คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 28
เราไม่มีคำปลอบสวยๆใดๆเลยค่ะ แต่เรามีความจริงจะบอก
สิ่งที่คุณเจอ ไม่ใช่เรื่องเกินปกติ แต่มันคือก้าวในการเติบโตในโลกใบนี้ค่ะ
ชีวิตคนเรา กัาวขึ้นที่สูงก็เหมือนเดินป่าขึ้นภูเขา ขาขึ้นไม่เคยมีอะไรง่าย และเป็นธรรมดาที่ต้องพบความสูญเสีย
ยิ่งสูง ยิ่งชัน ยิ่งเข้าป่าลึก พบพานอันตรายหลายหลาก จากชีวิตที่เดินเล่นชายป่า เห็นแต่ผีเสื้อ กระรอก กระต่าย ลำธารใสๆ ก็เผลอคิดไปว่าแค่เราต้องระวังงูหรือตะขาบ แมลงป่อง เดินอย่างระมัดระวังไม่ให้ตกน้ำตกท่า เท่านี้เราก็จะปลอดภัยถึงยอดเขาได้ แต่ในความจริง ป่าชีวิตนี้เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เชื้อโรค และอาถรรพ์ต่างๆที่ไม่ควรมีจริงด้วยซ้ำ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นพร้อมจะทำอันตรายเราทุกเมื่อแม้เราจะไม่ได้ทำอะไรมันแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตคนเราที่แบกอะไรๆมาเต็มหลัง เพื่อน คนรัก ครอบครัว เมื่อเราขึ้นที่สูงชัน แน่นอนว่ามันย่อมมีการร่วงหล่น หรือแม้เราเองบางครั้งก็เป็นคนสละบางสิ่งทิ้งไปเองระหว่างทางเมื่อพบว่าน้ำหนักของภาระนั้น ไม่ควรค่าแก่การแบกต่อไป
สิ่งเหล่านี้ ทำให้คนเราหวาดระแวง แกร่ง พร้อมสู้ หรือแม้แต่บางครั้งก็เป็นฝ่ายจู่โจมเสียเองเพียงเพราะไม่อยากเป็นเหยื่อในห่วงโซ่อาหาร
เมื่อมันคือเรื่องของธรรมชาติ เราก็แค่ยอมรับความจริงตามธรรมชาตินั้นค่ะ เราเองก็รู้สึกไม่ต่างจากคุณ บางครั้งเราดูรูปตัวเองสมัยเด็ก เรายังนึกขอโทษ เราเสียใจที่เราไม่ได้โตมาเป็นแบบที่เด็กคนนั้นหวังเลย แม้เราจะถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จในชีวิตทางโลก ทั้งหน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัว แต่เราก็
ไม่ใช่คนที่เด็กคนนั้นจะภูมิใจ หรืออยากจะโตมาเป็นแบบนี้อยู่ดี
แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ พวกเราก็มาไกลเกินกว่าจะเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น และในวันนี้ก็ยังมีเรื่องดีๆที่ภูมิใจได้อยู่ใช่ไหมล่ะ
เคารพตัวเองในแบบที่เป็นเถอะนะคะ
สิ่งที่คุณเจอ ไม่ใช่เรื่องเกินปกติ แต่มันคือก้าวในการเติบโตในโลกใบนี้ค่ะ
ชีวิตคนเรา กัาวขึ้นที่สูงก็เหมือนเดินป่าขึ้นภูเขา ขาขึ้นไม่เคยมีอะไรง่าย และเป็นธรรมดาที่ต้องพบความสูญเสีย
ยิ่งสูง ยิ่งชัน ยิ่งเข้าป่าลึก พบพานอันตรายหลายหลาก จากชีวิตที่เดินเล่นชายป่า เห็นแต่ผีเสื้อ กระรอก กระต่าย ลำธารใสๆ ก็เผลอคิดไปว่าแค่เราต้องระวังงูหรือตะขาบ แมลงป่อง เดินอย่างระมัดระวังไม่ให้ตกน้ำตกท่า เท่านี้เราก็จะปลอดภัยถึงยอดเขาได้ แต่ในความจริง ป่าชีวิตนี้เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เชื้อโรค และอาถรรพ์ต่างๆที่ไม่ควรมีจริงด้วยซ้ำ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นพร้อมจะทำอันตรายเราทุกเมื่อแม้เราจะไม่ได้ทำอะไรมันแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตคนเราที่แบกอะไรๆมาเต็มหลัง เพื่อน คนรัก ครอบครัว เมื่อเราขึ้นที่สูงชัน แน่นอนว่ามันย่อมมีการร่วงหล่น หรือแม้เราเองบางครั้งก็เป็นคนสละบางสิ่งทิ้งไปเองระหว่างทางเมื่อพบว่าน้ำหนักของภาระนั้น ไม่ควรค่าแก่การแบกต่อไป
