อประมาณ 3,500 ล้านปีมาแล้ว (ก๊อปปี้จากเน็ต) Charles Darwin[1809 – 1882] อธิบายว่า สิ่งมีชีวิตหลายสปีซีส์ถูกธรรมชาติคัดเลือกให้มีชีวิตและสืบทอดต่อลูกหลานจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่อีกหลายสปีซีส์ก็สูญพันธุ์ไปแล้ว ที่อยู่รอดได้ มิใช่แข็งแรงกว่า หรือฉลาดกว่า แต่เป็นเพราะมีความสามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ จนเกิดความเหมาะสม [Fitness]  นั่นเอง ถ้าวันนี้ ท่านอยู่รอด ลูกหลานของท่านก็จะอยู่รอดด้วย ใช่ครับ ไม่ใช่แค่เดิมพันด้วยชีวิต แต่คือการเดิมพันกันทั้งโคตร ก็ไม่มีอะไร น่าตกอกตกใจ เพราะว่า แต่ไหนแต่ไร ธรรมชาติก็เป็นอย่างนี้เรื่อยมาอยู่แล้ว  
 
อย่างไรก็ดี นี่คือการเฝ้าสังเกตด้วยเหตุและผล เพราะว่า โลกนี้ ไม่มีอะไร "บังเอิญ" แม้ว่าจะเป็นบันไดขั้นต้น แต่ก็หวังว่า จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ ให้ช่วยกันศึกษาค้นคว้าและตรวจสอบซึ่งกันและกันต่อไป โลกนี้ คือ สมบัติของทุกท่านนะครับ จึงเป็นหน้าที่ของทุกคน คนละไม้คนละมือช่วยกันพิทักษ์รักษาเอาไว้เพื่อลูกหลานในอนาคตต่อไป ตราบเท่าที่โลกยังไม่แตกดับ    

ออกแรงน้อย แต่ได้รับกลับมา มากกว่าหลายเท่า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่