****บทที่ 3
ความเห็นใจ
“วันนี้เราเจอกันครั้งแรกใช่ไหม” ชายวัยกลางคนถามแบบไม่รอคำตอบ และกล่าวต่อ
“รุ่นนี้เรียก รุ่นเห่อ เห่อขายาวเห่อเป็นเด็กช่างขาไม่โดนแดดหน่อยแล้วทรงพลัง เลือดสถาบันพุ่งพล่าน ปีแรก ๆ จะตามรุ่นพี่ วิญญาณช่างตีมีดเข้าสิงสร้างมีดเอง บางคนก็แอบมาใช้เครื่องมือในช็อปทำโน่นนี่ วัยนี้แทบจะเป็นตัวตัดสินจะตาย หรือพิการ หรือนอนคุก หรือจะเรียนจบแบบครบ 32 อยู่ที่จะเลือก"
ในการกล่าวต้อนรับนักศึกษาใหม่เข้าสู่ชั้นเรียน ชายวัยกลางคนใช้น้ำเสียงเล่าเรื่องอย่างหน้าสนใจแกมขำเล็กน้อย ทันใดนั้นน้ำเสียงท่าทางเขาเปลี่ยนไป
เป็นความจริงจังและดุดัน
"ถ้าเป็นผม ผมจะเลือกจบแบบครบ 32 เพราะถ้าตายก็ไม่ได้มีธงชาติมาคุมโลง ผมไม่ได้หวังอะไรจากพวกคุณมาก ไม่หวังให้ได้คะแนนสูงๆ ผมหวังแค่ให้พวกคุณเรียนจบมีร่างกายครบ 32 มีงานมีเงินเลี้ยงครอบครัว” ชายวัยกลางคนมองสบตาทุกคนในชั้นเรียนบอกให้รู้ว่าเขาพูดจริงไม่ได้ล้อเล่น
“กฎวิชานี้ไม่มีอะไรมาก คะแนนอยู่ที่ปลายปากกาผมใครจะคุยจะเล่น เชิญข้างนอก ทำงานส่งสอบได้ ก็ได้เกรด 4 ไป” ชายกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย และเริ่มเข้าสู่บทเรียน
“กรี๊งงงงงง..” เสียงเตือนหมดคาบเรียนดังขึ้น
“คาบหน้าอย่าลืมส่งงานด้วยนะแยกย้ายได้” ชายวัยกลางคนกล่าว
“ขอบคุณครับอาจารณ์” นักศึกษาทุกคนลาอาจารณ์
“อาจารณ์วิทย์ดุจังวะ” นักศึกษาคนหนึ่งบ่นกับเพื่อน
“ก็ถามแปลกๆ กูจะไปรู้ไหมกูก็เรียนพร้อมเนี้ย” เพื่อนตอบติดตลก
“พวก! หลังพักเที่ยงวิชาอาจารณ์เจี๊ยบที่เป็นอาจารณ์ประจำชั้นเราให้รีบขึ้นห้องหน่อยนะ อาจารณ์ฝากมาบอก” เสียงเด็กสาวตะโกนบอกเพื่อน ๆ และเธอก็เดินจากไป
“ พอจบ ปวช. แล้วจะต่อ ปวส. หรือต่อมหาลัยเลยวะไอโก” เพื่อนถามกับเด็กหนุ่มระหว่างนั่งกินข้าวช่วงพักกลางวัน
“ไม่รู้วะ ดูก่อนตอนนี้พึ่ง ปี1 ไม่รู้ด้วยซ้ำจะจบไหม แต่ช่างเถอะอีกไม่กี่นาทีก็หมดเวลาพักแล้วขึ้นห้องกัน ร้อนวะอยากไปตากแอร์บนห้องแล้ว” เด็กหนุ่มกล่าวพลางลุกเตรียมตัวขึ้นห้องเรียน
“กริ๊งงงงง กริ๊งง กริ๊งงง” เสียงเตือนหมดเวลาพักดังขึ้น มีหญิงวัยประมาณ 30 ปลายๆรูปร่างอวบเล็กน้อยผมสั้นดำ เดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมหนังสือในมือ
“สวัสดีเด็กๆ วันนี้ให้รีบขึ้นมาให้ตรงเวลาเพราะ ทางวิทยาลัยมีกิจกรรมเฟรชชี่ เขาให้อาจารณ์ประจำชั้นเลือกนักศึกษาแต่ละคนที่เป็นเด็กตัวเองส่งเข้าประกวด ที่อาจารณ์เสนอชื่อไปก็มี หลิน ปาล์ม ยิว เจเจ โชว์ แล้วก็ โกสิน” อาจารณ์กล่าวหลังจากเข้าห้องเรียนมา เมื่อทุกคนได้ข้อสรุปเรื่องกิจกรรมอาจารณ์จึงได้ทำการเรียนการสอนต่อ
หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากเปิดภาคเรียน กิจกรรมเฟรชชี่ไกล้เข้ามาเด็กทุกคนที่เป็นตัวแทนต่างฝึกซ้อมการเดินกับอาจารณ์บอยผู้เป็นคนดูแลวางแผนกิจกรรมนี้
“ตั้งใจกันหน่อย ผู้ชายเดินตัดสลับกับผู้หญิง เธอเร็วๆเดินให้ทันเพื่อน” เสียงอาจารณ์บอยตะโกนกำกับการเดินแก่ผู้เข้าประกวดเฟรชชี่ด้วยเสียงที่ดัง และหงุดหงิดเล็กน้อย
“พอ พอ พอ วันนี้พอเท่านี้ก่อน เย็นมากแล้วพรุ่งนี้อย่าลืมมาถ่ายรูปตามเวลาที่บอกด้วยนะ” อาจารณ์บอยกล่าว และให้นักศึกษาแยกย้ายกลับบ้านไปพักผ่อน เด็กหนุ่มสาวพากันเก็บของ และเดินทางกลับ
“พรุ่งนี้ถ่ายรูปไปทำอะไรวะเจ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าวถามเพื่อนด้วยความสงสัยระหว่างยืนรอรถประจำทาง
“เอ้า! ไม่ได้ฟังอาจารณ์รึไงเนี่ยไอโก” เพื่อนเด็กหนุ่มบ่นใส่เด็กหนุ่ม
“ตอนอาจารณ์บอยอธิบายบนห้องก่อนซ้อม กูหลับว่าโทษที” เด็กหนุ่มตอบด้วยสีหน้าขัดเขินเล็กน้อยพร้อมหัวเราะเบาๆ
“เขาจะถ่ายรูปไปลงเพจวิทยาลัย ใครยอดไลค์สูงสุดจะชนะรางวัลขวัญใจมหาชน” เพื่อนเด็กหนุ่มมองเด็กหนุ่มด้วยหางตาพร้อมอธิบาย ไม่นานรถประทางได้มาจอดป้ายยังจุดที่ทั้งคู่ยืนรอ
“โชคดี พรุ่งนี้เจอกันเว้ย” ทั้งคู่บอกลากันขณะเด็กหนุ่มกำลังขึ้นรถประจำทาง เมื่อผู้โดยสารขึ้นรถเรียบร้อย รถประจำทางเก่า ๆ ค่อยเคลื่อนตัวออกจากป้าย รถประจำทางจอดป้ายเพื่อรับผู้โดยสารเป็นระยะ ๆ ตอนนี้ผู้คนเบียดเสียดอยู่บนรถคันสี่เหลี่ยมคันนี้ ทุกคนบนรถคงหวังอย่างเดียวขอให้ถึงที่หมายก่อนจะเป็นลมตาย ชายหนุ่มตื่นจากความร้อนและแออัดของผู้คน มีผู้หญิงวัย 40-50 ปีคนหนึ่งยืนระหว่างโดยสารรถประจำทาง เพราะไม่มีที่ให้ผู้โดยสารนั่งผู้ที่ขึ้นมาใหม่จำเป็นต้องยืนจนกว่าจะถึงจุดหมาย เด็กหนุ่มเห็นเช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงลุกสละที่นั่งให้แก่หญิงผู้นั้น และไปรับชตากรรมยืนเบียดเสียดแทน
