แก่นแท้ศาสนาพุทธ

    

                            แก่นรูปธรรมของศาสนาพุทธ ( สิ่งที่พุทธฯให้ปฏิบัติและสาเหตุที่ให้ปฏิบัติ ในส่วนซึ่งเป็นรูปธรรม ) คือ

       ๑.   พุทธเห็นสิ่งมีชีวิตมีธรรมชาติเป็นสิ่งสังเวช ไม่ดี ทุกข์ ต้องสลัดทิ้ง ยุติ ระงับ แต่ไม่ให้ใช้วิธีบั่นทอนชีวิตตน ให้ใช้วิธียังหล่อเลี้ยงชีวิตตนเองไว้ด้วยกิริยาสำรวมหนักแน่นประหยัดพอดี ( ไตรสิกขา )  จนกว่าจะสิ้นสังขารไป

       ๒.   พุทธไม่ก้าวก่ายบงการบังคับชาวบ้าน ( คฤหัสถ์,ฆาราวาส ) ใดๆเลย   ( นอกจากการก้าวก่ายเดียวคือ การปฏิเสธไม่รับถวายปัจจัยที่ผิดพระวินัยและการบอกแจงถึงปัจจัยที่ถูกพระวินัย )          นอกนั้นมีแต่การบังคับต่ออุปสัมบัน (พระสงฆ์) ด้วยกันเองเท่านั้น  ( ในพระวินัยปิฎกจะไม่มีศีล๕ ศีล๘ ศีล๑๐ มีแต่ศีลเรียงกลุ่มรวมแล้วหลายร้อยข้อที่บังคับใช้กับสงฆ์เท่านั้น )
 -   ศีล๕ เป็นศีลของพราหมณ์ฮินดูที่ชาวบ้านชมพูทวีปถือใช้กันอยู่ พอมีการเผยแผ่พุทธก็ย่อมมีชาวบ้านพราหมณ์มานับถือพุทธแต่ก็ยังถือใช้ศีล๕ กัน ซึ่งพระพุทธเจ้าจะทรงไม่ก้าวก่าย คนไทยส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นศีลของพุทธ    ส่วนศีล ๘ ศีล ๑๐ เกิดจากชาวพุทธต่อมาได้ยืมศีลบางข้อในพระวินัยมาบวกเพิ่มเข้ากับศีล๕  ทำนองเพื่อใช้กับชีพราหมณ์เนกขัมมะและสามเณร

       ๓.   พระวินัยทั้งหมดของพุทธจะมีภาพรวมสำคัญกำหนดให้สงฆ์ทุกรูปประพฤติดังนี้
-   กินอยู่ใช้แค่ในปัจจัยฐานพื้นฐาน ( ด้วยการรับจากชาวบ้านที่ไม่เดือดร้อนและยินดี ) ห้ามสะสมปัจจัย
-   ไม่หาทรัพย์ รับทรัพย์ เก็บทรัพย์ ( ทรัพย์ที่จะใช้ซื้อปัจจัยได้เช่นทรัพย์เงินทอง ) ห้ามซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของแบบชาวบ้าน
-   ประพฤติอยู่แต่ในคุณธรรม เช่น ให้สำรวมทุกกิริยา ไม่ หลอกลวง ทำร้าย ขโมย เบียดเบียน ฆ่า ดูฟังเล่นบันเทิง ตกแต่งฟุ่มเฟือย ขอปัจจัยจากผู้ที่ไม่ได้ปวารณาตนถ้าไม่มีผู้ปวารณาตนก็ให้เอ่ยปากขอได้จากญาติของตนเท่านั้น  อวดอ้างฤทธิ์วิเศษต่อชาวบ้าน เป็นต้น
-   ไม่จงใจกระตุ้นและสนองกำหนัด ( อารมณ์ทางเพศ) ทุกรูปแบบและไม่ไปอยู่ในสถานการณ์กระตุ้นกำหนัด
-   แสดงธรรมตามสมควร

      ๔.  ไตรสิกขา ได้แก่   ๑. ศีล        >  ประพฤติอยู่ในวินัยศีลของพระพุทธ
                                      ๒. สมาธิ    >  มีความหนักแน่นนิ่งอยู่ในวินัยศีล
                                      ๓. ปัญญา  >  รู้เข้าใจจุดสมบูรณ์พอดีของศีลสมาธิ

                                                                                                                                                                                                                    .       

                                                แก่นนามธรรมของพุทธ ( สาเหตุที่ให้ปฏิบัติ ในส่วนซึ่งเป็นนามธรรม ) คือ

-    เหตุที่พระพุทธองค์ไม่ให้สาวกบั่นทอนชีวิตตน  แต่ให้หล่อเลี้ยงตามควรจนกว่าจะละสังขารทั้งๆที่เป็นร่างแห่งทุกขสังเวชที่ต้องเลิกต้องสลัดทิ้ง ก็เพราะ การบั่นทอนชีวิตตนเองนี้จะไม่จบ     คนทั่วไปเมื่อตายลงยังต้องเกิดอีกในร่างต่อไปหรือต่อๆไป เนื่องจากสิ่งมีชีวิตทุกๆชีวิตจะมี   " สังสารวัฏ "         ( อำนาจหรือแรงที่ผลักบังคับให้สิ่งมีชีวิตเมื่อตายลงแล้วต้องเกิดอีกในร่างต่อไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ    เป็นแรงที่จำติดประจำตัวในแต่ละชีวิต ซึ่งน่าจะจำติดเป็นอัตราปริมาณที่เรียกว่า  บุญกุศลและบาปอกุศล  )
ประพฤติ บุญกุศล จะทำให้ สังสารวัฏ นี้ลดลง          ประพฤติ บาปอกุศล จะทำให้ วนเวียนอยู่ในภพชาติสังสารวัฏ
บุญกุศล (ไตรสิขา) ถึงที่สุด ทำให้สิ้นสังสารวัฏ   ( สำเร็จอรหัตผลไม่ต้องเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตใดๆอีกแล้วเมื่อตายจากร่างนี้หรือสำเร็จนิพพาน )

ทั้งแก่นรูปธรรมและแก่นนามธรรมนี้รวมเรียกว่า     อริยสัจ ๔  ( ความจริง ๔ ประการของผู้ประเสริฐเจริญ ในคัมภีร์ )  ได้แก่  

                        ๑.  ทุกข์    (ความทุกข์)          >   ความหิว กลัวภัย กำหนัดคัดตึง ฯลฯ  ของสิ่งมีชีวิต                
                        ๒.  สมุทัย  (สาเหตุ)              >   การเกิด แก่ เจ็บ ตายของสิ่งมีชีวิต ( สังเวช ๔ )  
                        ๓.  นิโรธ  (ต้องระงับสาเหตุ)  >   ต้องสลัดทิ้ง ยุติ ระงับสิ่งที่ครองทุกขสังเวชนี้ในบั้นสุด  
                        ๔.  มรรค  (วิธีระงับ)              >   หล่อเลี้ยงชีวิตอย่างสำรวมหนักแน่นประหยัดพอดี ( ไตรสิกขา ) ตลอดไป  
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  พระไตรปิฎก ศาสนาพุทธ ปฏิบัติธรรม ศาสนา ปรัชญา
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่