....... ( เรื่องสั้นที่ไม่เคยมีใครได้อ่าน ) .......
........
"ภูตศิลา" เป็นนามปากกาของนักเขียนเรื่องสั้นและนิยายสยองขวัญชั้นแนวหน้า ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักอ่าน และคนชอบหนังแนวสยองขวัญ งานของเขานอกจากได้ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มแล้ว บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ยังนำเรื่องของเขาไปสร้างเป็นภาพยนตร์และหนังสั้น ออกเผยแพร่จนเป็นที่ติดอกติดใจของผู้ชมมากมาย เรียกได้ว่าพอเรื่องที่เขียนโดย "ภูตศิลา" ออกอากาศเวลาไหน เวลานั้น ทุกคนในบ้านจะจ้องอยู่หน้าจอด้วยใจเต้นรัว
จุดเด่นในงานเขียนของเขา นอกจากการเดินเรื่องและฉากอันน่าระทึกใจแล้ว ยังมีอีกอย่างที่ทำให้งานของเขามีเสน่ห์ชวนมอง นั่นคือ ต้นฉบับงานเขียนทุกชิ้น เขาจะเขียนด้วยลายมือ ทำให้ต้นฉบับของเรื่องซึ่งถูกตีพิมพ์ เป็นที่ต้องการของนักสะสมหลายคน ดังนั้น สำนักพิมพ์ที่มีต้นฉบับซึ่งเขียนด้วยลายมือของ "ภูตศิลา" จึงมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทาง โดยการนำต้นฉบับนั้นออกมาให้นักสะสมประมูล ด้วยราคาเริ่มต้นหลักหมื่น จนถึงหลักแสนเลยทีเดียว
ราคาของงานเขียนแต่ละชิ้นจะแตกต่างกันไปตามกระแสความนิยม แต่ถ้าเป็นเรื่องที่นำไปสร้างภาพยนตร์และทำรายได้เป็นตัวเลขเกินเจ็ดหลักขึ้นไป ต้นฉบับงานชิ้นนั้นจะมีราคาสูงเกินกว่างานชิ้นอื่นเป็นเท่าตัว จึงกลายเป็นของมีค่าอีกอย่างหนึ่ง ที่นักสะสมผู้มีฐานะอยู่ในขั้นเศรษฐี จะหามาครอบครอง แต่แหล่งที่จะมีต้นฉบับเหล่านั้น มีแค่ในสำนักพิมพ์และบริษัทสร้างภาพยนตร์บางแห่ง ดังนั้น คนบางคน จึงหาทางสร้างรายได้จากต้นฉบับนี้ด้วยวิธี "โจรกรรม"
มูลค่าต้นฉบับซึ่งเขียนด้วยลายมือของ "ภูตศิลา" เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกสามเท่าตัว
เริ่มตั้งแต่วันที่เขาได้เสียชีวิตลงอย่างสงบในบ้านของตัวเอง โดยมีอายุได้แปดสิบสี่ปีพอดี วงการวรรณกรรมต่างแสดงความอาลัย และเสียดายนักเขียนมือดีอีกคนของวงการ แต่ในหมู่ของนักสะสม และหัวขโมย กลับมองต่างมุมไปอีกทาง
ในกลางดึกของคืนหนึ่ง หลังจากการเสียชีวิตของนักเขียนดังผ่านไปได้สิบกว่าวัน ชายหนุ่มสองคนในชุดเสื้อผ้าสีดำกลมกลืนกับความมืดได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ใกล้กับบริเวณบ้านไม้ใต้ถุนสูงไม่มีรั้วรอบหลังหนึ่ง แสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวทำให้เห็นบ้านตรงหน้าเป็นสีฟ้าซีดจาง ๆ ขณะฮวงซุ้ยหินอ่อนในป้าช้าจีนซึ่งเรียงรายอยู่อีกฝั่งถนนมองเป็นแนวเลือนราง
