"เขายังไม่รู้เลยว่า พระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์ คืออะไรด้วยซ้ำไป"
ความรู้สึกที่มีต่อประโยคข้างต้นทำให้ผมต้องทบทวนและตรวจสอบตัวเองด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าผู้พูดจะไม่ได้หมายความถึงผมก็ตาม
และเมื่อผมอยากลองตอบคำถามของเขา ผมก็เลยพิจรณาดูว่า
หากคำถามของเขาหมายถึงความรู้ที่ทรงจำไว้จากการฟังและการอ่าน
อันมีความหมายตามที่ตำราได้บรรยายเอาไว้
ผมก็คงตอบว่าผมรู้และสามารถอธิบายแก่เขาได้ว่าคืออะไร
แต่ทว่าหากเขาหมายถึงการค้นพบสิ่งนั้นจากความเป็นจริง
แล้วให้ตั้งสมมติและนิยามความเป็นจริงของสิ่งนั้นออกมาแก่เขา
ผมก็ชักเริ่มให้คำตอบแก่เขาไม่ได้
อาจเป็นเพราะว่าบางคำถามนั้นเราจำเป็นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และทำความเข้าใจ
และวันนี้ผมจะขอตอบคำถามของเขา
ซึ่งคำตอบเป็นสิ่งที่ผมค้นพบได้ในตัวเอง ดังนี้
พุทโธคือความสะอาดสงบในจิตใจ
ธัมโมคือความจริงของเหตุและผลตามธรรมชาติ
สังโฆคือผู้อนุวัติตามมติโดยไม่ขัดแย้ง
ทั้งสามอย่างนี้เป็นความถูกต้องจำเพาะตนของคนๆหนึ่ง
และเป็นความดีงามของผู้ที่ได้ชื่อว่าประพฤติตรงต่อธรรม
แต่เราย่อมทราบกันดีว่าพระรัตนไตรนั้นเป็นรูปแบบของศรัทธาในพระศาสนาด้วย
กล่าวคือการเคารพพระพุทธเจ้า
การเชื่อฟังธรรมะคำสั่งสอน
และการนอบน้อมต่อพระสงฆ์ผู้เจริญ
ดังนั้นคำว่าพระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์จึงประกอบด้วยความหมายและหน้าที่
ทั้งต่อปัจเจกบุคคลและต่อสังคมหนึ่งๆด้วย
โดยต่อบุคคลจะได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติธรรม
และต่อสังคมย่อมได้ชื่อว่าเป็นหลักการปกครองและค้ำจุนสังคม
ซึ่งเราจะเห็นความสอดคล้องต้องกันของทั้งสองลักษณะด้วยรูปแบบของพระรัตนไตร
อันเป็นธรรมชาติที่มีความถูกต้อง มีความจริงแท้ มีระเบียบ และมีระบอบโดยธรรมชาติเอง
แล้วหากถามต่อไปถึงศีล,สมาธิ,ปัญญาล่ะว่ามีส่วนเกี่ยวของกันในลักษณะไหน
ก็ตอบว่าเป็นธรรมชาติที่เอื้ออำนวยหรือเป็นไปโดยไม่ขัดแย้ง
ในเบื้องต้นนั้นหลักไตรสิกขาเป็นหลักการในการอบรมตนเอง
ต่อมาไตรสิกขาเป็นสิ่งที่ปกปักรักษาตนได้
และต่อมาจึงเป็นหลักในการปกครองตน
ศีล,สมาธิ,ปัญญาคือสิ่งที่กระทำให้พระสัทธธรรมทั้งสาม
คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นมีความบริสุทธ์
การรู้จักพระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์คือการรู้จักถึงการใช้ชีวิตที่ถูกต้องดีงามประการหนึ่ง
ตามแบบอย่างที่เรียกว่าศาสนา
อันความศรัทธาแท้จริงแล้วนั้นมีขึ้นโดยชอบด้วยความสว่างแห่งปัญญา
และจะช่วยให้เราปฏิบัติตนโดยชอบธรรมได้
เพราะพระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์ล้วนเป็นของบริสุทธิ์ทั้งนั้น
แล้วก็ยังได้ชื่อว่าดีเด่นขึ้นเพราะมีศีล,สมาธิ,ปัญญาประกอบอยู่ในตัวเองด้วย
เหล่านี้จึงควรเป็นสิ่งที่นำมาเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติทั้งแก่ตนเองและแก่สังคม
เพื่อให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นและเป็นธรรมขึ้นมาในสังคมโลก
[ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงทัศนะส่วนตัวของป๋มเอง
มิได้ต้องการจะสั่งสอนหรือชี้นำความคิดของใครๆทั้งนั้น
ตรงกันข้ามหากว่ายังมีขัอบกพร่องหรือผิดพลาดประการใด
ป๋มก็ขอให้ท่านทักท้วงและแนะนำให้เข้าใจได้อย่างถูกต้องด้วย
ขอโอกาสและขอขมาไว้ณ.ที่นี้ด้วยครับ]
