คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
ดีครับที่ทีคนเริ่มประเด็นนี้ซะที ที่จริงก็มีมาก่อนแล้วในหลายๆเรื่อง เมื่อย้อนไปหลายปี
บริบททางวัฒนธรรมของแต่ละประเทศไม่เหมือนกันก็จริง การนำศิลปวัฒนธรรมหรือศาสนามาเล่นมาใช้หรือนำมาประกอบก็ต่างกันคับ
ของที่ควรอนุรักษ์ ถ้าไม่พัฒนา ซักวันก็จะหายไป แต่การพัฒนา ก็ต้องไม่ทำให้คุณค่าของสิ่งเหล่านั้นโดน ทำลายไปด้วย
ซึ่งตรงนี้มันจะมีคนที่ค่อนข้างจะปสด.อยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1.กลุ่มที่ห้ามนำวัฒนธรรมไปรวมกับอะไรทั้งสิ้น ไม่ให้ทำอะไร กุจะอนุรักษ์แบบเดิมๆเท่านั้น
2.กลุ่มคนที่อยากเอาวัฒนธรรมไปยำรวมแบบปู้ยี่ปู้ยำ กุคนรุ่นใหม่ สมัยใหม่ ต้องการอะไรใหม่ๆ
คือมันสุดโต่ง ไปทั้ง 2 ประเภท ก็เลยอยากจะเปรียบเทียบเช่นโบราณสถานซักแห่งซักที่
1.กลุ่มแรกก็อยากจะให้เป็นไปตามแบบเดิมๆ ไม่ให้ปรับปรุงเพราะกลัวจะไปทำลายคุณค่าของมัน ซักวันมันก็จะพังลงมา
2.กลุ่ม 2 ก็เห็นว่าจะพังละก็ไปรื้อออกมาเพราะมันจะพังลงมาอันตรายคนอื่นให้ติดไว้ดูแค่รูปก็พอเอาที่ตรงนั้นไปทำอย่างอื่นดีกว่า
ซึ่งมันก็จะเถียงกันด้วยความ ปสด.ก็อยู่แค่นั้น แล้วก็ไม่ได้มองคนอีกกลุ่มที่อยากจะอนุรักษ์พร้อมๆกับพัฒนาไปด้วยเลย คือ 2 กลุ่มนี้ก็จะไม่ค่อยยอมรับความคิดต่างซักเท่าไหร่
อยากยกให้เห็นสภาพของเมืองประวัติศาสตร์อย่างพระนครศรีอยุธยาก็กลัวจะพิมพ์รายละเอียดไม่ครบซักเท่าไหร่
ตอนนี้ในเกาะเมืองกำลังเละหรือเละมานานแล้วก็มิทราบได้ เพราะ 2 กลุ่มที่ว่า แต่มีกลุ่ม 3 ที่อยากพัฒนาไปพร้อมๆกับอนุรักษ์แต่ก็เสียงไม่ดังพอ หรือมีจำนวนน้อยกว่า ได้มีโอกาสไปเที่ยวชมและพักอยู่ภายในเกาะเมืองก็เห็นสภาพเมืองแล้วมีทั้งสลัมและตึกที่บดบังโบราณสถานต่างๆ รุกล้ำเขตโบราณสถาน สิ่งปลูกสร้างที่เป็นรูปแบบสมัยใหม่ไม่เป็นแนวทางเดียวกับเมือง กลับกันการพัฒนาเมืองก็ไม่ขยับไปไหนเพราะ ทำอะไรมากก็ไม่ได้บนฟุตบาทหญ้าเยอะมาก ผิวฟุตบาทพังเพราะต้นไม้ไม่สามารถตัดได้เพราะต้องแจ้งศิลปากร และวัดวาอารามที่ไม่ได้รับการบูรณะก็ยังมีอีกพอสมควร
สุดท้ายคับ การเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ไม่จำเป็นต้องยกลงจากหิ้งคับ แต่ต้องยกระดับตัวเองขึ้นไปให้เท่ากันกับหิ้งที่ไม่มีอะไรมากั้นไว้ครับ วัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งต้องห้ามพัฒนา