"เมียเอ็งคลอดเมื่อไรวะไอ้หน่อย"
ชายคนหนึ่งเอ่ยถามเพื่อนออกมาขณะเพ่งมองไปในความมืดรอบตัว
"เดือนหน้าว่ะต้อม เงินยังไม่มีติดบ้านเลย เข้าบ้านไหนก็ยาก เดี๋ยวนี้กล้องเต็มไปหมด"
ชายชื่อหน่อยตอบเพื่อนออกไปพร้อมกับมองบ้านไม้ตรงหน้าพลางนึกภาพทรัพย์สินข้างใน
"เออ บ้านนี้ไม่มีกล้องชัวร์ กลางวันข้ามาดูสองรอบแล้ว"
"แล้วจะมีอะไรให้เอาวะ บ้านโทรมขนาดนี้"
เจ้าต้อมไม่ตอบกลับมา ได้แต่พยักหน้าแล้วเดินนำเพื่อนไป
ถนนเล็ก ๆ ผ่ากลางระหว่างบ้านกับป่าช้า ยามนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ เป็นเพราะเวลาล่วงมาค่อนคืน อีกทั้งสภาพแวดล้อมโดยรอบ แม้ยามปกติก็ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมาอยู่ดี ดังนั้นชายทั้งสองคนจึงเข้าในเขตบ้าน และหยุดยืนอยู่ข้างบันไดได้อย่างเร็ว โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ
เสียงจิ้งหรีดกรีดปีกระงมท่ามกลางบรรยากาศรอบตัวอันเยือกเย็นแต่ปราศจากลม ใบไม้รอบด้านนิ่งสนิทไม่สั่นไหว เสียงสวบสาบของสัตว์หากินกลางคืนวิ่งไล่กันจากดงหญ้ารกในป่าช้าได้ยินชัดเจน เงานกแสกตัวโตกางปีกกว้างร่อนต่ำแค่เอื้อมพร้อมกับส่งเสียงร้อง แซ้ก ก่อนหายไปในดงไม้ตรงหน้า ขณะเสียงหนูตัวเล็กมุดเข้ากอหญ้าอย่างไว เจ้าหน่อยมองหน้าเพื่อนในความสลัวก่อนเอ่ยออกมาเบา ๆ
"หลังนี้แน่เหรอวะไอ้ต้อม ทำไมมันเงียบจัง"
ชายชื่อต้อมพยักหน้าพลางเดินไปทางบันได ก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาพอกัน
"แน่สิไอ้หน่อย เค้ามาสัมภาษณ์แกออกทีวีบ่อย ๆ เอ็งไม่เคยดูเลยรึไง"
เจ้าต้อมถามกลับขณะก้าวเท้าขึ้นบันไดไม้ขั้นแรกไป
เจ้าหน่อยก้าวตามหลังพลางหันซ้ายแลขวา ก่อนหันไปทางป่าช้าพร้อมกับมองด้วยความระแวง ก่อนตอบกลับไปด้วยเสียงในลำคอ
"เคยสิวะ แค่สงสัยว่ามันน่าจะมีคนอยู่บ้านสักคน"
เจ้าต้อมเดินถึงขั้นบนสุดพร้อมกับก้าวไปยืนหน้าประตูยกมือขึ้นจับกุญแจเขย่าเบา ๆ สองสามที พลางทำหน้าครุ่นคิดอยู่อึดใจ ก่อนย้ายมือขยับไปตรงมือจับกำไว้แน่น แล้วก้าวถอยหลังออกแรงกระชากเข้าหาตัว ทำให้สายยูซึ่งยึดน็อตตัวเล็กไว้กับบานประตูหลุดออกอย่างง่ายดาย
เสียงสายยูเหล็กเด้งฟาดกับประตูอีกบานซึ่งปิดตายอยู่ดังแกรกเบา ๆ ก่อนมีเสียง แอ๊ด ยาว ๆ ขณะเจ้าต้อมดึงบานประตูในมือเปิดกว้างและมองเข้าไปยังความมืดมิดด้านใน
"ลูกแกแต่ละคนมีงานดี ๆ ทำ มีบ้านอยู่ บ้านโทรม ๆ อย่างนี้ไม่มีใครสนใจหรอกเว้ย อย่ามัวสงสัยเอาไฟฉายมา"