เรื่อง พระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์ วิถีสันติภาพและธรรมชาติของมนุษย์
ความรู้สึกที่มีต่อประโยคข้างต้นทำให้ผมต้องทบทวนและตรวจสอบตัวเองด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าผู้พูดจะไม่ได้หมายความถึงผมก็ตาม
และเมื่อผมอยากลองตอบคำถามของเขา ผมก็เลยพิจรณาดูว่า
หากคำถามของเขาหมายถึงความรู้ที่ทรงจำไว้จากการฟังและการอ่าน
อันมีความหมายตามที่ตำราได้บรรยายเอาไว้
ผมก็คงตอบว่าผมรู้และสามารถอธิบายแก่เขาได้ว่าคืออะไร
แต่ทว่าหากเขาหมายถึงการค้นพบสิ่งนั้นจากความเป็นจริง
แล้วให้ตั้งสมมติและนิยามความเป็นจริงของสิ่งนั้นออกมาแก่เขา
ผมก็ชักเริ่มให้คำตอบแก่เขาไม่ได้
อาจเป็นเพราะว่าบางคำถามนั้นเราจำเป็นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และทำความเข้าใจ
และวันนี้ผมจะขอตอบคำถามของเขา
ซึ่งคำตอบเป็นสิ่งที่ผมค้นพบได้ในตัวเอง ดังนี้
พุทโธคือความสะอาดสงบในจิตใจ
ธัมโมคือความจริงของเหตุและผลตามธรรมชาติ
สังโฆคือผู้อนุวัติตามมติโดยไม่ขัดแย้ง
ทั้งสามอย่างนี้เป็นความถูกต้องจำเพาะตนของคนๆหนึ่ง
และเป็นความดีงามของผู้ที่ได้ชื่อว่าประพฤติตรงต่อธรรม
แต่เราย่อมทราบกันดีว่าพระรัตนไตรนั้นเป็นรูปแบบของศรัทธาในพระศาสนาด้วย
กล่าวคือการเคารพพระพุทธเจ้า
การเชื่อฟังธรรมะคำสั่งสอน
และการนอบน้อมต่อพระสงฆ์ผู้เจริญ
ดังนั้นคำว่าพระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์จึงประกอบด้วยความหมายและหน้าที่
ทั้งต่อปัจเจกบุคคลและต่อสังคมหนึ่งๆด้วย
โดยต่อบุคคลจะได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติธรรม
และต่อสังคมย่อมได้ชื่อว่าเป็นหลักการปกครองและค้ำจุนสังคม
ซึ่งเราจะเห็นความสอดคล้องต้องกันของทั้งสองลักษณะด้วยรูปแบบของพระรัตนไตร
อันเป็นธรรมชาติที่มีความถูกต้อง มีความจริงแท้ มีระเบียบ และมีระบอบโดยธรรมชาติเอง
แล้วหากถามต่อไปถึงศีล,สมาธิ,ปัญญาล่ะว่ามีส่วนเกี่ยวของกันในลักษณะไหน
ก็ตอบว่าเป็นธรรมชาติที่เอื้ออำนวยหรือเป็นไปโดยไม่ขัดแย้ง
ในเบื้องต้นนั้นหลักไตรสิกขาเป็นหลักการในการอบรมตนเอง
ต่อมาไตรสิกขาเป็นสิ่งที่ปกปักรักษาตนได้
และต่อมาจึงเป็นหลักในการปกครองตน
ศีล,สมาธิ,ปัญญาคือสิ่งที่กระทำให้พระสัทธธรรมทั้งสาม
คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นมีความบริสุทธ์
การรู้จักพระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์คือการรู้จักถึงการใช้ชีวิตที่ถูกต้องดีงามประการหนึ่ง
ตามแบบอย่างที่เรียกว่าศาสนา
อันความศรัทธาแท้จริงแล้วนั้นมีขึ้นโดยชอบด้วยความสว่างแห่งปัญญา
และจะช่วยให้เราปฏิบัติตนโดยชอบธรรมได้
เพราะพระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์ล้วนเป็นของบริสุทธิ์ทั้งนั้น
แล้วก็ยังได้ชื่อว่าดีเด่นขึ้นเพราะมีศีล,สมาธิ,ปัญญาประกอบอยู่ในตัวเองด้วย
เหล่านี้จึงควรเป็นสิ่งที่นำมาเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติทั้งแก่ตนเองและแก่สังคม
เพื่อให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นและเป็นธรรมขึ้นมาในสังคมโลก
[ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงทัศนะส่วนตัวของป๋มเอง
มิได้ต้องการจะสั่งสอนหรือชี้นำความคิดของใครๆทั้งนั้น
ตรงกันข้ามหากว่ายังมีขัอบกพร่องหรือผิดพลาดประการใด
ป๋มก็ขอให้ท่านทักท้วงและแนะนำให้เข้าใจได้อย่างถูกต้องด้วย
ขอโอกาสและขอขมาไว้ณ.ที่นี้ด้วยครับ]