สิ่งเหล่านี้ ทำให้คนเราหวาดระแวง แกร่ง พร้อมสู้ หรือแม้แต่บางครั้งก็เป็นฝ่ายจู่โจมเสียเองเพียงเพราะไม่อยากเป็นเหยื่อในห่วงโซ่อาหาร
เมื่อมันคือเรื่องของธรรมชาติ เราก็แค่ยอมรับความจริงตามธรรมชาตินั้นค่ะ เราเองก็รู้สึกไม่ต่างจากคุณ บางครั้งเราดูรูปตัวเองสมัยเด็ก เรายังนึกขอโทษ เราเสียใจที่เราไม่ได้โตมาเป็นแบบที่เด็กคนนั้นหวังเลย แม้เราจะถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จในชีวิตทางโลก ทั้งหน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัว แต่เราก็
ไม่ใช่คนที่เด็กคนนั้นจะภูมิใจ หรืออยากจะโตมาเป็นแบบนี้อยู่ดี
แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ พวกเราก็มาไกลเกินกว่าจะเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น และในวันนี้ก็ยังมีเรื่องดีๆที่ภูมิใจได้อยู่ใช่ไหมล่ะ
เคารพตัวเองในแบบที่เป็นเถอะนะคะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 25
เราผ่านช่วงที่รู้สึกแบบนั้นมา ด้วยสติ / ใคร่ครวญด้วยปัญญา และยอมรับตามความเป็นจริง
กว่าจะหาเจอ แล้วผ่านได้จริงๆนี่คือ ต้องใช้ “ขันติบารมี” สูงมากเลยล่ะค่ะ
แต่เมื่อพบทางออกแล้ว ทั้งหมดที่ทนมา ถือว่าคุ้มค่ามากๆ
เราได้ข้อสรุปให้ตัวเองว่า
ความสุข ... เกิดจาก มุม ที่เรามองชีวิต “ ณ ปัจจุบัน” ค่ะ
ยิ่งมองด้านบวก ชีวิตก็ยิ่งมีความสุขมาก
ยิ่งมองซื่อๆตรงๆ ไม่ปรุงแต่งต่อ ชีวิตยิ่งมีความสงบมาก
(จะว่าโชคดี บุญเก่าทำมาดีก็ได้ ที่เรามีความศรัทธา ...
ทำให้การแก้ปัญหาเรื่องใดที่เราถึงทางตัน เราจะพบทางออกเสมอ ด้วยหลักธรรม)
เราในวัย 40+
เมื่อสองปีที่แล้วเคยทนตัวเองไม่ไหวค่ะ ไม่ชอบตัวเองเลย
สาเหตุเพราะ ไปยึดติด เอาความสำเร็จในอดีต
เราประสบความสำเร็จไว มีอนาคต ที่ใครๆมองก็เดาได้ว่าจะงดงาม
เราก็ได้ใจ คิดว่ากราฟต้องพุ่งขึ้น สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
เมื่อกราฟหยุดนิ่ง เป็นเส้นตรง
เราก็ทุกข์ แค่เพียงเพราะ ชีวิตไม่ได้ดังใจเรา ไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนา
(เราอ่อนสติปัญญา ขนาดนั้นเลยทีเดียว)
แล้วเราก็เดินผิดทาง
เราเข้าใจว่า ยิ่งเข้มงวดกับตัวเองมากขึ้น / ยิ่งตอกย้ำความผิดพลาดของตัวเองมากขึ้น
จะทำให้เรามีแรงสปีด ที่จะทะยานไปข้างหน้าได้อีก
แผนพัฒนาตัวเอง ทำออกมาหลายฉบับ
แต่ละฉบับ กลายเป็นหมัน ทำไม่ได้จริง กลับยิ่งเครียด ยิ่งทุกข์
ในที่สุด ก็หยุด และคิดแว๊บนึง ว่าจะยอมแพ้ ...
