จากกระทู้ที่แล้ว เมื่อประมาณสิ้นปีที่แล้วเราได้ตั้งกระทู้ว่าหมอตรวจเจอมะเร็งในร่างกายของแม่เรา …จริงๆก็ทำการรักษามาโดยตลอด ที่กทม และจนจบคอร์สการให้ คีโม แต่อาการไม่ดีขึ้น รักษามะเร็ง ควบคู่กับต่อมไร้ท่อ ซึ่งการรักษาต่อมไร้ท่อ ที่คุณหมออธิบายคือ เซลล์มะเร็งตัวนี้มันผลิตค่าแคลเซียมในร่างกาย ทำให้มันเกินกว่าจำเป็น และจะมีเอฟเฟคต่อร่างกาย คือ อาเจียน ทานไม่ได้ หรือตามความคิดที่เราเข้าใจคือ ร่างกายมันจะทรุดลง
เมื่อเดือนกรกฎาคม แม่เลยตัดสินใจมารักษาที่ศูนย์มะเร็งที่บ้านเกิด และจะได้มาอยู่กับญาติพี่น้อง จะได้รู้สึกสดชื่นละมีแรง +กับว่า เขาบอกกันว่าหมอที่ศูนย์มะเร็งแถวบ้าน ดีรักษาหายหลายเคสแล้ว พอถึงวันที่เจอคุณหมอจริงๆ แม่กลับไม่ได้เตรียมใจ แม่คิดว่าหมอที่นี้จะรักษาต่อจนหายใช้ชีวิตปกติได้ คุณหมอก็ดีค่ะพูดตรงๆดีว่า โรคมะเร็งที่ชนิดแม่เป็นอยู่รักษายังไงก็รักษาไม่หาย มะเร็งจะหายได้ก็ต่อเมื่อผ่าตัดได้ ให้คีโมไปก็มีแต่ทรุด ให้ทีกลับมานอน รพ.ที3-4 วัน จะใช้ชีวิตแบบนี้ใช่ไหม งั้นหมอขอแนะนำว่าให้รักษาตามอาการ ปวดก็กินยา อ่อนเพลียก็ให้น้ำเกลือทำนองนี้ค่ะ งั้นหมอขอไม่รักษาต่อนะ รักษาต่อไปก็มีแต่โทษต่อร่างกายคนไข้ ให้ใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่า ***เขาบอกว่าคีโมที่ให้รพ. ที่กทมให้มา ดีสุดแล้วยังเอาไม่อยู่ เป็นชนิดที่ดีที่สุดแล้ว
หลังจากแม่ขึ้นรถกลับบ้านได้แม่ร้องไห้โฮออกมา ทำใจไม่ได้ เพราะเตรียมใจไปว่า จะรักษาหาย เราก็ไม่รู้จะปลอบยังไง ได้แต่บอก ร้องออกมา แต่เราไม่ชอบให้แม่เราร้องไห้นะ เราอยากให้แม่เราเข้มแข็งแต่ก็เข้าใจสภาพจิตใจของแม่ กลับมาก็นอนยังเดียว กินอะไรไม่ค่อยได้ เหมือนทำใจไม่ได้อีกครั้ง
พอถึงคิวไปรักษาต่อมไร้ท่อที่ รพ. กทม แม่ก็เลยบอกหมอตัดสินใจไม่รักษาต่อ ไม่ทำการรักษาอะไรทั้งสิ้น ปกติรักษาต่อมไร้ท่อ แม่จะต้องฉีดยาที่พุง เพื่อเข้าไประงับค่าแคลเซียมในร่างกายอะไรทำนองนั้นค่ะ พอหมอมาดูอาการคุณแม่ ก็เลยให้กำลังใจ และให้พบหมอคนเก่าที่รักษามะเร็งแม่ด้วย เราได้คุยกับคุณหมอ คุณหมอก็มาหาแม่ที่เปลนอน พร้อมบอกว่า เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางการรักษาแล้วเนาะ ให้ใช้ชีวิตที่มีอยู่ แม่ก็บอก มันเหนื่อย มันรู้สึกทำอะไรไม่ได้เหมือนคนปกติ อยากกลับไปช่วยเหลือตัวเองได้ หมอก็แนะนำดีค่ะ เขาบอกอีกหน่อยหมอก็จะเป็นแบบคุณ ลูกก็จะเป็น แต่แค่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นให้สู้ๆ
