ตอนนี้เราทำงานอยู่ที่ร้านแห่งหนึ่ง เป็นร้านที่มีชื่อเสียงในจังหวัดอยู่พอตัว เราทำมาได้7เดือนแล้ว(ต้องบอกก่อนว่าก่อนหน้าที่เราจะมาทำงานที่นี่ เราเคยทำงานเกี่ยวกับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ แต่ด้วยพิษโควิดที่ต้องปิดประเทศ เลยทำให้ต้องปิดกิจการชั่วคราวไปก่อน เราออกจากงาน ก็หันไปขายกับข้าวตอนเช้า แต่พักหลังมา ทุนเริ่มแพงขึ้น แต่ขายของได้ไม่ค่อยดี เราก็เลยมองหางานประจำ เห็นที่นี่เปิดรับสมัคร เราคิดว่าเป็นร้านที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอยู่พอตัว น่าจะมีระบบการจัดการ การทำงานที่ดี เราจึงเข้ามาสมัครและสัมภาษณ์ เจ้าของร้านตอบรับเราเข้าทำงานทันทีในวันสัมภาษณ์นั้นเลย) ในอาทิตย์แรกที่เราเข้ามาทำงาน งานไม่มีระบบ ทำปนเปมั่วกันไปหมด โดยใช้แรงงานจากคนคนเดียว โดยส่วนตัวของน้องผช.ก็มักจะมาๆขาดๆ อยากจะไม่มาก็ไม่มาไม่ได้มีการลาล่วงหน้า ที่นี่ไม่ได้มีการสอนงานเป็นจริงเป็นจังอะไร เราเห็นน้องพนักงานผู้ชายที่ทำอยู่ก่อนแล้ว เราก็ถามๆดู คอยสังเกตุ ค่อยๆทำค่อยๆฝึกไป ทุกวันที่มาทำงานในช่วงแรก เราจะได้ยินนายจ้างเราพูดถามกับเราเสมอว่า**ทำงานกับพี่เขาดีมั๊ยทำงานดีดีนะ ทำงานไปนานๆนะ***พูดซ้ำๆแบบนี้ทุกวัน จนบางเราเองก็เหนื่อยจะตอบ มีครั้งนึงเพื่อนของพี่เจ้าของร้านมาที่ร้าน เขาบอกให้เราแอดเฟสบุ๊คไปหาเพื่อนเขาด้วยเขาจะได้เอาไว้มาส่องได้ว่าเราโพสหรือพิมอะไรบ้าง เราว่ามันไม่ใช่อ่ะ เฟสบุ๊คถือเป็นพื้นที่ส่วนตัวอย่างนึงของเรา เขาควรเคารพสิทธิส่วนบุคคล เรามาทำงาน ไม่ได้ให้ใครมานั่งจับผิด เราเลยตัดสินใจไม่แอดไป เราทำงานของเรามาเรื่อยๆ เริ่มจัดนู้นจัดนี่ ทำระบบเอกสารร้าน ทำโซเชียลช่องทางติดต่อให้กับร้าน ทั้งทางเฟสบุ๊คและไลน์ เพราะเราไม่ชอบที่เวลาจะต้องติดต่อลูกค้า เราจะต้องไปใช้โทรศัพท์ส่วนตัวของนายจ้าง แล้วมักจะพบกับอะไรที่มันแปลกๆในนั้นเสมอ จนเราไม่กล้าใช้ เราไม่ได้เกี่ยงเรื่องเพศ หรือรสนิยมทางเพศ เข้าห้องน้ำเขาก็ไม่เคยปิดประตูเลยสักครั้ง ไม่จัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนออกมา เราเห็นแบบนั้น เราก็คิดว่า เขาไม่เกรงใจคนอื่นเลยรึไง ใช่กระดาษซับมันเช็ดหน้าตัวเองเสร็จก็ทิ้งลงพื้นไม่เอาไปทิ้งถังขยะ ต้องให้พนักงานมาเก็บให้ เราเคารพสิทธิส่วนบุคคล แต่การจะให้เรื่อง18+มาโชว์อยู่บนโทรศัพท์ที่ต้องใช้ติดต่องาน เราว่ามันไม่ควร ซึ่งแรกๆเราเจอกับตัวเองบ่อยมาก จนเราต้องเลี่ยงใช้โทรศัพท์เขา แล้วมาใช้โทรศัพท์ตัวเองแทน สร้างช่องทางใหม่ขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าติดต่อมาที่ช่องทางของร้าน มากกว่าช่องทางส่วนตัว พอเราทำงานที่นี่ไปได้สักระยะ เราก็มีโอกาสได้คุยกับน้องพนักงานผช.