คำว่าแพ้ ... คือคำที่เราไม่ชอบที่สุด (ในที่นี้ เราแข่งกับตัวเองนะคะ ไม่เกี่ยวกับใคร)
คำว่าอ่อนแอ การยอมรับว่าตัวเองไม่เอาถ่าน คือ สิ่งที่เรารับไม่ได้
ตรงจุดนี้คือ จุดเปลี่ยนสำหรับเราค่ะ
คือกลับมาทบทวนตัวเองจริงจัง และ กลับมาเดินทางสายกลาง
ไม่กดดันตัวเองจนเกินไป แต่ก็ไม่เอาใจตัวเองจนเกินไป
ตอนนี้จึงมีชีวิต ที่เหมือนเริ่มใหม่อีกครั้งหนึ่งค่ะ
พอใจ กับทุกนาที ที่ยังหายใจ
ยอมรับ กับทุกความอ่อนแอ ผิดพลาดที่ทำลงไป
แบบรับผิดชอบเต็มที่ แต่ไม่ตำหนิตอกย้ำตัวเองพร่ำเพรื่อ
เพราะตระหนักว่า เวลา ปัจจุบันน่ะสำคัญ
สถานภาพ หรือ แม้กระทั่งสติปัญญาที่สั่งสมมา ไม่เที่ยง ตายไปก็ลืมหมด
เสบียงที่จะนำติดตัวไปโลกหน้าได้ คือเป้าหมายที่เราขวนขวายทำ
มันทำให้เวลาที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ มีค่า อยู่แบบมีสติ
ไม่คาดหวังสิ่งใดในโลกจนทุกข์ร้อน (แต่ไม่แชเชือนที่จะทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อตน และผู้อื่น)
เมื่อเปลี่ยนมุมมอง มาจนถึงจุดนี้ได้
ความสุขก็เกิดขึ้นได้ง่าย เพียงแค่ ลมหายใจ นี้เองค่ะ
กว่าจะหาเจอ แล้วผ่านได้จริงๆนี่คือ ต้องใช้ “ขันติบารมี” สูงมากเลยล่ะค่ะ
แต่เมื่อพบทางออกแล้ว ทั้งหมดที่ทนมา ถือว่าคุ้มค่ามากๆ
เราได้ข้อสรุปให้ตัวเองว่า
ความสุข ... เกิดจาก มุม ที่เรามองชีวิต “ ณ ปัจจุบัน” ค่ะ
ยิ่งมองด้านบวก ชีวิตก็ยิ่งมีความสุขมาก
ยิ่งมองซื่อๆตรงๆ ไม่ปรุงแต่งต่อ ชีวิตยิ่งมีความสงบมาก
(จะว่าโชคดี บุญเก่าทำมาดีก็ได้ ที่เรามีความศรัทธา ...
ทำให้การแก้ปัญหาเรื่องใดที่เราถึงทางตัน เราจะพบทางออกเสมอ ด้วยหลักธรรม)
เราในวัย 40+
เมื่อสองปีที่แล้วเคยทนตัวเองไม่ไหวค่ะ ไม่ชอบตัวเองเลย
สาเหตุเพราะ ไปยึดติด เอาความสำเร็จในอดีต
เราประสบความสำเร็จไว มีอนาคต ที่ใครๆมองก็เดาได้ว่าจะงดงาม
เราก็ได้ใจ คิดว่ากราฟต้องพุ่งขึ้น สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
เมื่อกราฟหยุดนิ่ง เป็นเส้นตรง
เราก็ทุกข์ แค่เพียงเพราะ ชีวิตไม่ได้ดังใจเรา ไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนา
(เราอ่อนสติปัญญา ขนาดนั้นเลยทีเดียว)
แล้วเราก็เดินผิดทาง
เราเข้าใจว่า ยิ่งเข้มงวดกับตัวเองมากขึ้น / ยิ่งตอกย้ำความผิดพลาดของตัวเองมากขึ้น
จะทำให้เรามีแรงสปีด ที่จะทะยานไปข้างหน้าได้อีก
แผนพัฒนาตัวเอง ทำออกมาหลายฉบับ
แต่ละฉบับ กลายเป็นหมัน ทำไม่ได้จริง กลับยิ่งเครียด ยิ่งทุกข์
ในที่สุด ก็หยุด และคิดแว๊บนึง ว่าจะยอมแพ้ ...