“กริ๊งงงง” เสียงกริ๊งรถประจำทางดังขึ้น คนขับรถเตรียมจอดป้ายประจำทางข้างหน้า เด็กหนุ่มเดินลงรถพร้อมสูดอากาศเต็มปลอด
"รอรถก็นาน แถมรถติดตลอดทางออกจากวิลัยบ่ายสามถึงสี่โมงเย็น เฮอออ" เสียงพึมพำกับตัวเองของเด็กหนุ่มระหว่างเดินตรงไปยังร้านเหล้าที่หางออกไปไม่ไกลนัก
“พี่เบิร์ดสวัสดีครับ” เด็กหนุ่มทักท้ายชายหนุ่มวัยไม่เกิน 30 ที่กำลังง้วนจัดของตรงบาร์จ่ายเครื่องดื่ม
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มกล่าวรับไหว้ด้วยรอยยิ้ม
“ผมไปเปลี่ยนเสื้อแปปหนึ่งนะครับพี่เดี๋ยวผมมาช่วย” เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมทั้งหยิบเสื้อจากกระเป๋าเป้เดินจากไป
“วันนี้น็อคเบียร์กี่ลังครับ” เด็กหนุ่มกล่าวถามหลังจากเปลี่ยนเสื้อเสร็จ
“อย่างละ 5 ก็พอ เองไปแบกน้ำแข็งมาใส่ดีกว่าเดี๋ยวพี่เรียงลงถังเอง” ชายหนุ่มกล่าว
เวลาผ่านไปไกล้เวลาปิดร้าน พนักงานเสิร์ฟต่างมีอาการเมาเนื่องจากลูกค้าชวนให้ดื่มด้วยเพื่อแลกทิป มันเป็นภาพที่เด็กหนุ่มเห็นจนชินตา
“บัสไปเปิดไฟได้แล้วไป เดี๋ยวพี่ไปเก็บเลเซอร์เอง” ชายหนุ่มกล่าวก่อนเดินออกจากบาร์จ่ายเครื่องดื่ม
หลังจากเปิดไฟเวลาผ่านไปไม่นานลูกค้าทยอยออกจากร้าน หญิงสาวบางคนเมามายอย่างหนักถูกผู้ชายประคองกลับไป บางคนก็ล้มซุบอยู่หน้าร้านเพื่อนที่เมาไม่ต่างกันต้องค่อยแบกกันกลับ เด็กหนุ่มมองด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่เห็นพร้อมส่ายหัวไปมาเบาๆ
"จะไม่มีทางมีแฟนที่ชอบกินเหล้าแน่นอน"เด็กหนุ่มพูดในใจบอกกับตัวเอง
“บัส มาเซนชื่อรับเงินเร็ว ๆ ง่วงแล้ว” สาวใหญ่ร่างอวบอั๋นหน้าอกตูมตะโกนเรียกเด็กหนุ่มที่กำลังเก็บทำความสะอาดบาร์จ่ายเครื่องดื่ม
“ครับพี่สุ” เด็กหนุ่มขานรับและเดินมายังเคาน์เตอร์แคชเชียร์
“วันนี้ใครนอนเฝ้าร้าน เบิร์ด หรือบัส” สาวใหญ่กล่าวถามพร้อมมองไปยังชายหนุ่ม และเด็กหนุ่ม
“เอง นอนได้ไหมพรุ่งนี้พี่มีเข้าเวรตอนเช้าที่กรม” ชายหนุ่มกล่าวถามเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มคิดสักพัก
“ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมนอนเฝ้าเองครับ” เด็กหนุ่มตอบตกลง
“งั้นสรุป บัสลงชื่อรับเงินไป 500 ค่าแรงวันนี้ 300 ค่านอนเฝ้าร้าน 200 รวยแล้วมั้งไอบัส เหล้าก็ไม่กินบุหรี่ก็ไม่สูบ“ สาวใหญ่ยื่นปากกาให้แก่เด็กหนุ่ม
“รวยอะไรล่ะพี่ ค่าห้องค่าข้าว ค่าเรียนยังเบียดเสียดกันอยู่เลยไหนจะหนี้ที่ยืมร้านไปตอนสมัครเรียนอีก ถ้าจะรวยคงต้องปล้นธนาคารแล้ว” เด็กหนุ่มตอบติดตลก เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับ เด็กหนุ่มจึงเอาเต็นท์ที่ทางร้านเตรียมไว้ออกมากางนอน
“หนู หนู ตื่นได้แล้วลูก” หญิงสูงวัยปลุกเด็กหนุ่มที่กำลังนอนอยู่ในเต็นท์บนเวทีของร้าน
“ครับป้า” เด็กหนุ่มออกจากเต็นท์
“พี่เบิร์ดไม่เฝ้าร้านอีกแล้วสิ” หญิงสูงวัยชวนพูดคุย
“พี่เบิร์ดเขามีเข้าเวรครับป้า ผมเลยอยู่เฝ้าร้านแทน” เด็กหนุ่มพูดคุยอย่างเป็นมิตร
“ผมไปก่อนนะครับป้า ผมต้องกลับห้องอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนต่อ” เด็กหนุ่มกล่าวลาหลังจากเก็บเต็นท์เสร็จและเดินจากไป เด็กหนุ่มเรียกวินเพื่อมุ่งหน้ากลับห้องพัก
“แม่ กลับมาแล้วเปิดประตูให้หน่อย” “ก๊อก ๆ ๆ ๆ” เด็กหนุ่มเคาะประตูเรียกแม่ซ้ำๆ
“เออๆ” เสียงหญิงวัย 30 กว่าตอบออกมาพร้อมประตูที่เปิดออก
“7 โมงแล้ว สายอีกแล้วยังดีที่ป้าแม่บ้านมาไว รถก็มีสายเดียวที่ไปถึงวิทยาลัย ไปไม่เคยทันคาบแรกเลย” เด็กหนุ่มบ่นกับแม่ ขณะกำลังเดินไปอาบน้ำแต่งตัว
“ขออนุญาตเข้าห้องครับ” เด็กหนุ่มกล่าวก่อนเข้าห้องเรียน
“10 โมงแล้วจะหมดคาบอยู่แล้ว เองจะมาทำไมเวลานี้” อาจารณ์ผู้สอนมีสีหน้าเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมเด็กหนุ่ม
“รถมันติดครับ อาจารณ์ผมออกจากบ้านตั้งแต่ 7 โมงครึ่งแล้ว....”
“ก็ออกให้ไวขึ้นสิ จะได้มาทันเวลาเรียนไม่ต้องมาอ้าง” อาจารณ์พูดสวนขณะที่เด็กหนุ่มอธิบาย
“ผมทำงานกลางคืนครับ ผมออกเช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วครับ ผมได้นอน 4 ช.ม. เองครับ” เด็กหนุ่มพยายามขอความเห็นใจ
“งั้นก็ลาออกไปทำงาน ไม่ต้องมาเรียน” อาจารณ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก
“ผมอยากเรียนครับ แต่ผมต้องหาเงินด้วย.....”