เพิ่มขึ้น เขาเล่าให้เราฟังว่า เขาเล่าให้เราฟังหลายอย่าง รวมถึงทัศนคติและนิสัยของนายจ้างด้วย แต่เราก็พยายามมองข้ามไปซะ เราคิดว่าเราตั้งใจมาทำงานเพื่อหาเงิน อะไรมองข้ามได้ก็มองข้าม แต่ตอนนี้บางเรื่องมันก็มีผลต่อสภาพจิตใจเราในการทำงาน จริงๆเขาตั้งใจจะลาออก เพราะที่ผ่านมา เขาทำงานหนักอยู่คนเดียวทางร้านไม่ยอมจ้างพนักงานเพิ่ม ประกันสังคมก็ไม่ทำให้ เขาทำงานที่นี่มา6-7ปีแล้ว ด้วยความที่เขาไม่ได้มีความรู้ตรงนี้และไม่อยากเรื่องมาก อะไรก็ได้ เขาเลยไม่ได้แย้งกับนายจ้าง จนวันที่เขารู้สึกว่าไม่ไหวละ จะลาออก นายจ้างจึงประกาศรับสมัครพนักงานเพิ่ม จนได้เรามาทำงานที่นี่ และจะทำประกันสังคมเพิ่มให้ เพื่อให้เขาอยู่ต่อ พอเราฟังแบบนี้เราก็ยอมรับนะว่าแอบตกใจ ขนาดน้องเขาทำงานมาตั้งหลายปี ไม่ทำปกส.ให้ลูกจ้างจนวันที่น้องเขาจะออก ถึงจะมายื่นข้อเสนอให้ว่าถ้าอยู่ต่อจะทำปกส.ให้ และเราก็คิดว่านายจ้างคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เขาไม่เคยเห็นอกเห็นใจลูกจ้าง ไม่มีน้ำใจ เอาแต่ผลประโยชน์เข้าตัวเอง เราเองถูกเขาโบ้ยเรื่องที่เราไม่รู้เรื่องมาหลายครั้งละ ไม่เคยทำตามระบบหรือกระบวนการที่ควรเป็น แต่จะหาทางทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ที่มากที่สุดและเร็วที่สุด ไม่มีความเกรงใจ เขาชอบโทรและไลน์หาเรานอกเวลางาน บางทีก็วันหยุดบ้าง บางทีก็ส่งไลน์มาตอนตี4-5 บ้างแบบนี้ ซึ่งแรกๆเราก็รับสาย เพราะคิดว่ามีเรื่องสำคัญ สรุปคือเรื่องไม่เป็นเรื่อง หลังจากนั้นมาเราไม่เคยรับสายเขานอกเวลางานอีกเลย หลายครั้งที่เขาชอบเล่าข้อมูลลค.คนนี้ให้ลค.ท่านอื่น หรือคนอื่นฟัง เราก็จะเตือนเขาว่า ไม่ควรทำนะ เราควรให้เกียรติลค.เราด้วย ข้อมูลลค.ควรเป็นความลับของทางร้าน ไม่ควรนำไปเล่าต่อๆ เขาก็มองว่าเราไปต่อต้านเขา ไม่พอใจเรา อะไรก็ตามถ้ามีคนเห็นต่างจากเขา เขาก็จะคิดว่าเราต่อต้านเขา ถึงขั้นใช้คำหยาบคาย เช่นมัน
อย่างนั้นอย่างนี้ ไอ้ฯลฯ หรือการเรียกถึงบุคคลที่3 ว่า ไอ้ตัว
ไอ้ ... เราได้ยินครั้งแรกเราตกใจเลยนะแต่เขาก็ใช้มันหลายๆครั้ง เราไม่คิดว่าเขาจะใช้คำพวกนี้แบบชินปาก เขายึดแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เปิดใจรับฟังความเห็นของคนรอบข้าง ตอนนี้เรากำลังมีปัญหากับเขาเรื่องวันหยุดของลูกจ้าง ที่ผ่านมาเป็นวันแม่ 12 ส.