เจ้าต้อมทำน้ำเสียงจริงจัง พร้อมกับยื่นมือรับไฟฉายจากเพื่อน ขณะเจ้าหน่อยเอ่ยออกมา
"เปิดไฟฉายมันจะดีเหรอวะ เผื่อมีใครผ่านมาเห็น"
เจ้าต้อมรับไฟฉายมาแล้วชะงักนิดหนึ่งขณะนึกตามคำพูดเพื่อน พลางมองฝ่าความมืดเข้าไปอีกครั้งพร้อมกับทิ้งมือลงข้างลำตัว
"งั้นเอ็งไปเปิดหน้าต่างออก ข้าจะส่องไฟให้ เปิดเร็ว ๆ นะ จะได้รีบปิดไฟ"
เจ้าหน่อยได้ยินเพื่อนพูดอย่างนั้นจึงเดินแทรกเข้าไปพร้อม ๆ กับแสงไฟฉายในมือเจ้าต้อม สาดเข้าไปในห้องเป็นทาง เผยให้เห็นโต๊ะเขียนหนังสือตั้งอยู่มุมในสุด ระหว่างประตูห้องนอนกับหน้าต่างด้านติดกับป่าช้า เจ้าหน่อยเดินอย่างหวาด ๆ ไปทางหน้าต่าง ท่ามกลางแสงเงาที่หักเห ทำให้มองเห็นเหมือนกับมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขากะพริบตาพร้อมกับเพ่งมองอีกครั้งขณะใจเต้นรัว และเห็นว่านั่นคือเงาของเขาซึ่งทอดเข้าไปตรงนั้นพอดี จึงถอนใจอกมาและเดินต่อไปจนถึงหน้าต่างพลางเอื้อมมือจับกลอนโยกไปมาสองสามครั้งแล้วดึงขึ้น ก่อนยกมือขึ้นจับกลอนด้านบนดึงลงมาแล้วผลักบานหน้าต่างออกไป พร้อม ๆ กับเจ้าต้อมดับไฟฉายในมือ
ฮวงซุ้ยหินอ่อนเรียงทะมึนใต้แสงจันทร์เลือนราง ตอนนี้เห็นได้ในมุมกว้างกว่าเดิมเมื่อเจ้าหน่อยมองลงไปจากด้านบน สายลมเอื่อย ๆ พัดกอหญ้าโอนเอนตามลม กลิ่นธูปหอมแบบบ้านคนจีนโชยมาสร้างความแปลกใจพร้อมกับขนที่แขนเขาลุกชัน เมื่อภายในป่าช้าไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ แม้แต่อย่างเดียว
"เฮ้ย มาช่วยกันดูสิ เดี๋ยวไม่ทันเช้า"
เสียงเจ้าต้อมดังขึ้น ดึงเจ้าหน่อยให้ละสายตาจากหลุมศพเรียงรายเข้ามาข้างใน แสงสลัวจากจันทร์ครึ่งดวงทำให้เห็นข้างในนี้เลือนราง แต่ยังเห็นสภาพโดยรอบว่าทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิม อาจเป็นเพราะเพิ่งเสร็จงานศพไปไม่กี่วัน ลูก ๆ เขาคงต้องกลับไปทำงานกันก่อน เนื่องจากลามาจัดการงานศพหลายวัน ตอนนี้จึงยังไม่มีใครมาจัดการทรัพย์สินใด ๆ
แต่เท่าที่มองด้วยสายตา ทรัพย์สินมีค่าในที่นี้ไม่มีอะไร ทีวีเก่า ๆ ซึ่งตั้งใกล้ ๆ กับตู้เย็นอยู่ตรงเสากลางบ้าน ดูแล้วไม่น่ามีราคา อีกทั้งตู้ไม้เตี้ย ๆ ซึ่งวางของจุกจิกอยู่ก็เช่นกัน มีแค่ของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนแก่ทั่วไป แต่จุดมุ่งหมายที่เจ้าต้อมมาที่นี่ในคืนนี้ ไม่ได้มองหาของมีค่าอย่างอื่น คำสั่งของลูกค้าซึ่งคบหากันมานาน ต้องการเพียงอย่างเดียว คือ
ต้นฉบับที่อาจหลงเหลืออยู่ของ "ภูตศิลา"....