“พอไม่ต้องพูด ผมไม่อยากฟังข้ออ้าง” อาจารณ์พูดสวนอีกครั้งเพื่อตัดบท เด็กหนุ่มทำได้เพียงเก็บงำความโกรธ และความผิดหวังจากคำตอบของอาจารณ์ผู้นั้น
วิศวะกรบนกองขยะ #3
ความเห็นใจ
“วันนี้เราเจอกันครั้งแรกใช่ไหม” ชายวัยกลางคนถามแบบไม่รอคำตอบ และกล่าวต่อ
“รุ่นนี้เรียก รุ่นเห่อ เห่อขายาวเห่อเป็นเด็กช่างขาไม่โดนแดดหน่อยแล้วทรงพลัง เลือดสถาบันพุ่งพล่าน ปีแรก ๆ จะตามรุ่นพี่ วิญญาณช่างตีมีดเข้าสิงสร้างมีดเอง บางคนก็แอบมาใช้เครื่องมือในช็อปทำโน่นนี่ วัยนี้แทบจะเป็นตัวตัดสินจะตาย หรือพิการ หรือนอนคุก หรือจะเรียนจบแบบครบ 32 อยู่ที่จะเลือก"
ในการกล่าวต้อนรับนักศึกษาใหม่เข้าสู่ชั้นเรียน ชายวัยกลางคนใช้น้ำเสียงเล่าเรื่องอย่างหน้าสนใจแกมขำเล็กน้อย ทันใดนั้นน้ำเสียงท่าทางเขาเปลี่ยนไป
เป็นความจริงจังและดุดัน
"ถ้าเป็นผม ผมจะเลือกจบแบบครบ 32 เพราะถ้าตายก็ไม่ได้มีธงชาติมาคุมโลง ผมไม่ได้หวังอะไรจากพวกคุณมาก ไม่หวังให้ได้คะแนนสูงๆ ผมหวังแค่ให้พวกคุณเรียนจบมีร่างกายครบ 32 มีงานมีเงินเลี้ยงครอบครัว” ชายวัยกลางคนมองสบตาทุกคนในชั้นเรียนบอกให้รู้ว่าเขาพูดจริงไม่ได้ล้อเล่น
“กฎวิชานี้ไม่มีอะไรมาก คะแนนอยู่ที่ปลายปากกาผมใครจะคุยจะเล่น เชิญข้างนอก ทำงานส่งสอบได้ ก็ได้เกรด 4 ไป” ชายกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย และเริ่มเข้าสู่บทเรียน
“กรี๊งงงงงง..” เสียงเตือนหมดคาบเรียนดังขึ้น
“คาบหน้าอย่าลืมส่งงานด้วยนะแยกย้ายได้” ชายวัยกลางคนกล่าว
“ขอบคุณครับอาจารณ์” นักศึกษาทุกคนลาอาจารณ์
“อาจารณ์วิทย์ดุจังวะ” นักศึกษาคนหนึ่งบ่นกับเพื่อน
“ก็ถามแปลกๆ กูจะไปรู้ไหมกูก็เรียนพร้อมเนี้ย” เพื่อนตอบติดตลก
“พวก! หลังพักเที่ยงวิชาอาจารณ์เจี๊ยบที่เป็นอาจารณ์ประจำชั้นเราให้รีบขึ้นห้องหน่อยนะ อาจารณ์ฝากมาบอก” เสียงเด็กสาวตะโกนบอกเพื่อน ๆ และเธอก็เดินจากไป
“ พอจบ ปวช. แล้วจะต่อ ปวส. หรือต่อมหาลัยเลยวะไอโก” เพื่อนถามกับเด็กหนุ่มระหว่างนั่งกินข้าวช่วงพักกลางวัน
“ไม่รู้วะ ดูก่อนตอนนี้พึ่ง ปี1 ไม่รู้ด้วยซ้ำจะจบไหม แต่ช่างเถอะอีกไม่กี่นาทีก็หมดเวลาพักแล้วขึ้นห้องกัน ร้อนวะอยากไปตากแอร์บนห้องแล้ว” เด็กหนุ่มกล่าวพลางลุกเตรียมตัวขึ้นห้องเรียน
“กริ๊งงงงง กริ๊งง กริ๊งงง” เสียงเตือนหมดเวลาพักดังขึ้น มีหญิงวัยประมาณ 30 ปลายๆรูปร่างอวบเล็กน้อยผมสั้นดำ เดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมหนังสือในมือ
“สวัสดีเด็กๆ วันนี้ให้รีบขึ้นมาให้ตรงเวลาเพราะ ทางวิทยาลัยมีกิจกรรมเฟรชชี่ เขาให้อาจารณ์ประจำชั้นเลือกนักศึกษาแต่ละคนที่เป็นเด็กตัวเองส่งเข้าประกวด ที่อาจารณ์เสนอชื่อไปก็มี หลิน ปาล์ม ยิว เจเจ โชว์ แล้วก็ โกสิน” อาจารณ์กล่าวหลังจากเข้าห้องเรียนมา เมื่อทุกคนได้ข้อสรุปเรื่องกิจกรรมอาจารณ์จึงได้ทำการเรียนการสอนต่อ
หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากเปิดภาคเรียน กิจกรรมเฟรชชี่ไกล้เข้ามาเด็กทุกคนที่เป็นตัวแทนต่างฝึกซ้อมการเดินกับอาจารณ์บอยผู้เป็นคนดูแลวางแผนกิจกรรมนี้
“ตั้งใจกันหน่อย ผู้ชายเดินตัดสลับกับผู้หญิง เธอเร็วๆเดินให้ทันเพื่อน” เสียงอาจารณ์บอยตะโกนกำกับการเดินแก่ผู้เข้าประกวดเฟรชชี่ด้วยเสียงที่ดัง และหงุดหงิดเล็กน้อย
“พอ พอ พอ วันนี้พอเท่านี้ก่อน เย็นมากแล้วพรุ่งนี้อย่าลืมมาถ่ายรูปตามเวลาที่บอกด้วยนะ” อาจารณ์บอยกล่าว และให้นักศึกษาแยกย้ายกลับบ้านไปพักผ่อน เด็กหนุ่มสาวพากันเก็บของ และเดินทางกลับ
“พรุ่งนี้ถ่ายรูปไปทำอะไรวะเจ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าวถามเพื่อนด้วยความสงสัยระหว่างยืนรอรถประจำทาง
“เอ้า! ไม่ได้ฟังอาจารณ์รึไงเนี่ยไอโก” เพื่อนเด็กหนุ่มบ่นใส่เด็กหนุ่ม
“ตอนอาจารณ์บอยอธิบายบนห้องก่อนซ้อม กูหลับว่าโทษที” เด็กหนุ่มตอบด้วยสีหน้าขัดเขินเล็กน้อยพร้อมหัวเราะเบาๆ
“เขาจะถ่ายรูปไปลงเพจวิทยาลัย ใครยอดไลค์สูงสุดจะชนะรางวัลขวัญใจมหาชน” เพื่อนเด็กหนุ่มมองเด็กหนุ่มด้วยหางตาพร้อมอธิบาย ไม่นานรถประทางได้มาจอดป้ายยังจุดที่ทั้งคู่ยืนรอ
“โชคดี พรุ่งนี้เจอกันเว้ย” ทั้งคู่บอกลากันขณะเด็กหนุ่มกำลังขึ้นรถประจำทาง เมื่อผู้โดยสารขึ้นรถเรียบร้อย รถประจำทางเก่า ๆ ค่อยเคลื่อนตัวออกจากป้าย รถประจำทางจอดป้ายเพื่อรับผู้โดยสารเป็นระยะ ๆ ตอนนี้ผู้คนเบียดเสียดอยู่บนรถคันสี่เหลี่ยมคันนี้ ทุกคนบนรถคงหวังอย่างเดียวขอให้ถึงที่หมายก่อนจะเป็นลมตาย ชายหนุ่มตื่นจากความร้อนและแออัดของผู้คน มีผู้หญิงวัย 40-50 ปีคนหนึ่งยืนระหว่างโดยสารรถประจำทาง เพราะไม่มีที่ให้ผู้โดยสารนั่งผู้ที่ขึ้นมาใหม่จำเป็นต้องยืนจนกว่าจะถึงจุดหมาย เด็กหนุ่มเห็นเช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงลุกสละที่นั่งให้แก่หญิงผู้นั้น และไปรับชตากรรมยืนเบียดเสียดแทน