พอหมอมาเยี่ยมแม่เสร็จก็ได้คุยกับหมออีกนึดนึง คุณหมอบอกว่า ได้ทำใจกันไว้หรือยั้ง เราก็บอกก็มีทำใจไว้บ้างแต่คิดว่าคงไม่เร็วขนาดนั้น หมอก็บอกว่า ต้องแจ้งก่อน ในส่วนตัวมะเร็งที่แม่เป็นอยู่ตอนนี้ มันผลิตแคลเซียมสูง ถ้าวันใดวันนึง มันผลิตสูงจนร่างกายคนไข้รับไม่ไหว ก็อยากให้ทำใจไว้ เพราะคนไข้จะซึมกว่าปกติ และจะซึมมากๆ ซึมชนิดที่ว่า ซึมจนหลับไปในที่สุด แต่จะไม่เจ็บไม่ปวด ไปแบบเบาที่สุด เราก็บอกหมอว่า แม่ก็ชอบร้องไห้ว่าแม่อาจจะอยู่ไม่ถึงสิ้นปี แม่รู้ตัวเอง แต่หมอก็บอก ไม่รู้จะอยู่ได้ถึงสิ้นปีไหม หรืออาจจะเกินไปกว่านั้น หมอคิดว่าคนไข้น่าจะรู้ตัวเองดี
…. ขอโทษนะคะเล่าสะยาวเลย แต่คำถามที่อยากถามเพื่อนๆคือ ถ้าคุณรับรู้ว่า ในครอบครัวคุณเหลือชีวิตอยู่น้อย คุณมีวิธีปลอบตัวเองยังไง และให้กำลังใจคนป่วยยังไง ไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็นเลย แอบร้องไห้หน้ากระจกคนเดียว ใจอยากทำตัวให้เข็มแข็งให้คนภายนอกมองว่าไม่อ่อนแอ เราเป็นน้องคนสุดท้อง อายุ 22 ปี ไม่มีงานทำ อยู่บ้านกับแม่ พี่เราอายุ 25 ปีมีงานทำแต่อยู่กทม เขาก็ห่วงแม่ อยากกลับมาทำงานที่บ้าน เราอยากรู้ว่าเพื่อนๆเคยเจอเหตุการณ์แบบเราไหม และทำใจกันยังไง มีวิธีการปลอบตัวเองยังไง ให้คนที่อยู่กับเรามีความสุขที่สุดค่ะ
ปล.กระทู้นี้อาจจะผิดพลาดตรงไหน ขออภัยคนที่อ่านด้วยนะคะ เราผิดไหมถ้าเรามีความคิดว่า ถ้าเราเกิดเสียแม่ไปจริงๆ เราจะอยู่ยังไง แม่จะห่วงเราไหม เราพยายามบอกเขาไม่ต้องห่วง เดียวคนที่อยู่ก็ต้องเติบโตเอาตัวรอดเองได้ มนุษย์ไม่ปล่อยให้ตัวเจ้าของลำบากหรอก
ถ้าเรารู้ว่าคนในครอบครัวจะมีชีวิตเหลือน้อย จะทำอย่างไรบ้างค่ะ
เมื่อเดือนกรกฎาคม แม่เลยตัดสินใจมารักษาที่ศูนย์มะเร็งที่บ้านเกิด และจะได้มาอยู่กับญาติพี่น้อง จะได้รู้สึกสดชื่นละมีแรง +กับว่า เขาบอกกันว่าหมอที่ศูนย์มะเร็งแถวบ้าน ดีรักษาหายหลายเคสแล้ว พอถึงวันที่เจอคุณหมอจริงๆ แม่กลับไม่ได้เตรียมใจ แม่คิดว่าหมอที่นี้จะรักษาต่อจนหายใช้ชีวิตปกติได้ คุณหมอก็ดีค่ะพูดตรงๆดีว่า โรคมะเร็งที่ชนิดแม่เป็นอยู่รักษายังไงก็รักษาไม่หาย มะเร็งจะหายได้ก็ต่อเมื่อผ่าตัดได้ ให้คีโมไปก็มีแต่ทรุด ให้ทีกลับมานอน รพ.ที3-4 วัน จะใช้ชีวิตแบบนี้ใช่ไหม งั้นหมอขอแนะนำว่าให้รักษาตามอาการ ปวดก็กินยา อ่อนเพลียก็ให้น้ำเกลือทำนองนี้ค่ะ งั้นหมอขอไม่รักษาต่อนะ รักษาต่อไปก็มีแต่โทษต่อร่างกายคนไข้ ให้ใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่า ***เขาบอกว่าคีโมที่ให้รพ. ที่กทมให้มา ดีสุดแล้วยังเอาไม่อยู่ เป็นชนิดที่ดีที่สุดแล้ว