( มีต่อครับ )
.....เรื่องสั้น........ เรื่อง.......เรื่องสั้นที่ไม่เคยมีใครได้อ่าน........@@ โดย ลุงแผน
........ "ภูตศิลา" เป็นนามปากกาของนักเขียนเรื่องสั้นและนิยายสยองขวัญชั้นแนวหน้า ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักอ่าน และคนชอบหนังแนวสยองขวัญ งานของเขานอกจากได้ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มแล้ว บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ยังนำเรื่องของเขาไปสร้างเป็นภาพยนตร์และหนังสั้น ออกเผยแพร่จนเป็นที่ติดอกติดใจของผู้ชมมากมาย เรียกได้ว่าพอเรื่องที่เขียนโดย "ภูตศิลา" ออกอากาศเวลาไหน เวลานั้น ทุกคนในบ้านจะจ้องอยู่หน้าจอด้วยใจเต้นรัว
จุดเด่นในงานเขียนของเขา นอกจากการเดินเรื่องและฉากอันน่าระทึกใจแล้ว ยังมีอีกอย่างที่ทำให้งานของเขามีเสน่ห์ชวนมอง นั่นคือ ต้นฉบับงานเขียนทุกชิ้น เขาจะเขียนด้วยลายมือ ทำให้ต้นฉบับของเรื่องซึ่งถูกตีพิมพ์ เป็นที่ต้องการของนักสะสมหลายคน ดังนั้น สำนักพิมพ์ที่มีต้นฉบับซึ่งเขียนด้วยลายมือของ "ภูตศิลา" จึงมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทาง โดยการนำต้นฉบับนั้นออกมาให้นักสะสมประมูล ด้วยราคาเริ่มต้นหลักหมื่น จนถึงหลักแสนเลยทีเดียว
ราคาของงานเขียนแต่ละชิ้นจะแตกต่างกันไปตามกระแสความนิยม แต่ถ้าเป็นเรื่องที่นำไปสร้างภาพยนตร์และทำรายได้เป็นตัวเลขเกินเจ็ดหลักขึ้นไป ต้นฉบับงานชิ้นนั้นจะมีราคาสูงเกินกว่างานชิ้นอื่นเป็นเท่าตัว จึงกลายเป็นของมีค่าอีกอย่างหนึ่ง ที่นักสะสมผู้มีฐานะอยู่ในขั้นเศรษฐี จะหามาครอบครอง แต่แหล่งที่จะมีต้นฉบับเหล่านั้น มีแค่ในสำนักพิมพ์และบริษัทสร้างภาพยนตร์บางแห่ง ดังนั้น คนบางคน จึงหาทางสร้างรายได้จากต้นฉบับนี้ด้วยวิธี "โจรกรรม"
มูลค่าต้นฉบับซึ่งเขียนด้วยลายมือของ "ภูตศิลา" เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกสามเท่าตัว เริ่มตั้งแต่วันที่เขาได้เสียชีวิตลงอย่างสงบในบ้านของตัวเอง โดยมีอายุได้แปดสิบสี่ปีพอดี วงการวรรณกรรมต่างแสดงความอาลัย และเสียดายนักเขียนมือดีอีกคนของวงการ แต่ในหมู่ของนักสะสม และหัวขโมย กลับมองต่างมุมไปอีกทาง
ในกลางดึกของคืนหนึ่ง หลังจากการเสียชีวิตของนักเขียนดังผ่านไปได้สิบกว่าวัน ชายหนุ่มสองคนในชุดเสื้อผ้าสีดำกลมกลืนกับความมืดได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ใกล้กับบริเวณบ้านไม้ใต้ถุนสูงไม่มีรั้วรอบหลังหนึ่ง แสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวทำให้เห็นบ้านตรงหน้าเป็นสีฟ้าซีดจาง ๆ ขณะฮวงซุ้ยหินอ่อนในป้าช้าจีนซึ่งเรียงรายอยู่อีกฝั่งถนนมองเป็นแนวเลือนราง