บริบททางวัฒนธรรมของแต่ละประเทศไม่เหมือนกันก็จริง การนำศิลปวัฒนธรรมหรือศาสนามาเล่นมาใช้หรือนำมาประกอบก็ต่างกันคับ
ของที่ควรอนุรักษ์ ถ้าไม่พัฒนา ซักวันก็จะหายไป แต่การพัฒนา ก็ต้องไม่ทำให้คุณค่าของสิ่งเหล่านั้นโดน ทำลายไปด้วย
ซึ่งตรงนี้มันจะมีคนที่ค่อนข้างจะปสด.อยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1.กลุ่มที่ห้ามนำวัฒนธรรมไปรวมกับอะไรทั้งสิ้น ไม่ให้ทำอะไร กุจะอนุรักษ์แบบเดิมๆเท่านั้น
2.กลุ่มคนที่อยากเอาวัฒนธรรมไปยำรวมแบบปู้ยี่ปู้ยำ กุคนรุ่นใหม่ สมัยใหม่ ต้องการอะไรใหม่ๆ
คือมันสุดโต่ง ไปทั้ง 2 ประเภท ก็เลยอยากจะเปรียบเทียบเช่นโบราณสถานซักแห่งซักที่
1.กลุ่มแรกก็อยากจะให้เป็นไปตามแบบเดิมๆ ไม่ให้ปรับปรุงเพราะกลัวจะไปทำลายคุณค่าของมัน ซักวันมันก็จะพังลงมา
2.กลุ่ม 2 ก็เห็นว่าจะพังละก็ไปรื้อออกมาเพราะมันจะพังลงมาอันตรายคนอื่นให้ติดไว้ดูแค่รูปก็พอเอาที่ตรงนั้นไปทำอย่างอื่นดีกว่า
ซึ่งมันก็จะเถียงกันด้วยความ ปสด.ก็อยู่แค่นั้น แล้วก็ไม่ได้มองคนอีกกลุ่มที่อยากจะอนุรักษ์พร้อมๆกับพัฒนาไปด้วยเลย คือ 2 กลุ่มนี้ก็จะไม่ค่อยยอมรับความคิดต่างซักเท่าไหร่
อยากยกให้เห็นสภาพของเมืองประวัติศาสตร์อย่างพระนครศรีอยุธยาก็กลัวจะพิมพ์รายละเอียดไม่ครบซักเท่าไหร่
ตอนนี้ในเกาะเมืองกำลังเละหรือเละมานานแล้วก็มิทราบได้ เพราะ 2 กลุ่มที่ว่า แต่มีกลุ่ม 3 ที่อยากพัฒนาไปพร้อมๆกับอนุรักษ์แต่ก็เสียงไม่ดังพอ หรือมีจำนวนน้อยกว่า ได้มีโอกาสไปเที่ยวชมและพักอยู่ภายในเกาะเมืองก็เห็นสภาพเมืองแล้วมีทั้งสลัมและตึกที่บดบังโบราณสถานต่างๆ รุกล้ำเขตโบราณสถาน สิ่งปลูกสร้างที่เป็นรูปแบบสมัยใหม่ไม่เป็นแนวทางเดียวกับเมือง กลับกันการพัฒนาเมืองก็ไม่ขยับไปไหนเพราะ ทำอะไรมากก็ไม่ได้บนฟุตบาทหญ้าเยอะมาก ผิวฟุตบาทพังเพราะต้นไม้ไม่สามารถตัดได้เพราะต้องแจ้งศิลปากร และวัดวาอารามที่ไม่ได้รับการบูรณะก็ยังมีอีกพอสมควร
สุดท้ายคับ การเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ไม่จำเป็นต้องยกลงจากหิ้งคับ แต่ต้องยกระดับตัวเองขึ้นไปให้เท่ากันกับหิ้งที่ไม่มีอะไรมากั้นไว้ครับ วัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งต้องห้ามพัฒนา
แสดงความคิดเห็น
จะเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ต้องดึงลงจาก "หิ้ง" ให้ได้ก่อน