ค. เราก็ลองเลียบๆเคียงๆถามว่าที่ร้านจะหยุดมั๊ย เขาก็บอกว่าไม่หยุด ร้านจะหยุดแค่ปีใหม่ (31-1) สงกรานต์ (13-15) และวันแรงงานแค่นั้น ซึ่งเราว่ามันไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่นะ วันที่เขาสัมภาษณ์งาน เขาก็บอกว่าร้านหยุดทุกวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัติฤกษ์นะ ซึ่งตามกฎหมายแรงงาน กำหนดไว้ว่านายจ้างจะต้องหยุดวันหยุดนักขัติฤกษ์หรือวันหยุดตามประเพณีให้ไม่น้อยกว่า13วันต่อปี ถ้าในกรณีไม่หยุดให้ในวันนั้นๆ ก็สามารถให้เก็บไปหยุดวันอื่นชดเชยแทนได้หรือจะต้องจ่ายค่าจ้างในวันหยุดนั้นๆให้กับลูกจ้าง ถ้าผิดไปจากนี้ถือว่าผิดกฎหมาย แต่ตอนนี้เราได้รับคำตอบมาแค่ว่าไม่หยุด แต่ไม่สามารถเก็บไปหยุดวันอื่นที่มีธุระจำเป็นได้ และไม่ได้จ่ายค่าจ้างเพิ่มให้กับลูกจ้าง แถมไม่พอ ถ้าหยุดหรือลาทำธุระในวันที่มีเหตุจำเป็นก็คือหักค่าจ้างเป็นรายวันนั้นๆ ไม่มีการระบุด้วยว่าใน1ปี สามารถลาป่วย ลากิจได้กี่วันโดยไม่มีการหักค่าจ้าง อย่างวันก่อนเราลาป่วยเพราะมีเอฟเฟคจากการไปฉีดวัคซีนazเข็มที่ 2 เราลาเพราะคิดว่าวันนั้นเราไม่ไหวจริงๆ ซึ่งวันก่อนหน้าเรามีไข้สูงแต่เราก็ฝืนไปทำงาน เรารู้สึกว่าไม่ไหว แต่เขาก็ไม่ให้เรากลับไปพัก บอกเราว่าให้ฟุ๊บโต๊ะหลับที่หน้าร้านเลย เราก็ไม่กล้า เพราะร้านเป็นกระจกโดยรอบ ใครเดินผ่านไปมาก็เห็นทำให้ภาพลักษณ์ร้านดูไม่ดี อีกวันเราลา รู้แหละว่าต้องโดนหักถ้าเราลา เขาเองมาร้านทุกวัน มาถึงก็จะมานอนที่โซฟาหน้าร้านนอนอย่างนี้ทั้งวัน ไม่ได้ทำงานที่เป็นจริงเป็นจัง บางทีนอนสั่งงานด้วยปากแค่นั้นก็มี เราคิดว่าเราจะคุยกับเขา เราได้โทรไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่กรมแรงงงาน เขาก็แนะนำให้ลองไปคุยกันภายในก่อน เราจึงมาปรึกษากับน้องผช.ว่าเราควรคุยเพื่อรักษาสิทธิ์ของลูกจ้างบ้างไม่ควรเอาเปรียบกันเกินไป หรือถ้านายจ้างยังไม่รู้ข้อมูลตรงนี้ก็จะได้แจ้งให้ทราบเพื่อปฏิบัติให้ถูกต้อง เราไม่ได้มีปัญหาในเรื่องรายละเอียดงานเลย อะไรที่เราไม่เคยทำ เราก็เรียนรู้ศึกษาเอา เราพยายามจะใช้ความรู้ที่เรามีเพื่อทำให้งานมันเป็นระบบมากขึ้นเอื้อต่อคนทำงาน แต่น้องผช.ก็เตือนเราว่า ถ้าคุยไปแล้ว เขามีทัศนคติ และความคิดในด้านลบ กลัวว่าเขาจะไม่เปิดใจรับฟัง และจะทำให้เขาไม่พอใจ จนนำไปสู่การบีบให้ออก ประมาณว่า ถ้าไม่พอใจจะอยู่ที่นี่ จะออกก็ได้นะไม่ว่าอะไร เราก็เลยยังลังเลอยู่ ไม่รู้ว่าควรจะคุยหรือไม่คุยดีเพราะถ้าคุยแล้วเป็นแบบที่น้องผช.บอก ถ้าเขาไม่เปิดใจจนให้เขาต้องหาวิธีมาบีบออก เราก็จะทำงานด้วยอึดอัด และยิ่งสถานการณ์โควิดในตอนนี้ การหาใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ใครเคยเจอสถานการณ์แบบนี้บ้าง ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ
ใครเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้บ้าง ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