ศีลธรรมเบื้องต้น ท่านเอาไว้สอนฆราวาส ?

เมื่อได้เห็น ความคิดและคำพูดของ นายคันโตนาซี แล้วรู้สึกได้ว่า เหมือนกำลังสนทนาอยู่กับคนป่วยทางจิตประสาท
ที่วันๆ ไม่คิดอะไรมากไปกว่า การจินตนาการ "ฟุ้งซ่าน" ว่าจะหาเรื่องด่าพระสงฆ์องค์เจ้า(ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ) อย่างไรดี ?

เพลาๆ "บาปกรรม" ลงบ้าง ก็น่าจะเป็นการดี ทั้งต่อตนเองและผู้คนรอบข้าง นะครับ

ประเด็นที่ ๑



ล่าสุด นายคนนี้ ก็ได้กล่าววาจาอุบาทว์ เพื่อทำลายแนวคำสอน  ศีล สมาธิ ปัญญา ในพระพุทธศาสนา ขึ้นมาว่า

"ศีลธรรมเบื้องต้นน่ะ ท่านไว้สอนอุบาสก อุบาสิกา ฆราวาส"

ทั้งนี้ก็เพื่อหมายจะปฏิเสธ  หรือโต้แย้งในทำนองว่า พระพุทธเจ้าไม่ตรัสสอนเรื่อง "ศีล" แก่ภิกษุทั้งหลาย
ซึ่งเมื่อพิจารณาหลักฐานชั้นพุทธพจน์จากพระไตรปิฎกแล้ว สามารถกล่าวได้เลยว่า

ไอ้หมอนี่ กำลังกล่าวตู่พระพุทธเจ้า อย่างน่าทุเรศที่สุด !

ถ้าหากเรา "เทียบเคียง" กับคำแอบอ้างของคนพวกนี้ที่มัก "ยกตน" อวดเบ่ง(เป็นอึ่งอ่าง)ในทำนองว่า
กำลังปกป้องพระธรรมวินัย(ด้วยการด่าพระ ?) รักษาพระไตรปิฎก(ซึ่งไม่เคยศึกษาอย่างจริงจัง !)

ท่านทั้งหลายจงพิจารณาพุทธพจน์จากพระสูตร ดูเอาเองเถิดว่า พระพุทธเจ้าทรงเอาจริงเอาจังขนาดไหน
ในการอบรมสั่งสอนภิกษุทั้งหลายในเรื่อง "ศีล" ซึ่งนับเป็น พื้นฐาน อันสำคัญยิ่งแก่สมาธิ สมดังที่ตรัสว่า

"สมาธิ อันศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่"







สิ่งที่ผมต้องการทวงถาม นายคันโตนาซี ก็คือ เมื่อเห็นหลักฐานนี้แล้ว มันจะแสดงความรับผิดชอบ
ต่อวาจาชั่ว และการกล่าวตู่บิดเบือน พระธรรมวินัย ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนี้ อย่างไร ?

ประเด็นที่ ๒

ไอ้หมอนี่ เขาตั้งคำถามว่า ผม "เก่ง" แค่ไหนหรือ ที่บอกว่าคำสอนนี้ เป็นแค่ศีลธรรมเบื้องต้น ?

ต่อคำถามโง่ๆ เช่นนี้ ผมก็จำต้องกล่าวตามตรงว่า แท้ที่จริงแล้ว ชาวพุทธทั้งหลายสามารถทำความเข้าใจ
ในพุทธพจน์จาก อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความเก่งกล้าสามารถ อะไรมากนัก
ขอเพียงแค่มี สติสัมปชัญญะแต่พอประมาณ และดวงตาไม่มืดบอดจนมองอะไรไม่เห็น ก็เป็นอันใช้การได้แล้ว



เพราะเมื่อพิจารณาข้อความจากพระสูตรดังกล่าว เราย่อมทราบได้โดยไม่ยากว่า
พระพุทธเจ้าตรัสสอนครบถ้วนทั้ง ศีล สมาธิ และปัญญา ตัวอย่างเช่น

(๑) บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่าการเลี้ยงชีพของเราเนื่องด้วยผู้อื่น
ซึ่งเรื่องการเลี้ยงชีพนี้ จัดว่าเป็นหมวดศีลอย่างชัดเจน แม้มิได้ระบุคำว่า ศีล กำกับไว้ก็ตาม และเมื่อศีลข้อนี้
ได้รับการอบรมด้วยปัญญาอย่างดีแล้ว ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งแห่งองค์มรรค คือ สัมมาอาชีวะ อย่างมิต้องสงสัย

(๒) เมื่อพิจารณาข้อความจากพระสูตรไปตามลำดับ จะพบว่า เมื่อพ้นจากขั้นศีล ก็จะเป็นเรื่องสมาธิ ดังที่ตรัสว่า

บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่าวันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ๑
บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราย่อมยินดีในเรือนว่างเปล่าหรือไม่ ๑

จะเห็นได้ว่า ๒ ข้อนี้เป็นเรื่องของ สมาธิ โดยเฉพาะ และในข้อสุดท้ายที่ตรัส ก็เป็นเรื่องของการเจริญ "ปัญญา"
ดังนั้น พระบาลีในข้อที่ตรัสว่า

บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทของกรรม ฯลฯ

จึงเป็นเรื่องในชั้นศีล เท่านั้นเอง ยังมีใครที่มองเห็น "ไม่ชัด" อยู่อีกหรือไม่ครับ ?