"เมียเอ็งคลอดเมื่อไรวะไอ้หน่อย"
ชายคนหนึ่งเอ่ยถามเพื่อนออกมาขณะเพ่งมองไปในความมืดรอบตัว
"เดือนหน้าว่ะต้อม เงินยังไม่มีติดบ้านเลย เข้าบ้านไหนก็ยาก เดี๋ยวนี้กล้องเต็มไปหมด"
ชายชื่อหน่อยตอบเพื่อนออกไปพร้อมกับมองบ้านไม้ตรงหน้าพลางนึกภาพทรัพย์สินข้างใน
"เออ บ้านนี้ไม่มีกล้องชัวร์ กลางวันข้ามาดูสองรอบแล้ว"
"แล้วจะมีอะไรให้เอาวะ บ้านโทรมขนาดนี้"
เจ้าต้อมไม่ตอบกลับมา ได้แต่พยักหน้าแล้วเดินนำเพื่อนไป
ถนนเล็ก ๆ ผ่ากลางระหว่างบ้านกับป่าช้า ยามนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ เป็นเพราะเวลาล่วงมาค่อนคืน อีกทั้งสภาพแวดล้อมโดยรอบ แม้ยามปกติก็ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมาอยู่ดี ดังนั้นชายทั้งสองคนจึงเข้าในเขตบ้าน และหยุดยืนอยู่ข้างบันไดได้อย่างเร็ว โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ
เสียงจิ้งหรีดกรีดปีกระงมท่ามกลางบรรยากาศรอบตัวอันเยือกเย็นแต่ปราศจากลม ใบไม้รอบด้านนิ่งสนิทไม่สั่นไหว เสียงสวบสาบของสัตว์หากินกลางคืนวิ่งไล่กันจากดงหญ้ารกในป่าช้าได้ยินชัดเจน เงานกแสกตัวโตกางปีกกว้างร่อนต่ำแค่เอื้อมพร้อมกับส่งเสียงร้อง แซ้ก ก่อนหายไปในดงไม้ตรงหน้า ขณะเสียงหนูตัวเล็กมุดเข้ากอหญ้าอย่างไว เจ้าหน่อยมองหน้าเพื่อนในความสลัวก่อนเอ่ยออกมาเบา ๆ
"หลังนี้แน่เหรอวะไอ้ต้อม ทำไมมันเงียบจัง"
ชายชื่อต้อมพยักหน้าพลางเดินไปทางบันได ก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาพอกัน
"แน่สิไอ้หน่อย เค้ามาสัมภาษณ์แกออกทีวีบ่อย ๆ เอ็งไม่เคยดูเลยรึไง"
เจ้าต้อมถามกลับขณะก้าวเท้าขึ้นบันไดไม้ขั้นแรกไป
เจ้าหน่อยก้าวตามหลังพลางหันซ้ายแลขวา ก่อนหันไปทางป่าช้าพร้อมกับมองด้วยความระแวง ก่อนตอบกลับไปด้วยเสียงในลำคอ
"เคยสิวะ แค่สงสัยว่ามันน่าจะมีคนอยู่บ้านสักคน"
เจ้าต้อมเดินถึงขั้นบนสุดพร้อมกับก้าวไปยืนหน้าประตูยกมือขึ้นจับกุญแจเขย่าเบา ๆ สองสามที พลางทำหน้าครุ่นคิดอยู่อึดใจ ก่อนย้ายมือขยับไปตรงมือจับกำไว้แน่น แล้วก้าวถอยหลังออกแรงกระชากเข้าหาตัว ทำให้สายยูซึ่งยึดน็อตตัวเล็กไว้กับบานประตูหลุดออกอย่างง่ายดาย
เสียงสายยูเหล็กเด้งฟาดกับประตูอีกบานซึ่งปิดตายอยู่ดังแกรกเบา ๆ ก่อนมีเสียง แอ๊ด ยาว ๆ ขณะเจ้าต้อมดึงบานประตูในมือเปิดกว้างและมองเข้าไปยังความมืดมิดด้านใน
"ลูกแกแต่ละคนมีงานดี ๆ ทำ มีบ้านอยู่ บ้านโทรม ๆ อย่างนี้ไม่มีใครสนใจหรอกเว้ย อย่ามัวสงสัยเอาไฟฉายมา"