คำว่าแพ้ ... คือคำที่เราไม่ชอบที่สุด (ในที่นี้ เราแข่งกับตัวเองนะคะ ไม่เกี่ยวกับใคร)
คำว่าอ่อนแอ การยอมรับว่าตัวเองไม่เอาถ่าน คือ สิ่งที่เรารับไม่ได้
ตรงจุดนี้คือ จุดเปลี่ยนสำหรับเราค่ะ
คือกลับมาทบทวนตัวเองจริงจัง และ กลับมาเดินทางสายกลาง
ไม่กดดันตัวเองจนเกินไป แต่ก็ไม่เอาใจตัวเองจนเกินไป
ตอนนี้จึงมีชีวิต ที่เหมือนเริ่มใหม่อีกครั้งหนึ่งค่ะ
พอใจ กับทุกนาที ที่ยังหายใจ
ยอมรับ กับทุกความอ่อนแอ ผิดพลาดที่ทำลงไป
แบบรับผิดชอบเต็มที่ แต่ไม่ตำหนิตอกย้ำตัวเองพร่ำเพรื่อ
เพราะตระหนักว่า เวลา ปัจจุบันน่ะสำคัญ
สถานภาพ หรือ แม้กระทั่งสติปัญญาที่สั่งสมมา ไม่เที่ยง ตายไปก็ลืมหมด
เสบียงที่จะนำติดตัวไปโลกหน้าได้ คือเป้าหมายที่เราขวนขวายทำ
มันทำให้เวลาที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ มีค่า อยู่แบบมีสติ
ไม่คาดหวังสิ่งใดในโลกจนทุกข์ร้อน (แต่ไม่แชเชือนที่จะทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อตน และผู้อื่น)
เมื่อเปลี่ยนมุมมอง มาจนถึงจุดนี้ได้
ความสุขก็เกิดขึ้นได้ง่าย เพียงแค่ ลมหายใจ นี้เองค่ะ
ความคิดเห็นที่ 2
อายุมากขึ้น ไม่จำเป็นที่ต้องมีเพื่อนเยอะค่ะ เพราะยิ่งแก่ยิ่งหาคนเข้าใจเรายากมากขึ้น เพื่อนเราที่เคยสนิทๆ อยู่ๆ ก็ไม่อยากคุยด้วยก็มี ในไลน์นี่ล่ะ จากที่อยากเจอกันทุกปี กลายเป็นไม่อยากเจอแล้ว รู้สึกว่าแค่ไลน์เพื่อนยังไม่อ่าน เวลามีปัญหายังไม่อยากจะรับฟัง ก็อย่าเจอกันเลย
ในทัศนะเรา อายุมากขึ้นนิสัยเปลี่ยนไม่แปลกค่ะ เราก็เปลี่ยน จากคนที่แคร์ไปหมด กลายเป็นช่างหัวมันมากขึ้น แคร์โลกน้อยลง เลิกใส่ซองแต่งงานโดยไม่จำเป็น ไม่ได้ขี้เหนียว แต่รู้สึกว่าไม่ได้สนิท ไม่ได้ทำไรให้กัน ทำไมต้องใส่ หาเหตุผลไม่ได้นอกจากเกรงใจ ก็เลยเลิกเกรงใจ คนที่เกลียดเราตาย เราก็ไม่ใส่ซอง เฉยๆ ถือว่าตอนเขามีชีวิตอยู่ได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว จะเอาอะไรอีก อโหสิกรรมตั้งแต่มีชีวิตอยู่แล้ว ตายแล้วก็แล้วกัน เฉยๆ ดูเหมือนแล้งน้ำใจ ใจนึงก็กลัวคนอื่นติฉิน แต่คิดๆ ไป ทำไมต้องแคร์คนอื่น ในเมื่อคนอื่นไม่ได้เจออย่างที่เราเจอ ไม่ต้องรู้สึกผิด ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในทัศนะเรา อายุมากขึ้นนิสัยเปลี่ยนไม่แปลกค่ะ เราก็เปลี่ยน จากคนที่แคร์ไปหมด กลายเป็นช่างหัวมันมากขึ้น แคร์โลกน้อยลง เลิกใส่ซองแต่งงานโดยไม่จำเป็น ไม่ได้ขี้เหนียว แต่รู้สึกว่าไม่ได้สนิท ไม่ได้ทำไรให้กัน ทำไมต้องใส่ หาเหตุผลไม่ได้นอกจากเกรงใจ ก็เลยเลิกเกรงใจ คนที่เกลียดเราตาย เราก็ไม่ใส่ซอง เฉยๆ ถือว่าตอนเขามีชีวิตอยู่ได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว จะเอาอะไรอีก อโหสิกรรมตั้งแต่มีชีวิตอยู่แล้ว ตายแล้วก็แล้วกัน เฉยๆ ดูเหมือนแล้งน้ำใจ ใจนึงก็กลัวคนอื่นติฉิน แต่คิดๆ ไป ทำไมต้องแคร์คนอื่น ในเมื่อคนอื่นไม่ได้เจออย่างที่เราเจอ ไม่ต้องรู้สึกผิด ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
เคยกลายเป็นคนที่ตัวเองไม่อยากเป็นมั้ยคะ?