เพราะว่า พอมีใครก็ตามเอาวัฒนธรรมไทยมาประยุกต์หรือมาผสมผสานเข้าไปในอะไรก็ตามที่มันเป็นแบบสมัยใหม่ อย่างเช่นเคยมีคนออกแบบตัวละครในเกมที่สวมเทริดมโนราห์ ก็มีคนออกมาวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม เพราะเทริดมโนราห์เป็นของสูง จะเอาลงมาให้ตัวละครในเกมสวมใส่ไม่ได้ ออกแนวเดียวกับทศกัณฐ์ในเอ็มวีนี้เหมือนกัน ก็คิดแบบนี้ ทำแบบนี้แล้วเมื่อไรศิลปวัฒนธรรมไทยมันจะเผยแพร่ออกไปได้ล่ะครับ ลองคิดดูนะ ถ้าสมมติตัวละครตัวนั้นได้เผยแพร่ออกไป แล้วมีคนต่างชาติได้เล่น เขาก็จะเกิดความสนใจแล้วว่า “เฮ้ย! ตัวละครตัวนี้มันใส่หมวกอะไรวะ แปลกดี” อาจจะเอาไปต่อยอดค้นคว้าเพิ่มเติมทำให้คนต่างชาติรู้จักว่านี่คือเทริด แล้วก็จะรู้เพิ่มไปอีกว่าเอาไว้ใช้ในการแสดงมโนราห์ของไทย
ประเทศเรารับพวกละคร ซีรีส์ของญี่ปุ่นเข้ามาฉายนานมากแล้ว ตามมาด้วยเกาหลีที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในตอนนี้ แต่เราลองสังเกตดูให้ลึกนะครับ มองข้ามฉากฟิน ๆ จิกหมอนของพระเอกนางเอกออกไปแล้วเราจะค้นพบอะไรบางอย่างที่มันอยู่ในนั้น
ของเกาหลีก็เช่นกัน เขาก็ไม่ได้ทำรายการเผยแพร่วัฒนธรรมออกมาแบบโต้ง ๆ แต่ซีรีส์ของเขานั่นแหละครับคือรายการเผยแพร่วัฒนธรรมที่ทรงพลังที่สุด ผมเคยอ่านมาในหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาเล่าว่าหลายสิบปีก่อน เกาหลีเป็นประเทศที่ยังไม่มีอะไรเลย คนก็ไม่ค่อยรู้จัก แถมบางคนยังนึกว่าเป็นจีนด้วยซ้ำไป รัฐบาลเกาหลีเลยส่ง “วัฒนธรรม” เป็นสินค้าออกเสียเลย โดยแทรกไปตามซีรีส์ต่าง ๆ ทั้งอาหาร ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีอะไรต่าง ๆ จนในที่สุดเกาหลีก็เป็นที่รู้จัก และเป็นที่นิยมไปทั่วโลก
ที่พูดมานี่คืออยากจะให้แยกให้ออกว่าการลบหลู่กับการเอามาผนวกกับความเบาสมอง ความบันเทิงมันต่างกัน สำหรับผมแล้วการลบหลู่ก็คือการเหยียดหยามอะไรต่าง ๆ เช่น เอาเท้าเหยียบ ทำกิริยาไม่สุภาพ พูดจาดูถูกศิลปวัฒนธรรมบางอย่าง แต่การเอาวัฒนธรรมมาผนวกกับความบันเทิงหรือเบาสมองนี่มันไม่ใช่การลบหลู่เลยแม้แต่นิดเดียว ซ้ำยังจะทำให้วัฒนธรรมเข้าถึงคนได้มากขึ้นด้วยซ้ำ
หากยังยึดติดว่าวัฒนธรรมไทยมีครู มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกปักรักษาอยู่ จะเอาลงมาเล่นไม่ได้เด็ดขาด เช่นนั้นก็ปล่อยวัฒนธรรมให้ฝุ่นเกาะอยู่บนหิ้งต่อไปเถอะ อย่าคิดที่จะเผยแพร่อีกเลย
คนที่อ้างถึงบรมครูทางศิลปะ ผมว่าบรมครูท่านจะดีใจด้วยซ้ำที่ศิลปวัฒนธรรมไทยได้รับการเผยแพร่ออกไป