ประเด็นที่ ๓

ถ้าหากท่านทั้งหลาย พิจารณากรณีนี้ให้ดีๆ ก็จะพบว่า ที่มาของความคิดและคำพูดโง่ๆ
ซึ่งได้กลายเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้านี้ แท้ที่จีง มันเริ่มต้นมาจากการ ตั้งความเห็นไว้ผิด มาแต่แรก

ก็นายคันโตนาซี มีความเห็นผิดมาแต่แรกว่า พระพุทธเจ้าไม่ตรัสสอนเรื่อง ศีล ให้แก่ภิกษุทั้งหลาย
จากนั้น ด้วยความมืดบอดทางปัญญา เขาจึงอ้างอย่างโง่ๆ ว่าข้อความใน อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร
เป็นการตรัสสอนแก่ ภิกษุทั้งหลาย  ดังนั้น เนื้อความทั้งหมด จึงไม่ใช่เรื่อง "ศีล" ดังจะเห็นจากหลักฐานได้ว่า
นายคันโตนาซี พยายามทำไฮไลท์คำว่า "ภิกษุ" ให้ผู้อื่นได้เห็น โดยสิ่งที่มันกลับมองไม่เห็น ก็คือคำว่า "ศีล"

แปลกดีไหมครับ ?



ปัญหาของเรื่องนี้ มันอยู่ที่ "ตรรกวิบัติ" ของนายคันโตนาซี เอง ทั้งนี้ ก็เพราะ ตรรกะ เหตุผลใดๆ ก็ตาม
จะถูกต้องสมบูรณ์ได้ จะต้องเริ่มต้นด้วย หลักฐานข้อเท็จจริง ที่ถูกต้องตามความเป็นจริง เสียก่อน
ถ้าตั้งสมมุติฐานบนข้อมูลหลักฐานอันเป็นเท็จ ผลจากการใช้ตรรกะใดๆ ก็ย่อมเป็นเท็จตามไปด้วย

เมื่อพิจารณาหลักฐานจากพระไตรปิฎก เราย่อมทราบข้อเท็จจริงได้ว่า
พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องศีลแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างให้ความสำคัญยิ่ง

ที่ผมกล้าระบุว่า ทรงให้ความสำคัญอย่างมากนั้น ก็เพราะจนแม้แต่ในช่วงเวลาสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ ในระหว่างทาง
ขณะเสด็จไปกุสินารา ก็ยังตรัสสอนภิกษุทั้งหลายอยู่แต่เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งในพระบาลี ใช้คำว่า "เป็นอันมาก" !

และถ้าหาก นายคันโตนาซีจะไม่อวดฉลาด(แบบโง่ๆ) ให้มากจนเกินไปนัก เขาย่อมทราบได้ด้วยตนเองว่า
จนแม้แต่พระสูตรที่เขายกขึ้นอ้าง ก็เป็นเรื่องของ ศีล สมาธิ และ ปัญญา เช่นกัน ซึ่งถ้าหากว่ามี สติ แม้สักนิด
มันก็คงไม่ต้องทวงถามผม ให้น่าหัวร่อว่า ......

จ้าวนครฯ เก่งแค่ไหนหรือ ที่บอกว่าคำสอนนี้ เป็นแค่ศีลธรรมเบื้องต้น ?

หรือมิใช่ ?

ลำพังความพยายามในการ "ด่าพระ" ผู้เป็นพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งทั้งฆราวาสและบรรพชิต
ต่างให้ความเคารพบูชา ก็นับว่า อุบาทว์ มากจนเกินทนแล้วนะครับ แต่คนหยาบช้าพวกนี้
เมาหมกในมิจฉาทิฐิของพวกมัน จนถึงขั้น กล่าวตู่บิดเบือนพระพุทธเจ้า กันไม่เว้นแต่ละวัน
โดยปราศจาก ความละอาย และความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น  

มันจะไม่มากไปหน่อยหรือครับ ?

อีกเรื่องที่ต้องการถามจากใจจริงเลย ก็คือ พวกแกเป็น "ชาวพุทธ" จริงๆ ละหรือ ?
เพราะหากเป็นชาวพุทธจริงสมดังอ้าง แล้วเหตุใดจึงได้ก่อกรรมทำเข็ญ ด้วยการกล่าวตู่บิดเบือนพระธรรมวินัยเป็นว่าเล่น
ทั้งๆ ที่ก็น่าจะทราบเป็นอย่างดีแล้วว่า การกล่าวตู่พระพุทธเจ้า นั้นย่อมจะต้องประสบบาปกรรมมิใช่น้อย !



แล้วผมจะรอดู การแสดงความรับผิดชอบจาก "ชาวพุทธชายขอบ" พวกนี้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่