เจ้าต้อมทำน้ำเสียงจริงจัง พร้อมกับยื่นมือรับไฟฉายจากเพื่อน ขณะเจ้าหน่อยเอ่ยออกมา
"เปิดไฟฉายมันจะดีเหรอวะ เผื่อมีใครผ่านมาเห็น"
เจ้าต้อมรับไฟฉายมาแล้วชะงักนิดหนึ่งขณะนึกตามคำพูดเพื่อน พลางมองฝ่าความมืดเข้าไปอีกครั้งพร้อมกับทิ้งมือลงข้างลำตัว
"งั้นเอ็งไปเปิดหน้าต่างออก ข้าจะส่องไฟให้ เปิดเร็ว ๆ นะ จะได้รีบปิดไฟ"
เจ้าหน่อยได้ยินเพื่อนพูดอย่างนั้นจึงเดินแทรกเข้าไปพร้อม ๆ กับแสงไฟฉายในมือเจ้าต้อม สาดเข้าไปในห้องเป็นทาง เผยให้เห็นโต๊ะเขียนหนังสือตั้งอยู่มุมในสุด ระหว่างประตูห้องนอนกับหน้าต่างด้านติดกับป่าช้า เจ้าหน่อยเดินอย่างหวาด ๆ ไปทางหน้าต่าง ท่ามกลางแสงเงาที่หักเห ทำให้มองเห็นเหมือนกับมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขากะพริบตาพร้อมกับเพ่งมองอีกครั้งขณะใจเต้นรัว และเห็นว่านั่นคือเงาของเขาซึ่งทอดเข้าไปตรงนั้นพอดี จึงถอนใจอกมาและเดินต่อไปจนถึงหน้าต่างพลางเอื้อมมือจับกลอนโยกไปมาสองสามครั้งแล้วดึงขึ้น ก่อนยกมือขึ้นจับกลอนด้านบนดึงลงมาแล้วผลักบานหน้าต่างออกไป พร้อม ๆ กับเจ้าต้อมดับไฟฉายในมือ
ฮวงซุ้ยหินอ่อนเรียงทะมึนใต้แสงจันทร์เลือนราง ตอนนี้เห็นได้ในมุมกว้างกว่าเดิมเมื่อเจ้าหน่อยมองลงไปจากด้านบน สายลมเอื่อย ๆ พัดกอหญ้าโอนเอนตามลม กลิ่นธูปหอมแบบบ้านคนจีนโชยมาสร้างความแปลกใจพร้อมกับขนที่แขนเขาลุกชัน เมื่อภายในป่าช้าไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ แม้แต่อย่างเดียว
"เฮ้ย มาช่วยกันดูสิ เดี๋ยวไม่ทันเช้า"
เสียงเจ้าต้อมดังขึ้น ดึงเจ้าหน่อยให้ละสายตาจากหลุมศพเรียงรายเข้ามาข้างใน แสงสลัวจากจันทร์ครึ่งดวงทำให้เห็นข้างในนี้เลือนราง แต่ยังเห็นสภาพโดยรอบว่าทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิม อาจเป็นเพราะเพิ่งเสร็จงานศพไปไม่กี่วัน ลูก ๆ เขาคงต้องกลับไปทำงานกันก่อน เนื่องจากลามาจัดการงานศพหลายวัน ตอนนี้จึงยังไม่มีใครมาจัดการทรัพย์สินใด ๆ
แต่เท่าที่มองด้วยสายตา ทรัพย์สินมีค่าในที่นี้ไม่มีอะไร ทีวีเก่า ๆ ซึ่งตั้งใกล้ ๆ กับตู้เย็นอยู่ตรงเสากลางบ้าน ดูแล้วไม่น่ามีราคา อีกทั้งตู้ไม้เตี้ย ๆ ซึ่งวางของจุกจิกอยู่ก็เช่นกัน มีแค่ของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนแก่ทั่วไป แต่จุดมุ่งหมายที่เจ้าต้อมมาที่นี่ในคืนนี้ ไม่ได้มองหาของมีค่าอย่างอื่น คำสั่งของลูกค้าซึ่งคบหากันมานาน ต้องการเพียงอย่างเดียว คือ ต้นฉบับที่อาจหลงเหลืออยู่ของ "ภูตศิลา"....
( มีต่อครับ )