หลังจากแม่ขึ้นรถกลับบ้านได้แม่ร้องไห้โฮออกมา ทำใจไม่ได้ เพราะเตรียมใจไปว่า จะรักษาหาย เราก็ไม่รู้จะปลอบยังไง ได้แต่บอก ร้องออกมา แต่เราไม่ชอบให้แม่เราร้องไห้นะ เราอยากให้แม่เราเข้มแข็งแต่ก็เข้าใจสภาพจิตใจของแม่ กลับมาก็นอนยังเดียว กินอะไรไม่ค่อยได้ เหมือนทำใจไม่ได้อีกครั้ง
พอถึงคิวไปรักษาต่อมไร้ท่อที่ รพ. กทม แม่ก็เลยบอกหมอตัดสินใจไม่รักษาต่อ ไม่ทำการรักษาอะไรทั้งสิ้น ปกติรักษาต่อมไร้ท่อ แม่จะต้องฉีดยาที่พุง เพื่อเข้าไประงับค่าแคลเซียมในร่างกายอะไรทำนองนั้นค่ะ พอหมอมาดูอาการคุณแม่ ก็เลยให้กำลังใจ และให้พบหมอคนเก่าที่รักษามะเร็งแม่ด้วย เราได้คุยกับคุณหมอ คุณหมอก็มาหาแม่ที่เปลนอน พร้อมบอกว่า เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางการรักษาแล้วเนาะ ให้ใช้ชีวิตที่มีอยู่ แม่ก็บอก มันเหนื่อย มันรู้สึกทำอะไรไม่ได้เหมือนคนปกติ อยากกลับไปช่วยเหลือตัวเองได้ หมอก็แนะนำดีค่ะ เขาบอกอีกหน่อยหมอก็จะเป็นแบบคุณ ลูกก็จะเป็น แต่แค่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นให้สู้ๆ
พอหมอมาเยี่ยมแม่เสร็จก็ได้คุยกับหมออีกนึดนึง คุณหมอบอกว่า ได้ทำใจกันไว้หรือยั้ง เราก็บอกก็มีทำใจไว้บ้างแต่คิดว่าคงไม่เร็วขนาดนั้น หมอก็บอกว่า ต้องแจ้งก่อน ในส่วนตัวมะเร็งที่แม่เป็นอยู่ตอนนี้ มันผลิตแคลเซียมสูง ถ้าวันใดวันนึง มันผลิตสูงจนร่างกายคนไข้รับไม่ไหว ก็อยากให้ทำใจไว้ เพราะคนไข้จะซึมกว่าปกติ และจะซึมมากๆ ซึมชนิดที่ว่า ซึมจนหลับไปในที่สุด แต่จะไม่เจ็บไม่ปวด ไปแบบเบาที่สุด เราก็บอกหมอว่า แม่ก็ชอบร้องไห้ว่าแม่อาจจะอยู่ไม่ถึงสิ้นปี แม่รู้ตัวเอง แต่หมอก็บอก ไม่รู้จะอยู่ได้ถึงสิ้นปีไหม หรืออาจจะเกินไปกว่านั้น หมอคิดว่าคนไข้น่าจะรู้ตัวเองดี
…. ขอโทษนะคะเล่าสะยาวเลย แต่คำถามที่อยากถามเพื่อนๆคือ ถ้าคุณรับรู้ว่า ในครอบครัวคุณเหลือชีวิตอยู่น้อย คุณมีวิธีปลอบตัวเองยังไง และให้กำลังใจคนป่วยยังไง ไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็นเลย แอบร้องไห้หน้ากระจกคนเดียว ใจอยากทำตัวให้เข็มแข็งให้คนภายนอกมองว่าไม่อ่อนแอ เราเป็นน้องคนสุดท้อง อายุ 22 ปี ไม่มีงานทำ อยู่บ้านกับแม่ พี่เราอายุ 25 ปีมีงานทำแต่อยู่กทม เขาก็ห่วงแม่ อยากกลับมาทำงานที่บ้าน เราอยากรู้ว่าเพื่อนๆเคยเจอเหตุการณ์แบบเราไหม และทำใจกันยังไง มีวิธีการปลอบตัวเองยังไง ให้คนที่อยู่กับเรามีความสุขที่สุดค่ะ
ปล.กระทู้นี้อาจจะผิดพลาดตรงไหน ขออภัยคนที่อ่านด้วยนะคะ เราผิดไหมถ้าเรามีความคิดว่า ถ้าเราเกิดเสียแม่ไปจริงๆ เราจะอยู่ยังไง แม่จะห่วงเราไหม เราพยายามบอกเขาไม่ต้องห่วง เดียวคนที่อยู่ก็ต้องเติบโตเอาตัวรอดเองได้ มนุษย์ไม่ปล่อยให้ตัวเจ้าของลำบากหรอก