ตอนเด็กๆ เข้าทำงานใหม่ๆ เราเรียนจบมาด้วยความสดใส ทำงานด้วยความมุ่งมั่น ถวายหัวให้หัวหน้างาน มีความสุขกับเพื่อนรอบตัว มีเวลาให้พ่อแม่ เป็นสายบุญ บริจาคหนักมาก เรารู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ balance ทั้งสองอย่างได้ เรารักตัวเองที่มีทัศนคติที่ดี และเราเชื่อว่าเราเป็นคนพิเศษ เป็นคนดี
จนพอโตขึ้น เจอความท้าทายรอบตัว ได้โปรโมทแต่แลกมาด้วยงานที่ยากเกินตัว อาศัยความฮึดผ่านไปวันๆ เพื่อรักษาตำแหน่ง โดนสายตาไม่เป็นมิตร โดนคำตำหนิลับหลัง ที่ต่อหน้าไม่มีใครพูด บริษัทจากเดิมที่ค่อนข้างมั่นคงกลายเป็นเริ่มเอาคนออก ชีวิตส่วนตัวโดนเพื่อนที่รักยืมเงินแล้วหายไปเลย โดนแฟนที่คิดว่าจะแต่งงานด้วยทิ้งไป คนที่บ้านเสียชีวิต (ไม่ได้จากโควิทค่ะ)
สิ่งเหล่านี้มันเปลี่ยนตัวเราทีละเล็กทีละน้อย จากเดิมที่อาจจะเป็นคนเครียดนิดๆ กลายเป็นเครียดขึ้นเรื่อยๆ มุมมองต่อโลกใบนี้แข็งกร้าวขึ้น พยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวเองและครอบครัว บางครั้งรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นมนุษย์ป้า แต่ก่อนช้อปปิ้งหมดเป็นหมื่นๆ เดี๋ยวนี้จะใช้เงิน พันสองพัน คิดแล้วคิดอีก กลายเป็นคนกลวง ไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่ sharp ไม่ cool ไม่เติบโตอย่างสง่างามตามวัย คือไม่อยากคิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า เพราะเราเคยเป็นสายสตรองมาก เราไม่คิดว่าสารเคมีในหัวเรามันจะผิดปกติอะไร แต่อย่างนึงคือเราไม่คิดว่าเราพิเศษอะไรแล้ว แล้วก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนดี
ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ทำให้เรารู้สึกว่ากลายเป็นคนแก่ที่มีสมองเด็ก ทุกวันนี้ไม่มีเรื่องคุยกับเพื่อน เพื่อนหรือญาติที่เคยรักกันมากๆ แต่งงานมีลูกไป ทุกอย่างโฟกัสที่ลูก ตัวเราเล่นกับเด็กไม่ค่อยเป็นก็จะได้แค่ซื้อของขวัญให้แล้วจบ ก็จะห่างๆกับเพื่อนเหล้านี้ เพื่อนที่โสดด้วยกันก็ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง ไม่ค่อยได้สนใจกัน บางคนทัศนคติก้กลายเป็นดาร์คมาก จนเราไม่อยากคุยด้วย กลัวจะดาร์คตามแล้วแย่ไปกว่านี้
สุดท้ายแล้วทุกวันนี้เราเป็นผู้หญิงแก่ อายุ 40 ตำแหน่งงานผู้จัดการ ทำงานหนัก ชีวิตรอคอยวันเสาร์อาทิตย มีเพื่อนคุยที่สนิทจริงใจอยู่แค่คนเดียว มีชีวิตไปวันๆ ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง (กลัวจะมีคนในครอบครัวติดโควิทแล้วต้องใช้เงินหาโรงบาลเยอะ)
มีใครเป็นอย่างเราบ้างมั้ยคะ หรือคนที่เคยเป็น ทำอย่างไรให้ชีวิตกลับมามีพลังอีกครั้งคะ
วันนี้อยู่ดีๆก็รู้สึกอ่อนแรงมาก แต่ก้อพยายามบอกตัวเองว่าชีวิตเราดีกว่าคนหลายล้านคนในประเทศไทยมาก