จุดจบของ pandemic คือ endemic, ตัวเลขคนไข้ในโรงพยาบาลเป็นปกติ และในที่สุดคือการหยุด test และโควิด19 == หวัด

ว่าไปจริง ๆ ท่านรองนายกฯ
....อาจจะ  "มาก่อนกาล"  (ไปสักนิดครับ)

เมื่อการระบาด  (รวมถึงการฉีดวัคซีน)  ดำเนินถึงจุดหนึ่ง
สิ่งที่สะท้อนสถานการณ์จะไม่ใช่การ test อีกต่อไป

จะเห็นว่าในต่างประเทศ vaccinated re-infection หรือคนฉีดวัคซีนแต่ป่วยมีเพิ่มขี้น ๆ
ทั้งจากตัวเลข efficacy ที่ไม่ใช่ 100%
ทั้งจากฐานระบบภูมิคุ้มกันของปัจเจก
ทว่าในต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนที่มี efficacy มาตรฐาน   ถึงแม้ว่า
-  ผู้ฉีดวัคซีนแล้วยังแพร่เชื้อได้  แม้ไม่แสดงอาการ
-  ผู้ฉีดวัคซีนสามารถแพร่จำนวนไวรัส  ไม่ได้น้อยลงจากคนที่ไม่ได้ฉีด
แต่จำนวนที่ผู้ฉีดวัคซีนแล้ว  กลายเป็นคนป่วยหนัก  มีการลดจำนวนลงอย่างมีนัยสำคัญ

นั่นคือ  วัคซีนไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อแบบ 100%
สิ่งที่ตามมาคือวัคซีนก็  ไม่ได้  ป้องกันการระบาด
เพราะคนฉีดแล้วก็แพร่เชื้อได้  แม้ไม่แสดงอาการ  ซึ่ง...ไม่ได้ต่างจากคนไม่ได้ฉีด

แต่วัคซีนที่มี efficacy มาตรฐาน  ทำให้คนที่ภูมิคุ้มกันปกติเกือบทั้งหมดไม่ป่วยหนัก

จุดจบของ pandemic คือคนทั้งโลกต้องได้รับเชื้อ  ไม่ว่าทั้งจากวัคซีนหรือติดเอง
และคนที่รอดคือคนที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงาน  จัดการได้

วัคซีนจะยังคงเป็นที่ต้องการ  สำหรับกลุ่มเสี่ยง
ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและอื่น ๆ
รัฐอาจจะจัดหาและแนะนำให้กลุ่มเสี่ยงฉีดทุก 6 เดือนหรือ 1 ปี
เพราะกลุ่มเสี่ยงต้องพึ่งอาศัยจำนวนแอนติบอดี้ในการต่อต้านไวรัสมากกว่าคนภูมิคุ้มกันปกติ
ซึ่งจำนวนแอนติบอดี้ลดลงตามเวลาที่ฉีดครั้งสุดท้าย

สิ่งที่จะหมดความสำคัญคือ  การตรวจ
เมื่อมันไม่ได้มีความสำคัญอะไรอีกต่อไป  หากคนเกือบทุกคนได้รับวัคซีนแล้ว
และเมื่อเกิด re-infection  อย่างร้ายก็แค่หยุดงาน  ล้มหมอนนอนเสื่อ  "อยู่บ้าน"  ตามระเบียบ

ว่าไปจริง ๆ ท่านรองนายกฯ
....ก็อาจจะ  "มาก่อนกาล"  (....ไปสักนิดครับ)

Turning COVID Into The Common Cold | A Doctor Explains
170,102 views
18 Aug 2021
https://www.youtube.com/watch?v=PDRjIuC2eZEคลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่