“กริ๊งงงง” เสียงกริ๊งรถประจำทางดังขึ้น คนขับรถเตรียมจอดป้ายประจำทางข้างหน้า เด็กหนุ่มเดินลงรถพร้อมสูดอากาศเต็มปลอด
"รอรถก็นาน แถมรถติดตลอดทางออกจากวิลัยบ่ายสามถึงสี่โมงเย็น เฮอออ" เสียงพึมพำกับตัวเองของเด็กหนุ่มระหว่างเดินตรงไปยังร้านเหล้าที่หางออกไปไม่ไกลนัก
“พี่เบิร์ดสวัสดีครับ” เด็กหนุ่มทักท้ายชายหนุ่มวัยไม่เกิน 30 ที่กำลังง้วนจัดของตรงบาร์จ่ายเครื่องดื่ม
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มกล่าวรับไหว้ด้วยรอยยิ้ม
“ผมไปเปลี่ยนเสื้อแปปหนึ่งนะครับพี่เดี๋ยวผมมาช่วย” เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมทั้งหยิบเสื้อจากกระเป๋าเป้เดินจากไป
“วันนี้น็อคเบียร์กี่ลังครับ” เด็กหนุ่มกล่าวถามหลังจากเปลี่ยนเสื้อเสร็จ
“อย่างละ 5 ก็พอ เองไปแบกน้ำแข็งมาใส่ดีกว่าเดี๋ยวพี่เรียงลงถังเอง” ชายหนุ่มกล่าว
เวลาผ่านไปไกล้เวลาปิดร้าน พนักงานเสิร์ฟต่างมีอาการเมาเนื่องจากลูกค้าชวนให้ดื่มด้วยเพื่อแลกทิป มันเป็นภาพที่เด็กหนุ่มเห็นจนชินตา
“บัสไปเปิดไฟได้แล้วไป เดี๋ยวพี่ไปเก็บเลเซอร์เอง” ชายหนุ่มกล่าวก่อนเดินออกจากบาร์จ่ายเครื่องดื่ม
หลังจากเปิดไฟเวลาผ่านไปไม่นานลูกค้าทยอยออกจากร้าน หญิงสาวบางคนเมามายอย่างหนักถูกผู้ชายประคองกลับไป บางคนก็ล้มซุบอยู่หน้าร้านเพื่อนที่เมาไม่ต่างกันต้องค่อยแบกกันกลับ เด็กหนุ่มมองด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่เห็นพร้อมส่ายหัวไปมาเบาๆ
"จะไม่มีทางมีแฟนที่ชอบกินเหล้าแน่นอน"เด็กหนุ่มพูดในใจบอกกับตัวเอง
“บัส มาเซนชื่อรับเงินเร็ว ๆ ง่วงแล้ว” สาวใหญ่ร่างอวบอั๋นหน้าอกตูมตะโกนเรียกเด็กหนุ่มที่กำลังเก็บทำความสะอาดบาร์จ่ายเครื่องดื่ม
“ครับพี่สุ” เด็กหนุ่มขานรับและเดินมายังเคาน์เตอร์แคชเชียร์
“วันนี้ใครนอนเฝ้าร้าน เบิร์ด หรือบัส” สาวใหญ่กล่าวถามพร้อมมองไปยังชายหนุ่ม และเด็กหนุ่ม
“เอง นอนได้ไหมพรุ่งนี้พี่มีเข้าเวรตอนเช้าที่กรม” ชายหนุ่มกล่าวถามเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มคิดสักพัก
“ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมนอนเฝ้าเองครับ” เด็กหนุ่มตอบตกลง
“งั้นสรุป บัสลงชื่อรับเงินไป 500 ค่าแรงวันนี้ 300 ค่านอนเฝ้าร้าน 200 รวยแล้วมั้งไอบัส เหล้าก็ไม่กินบุหรี่ก็ไม่สูบ“ สาวใหญ่ยื่นปากกาให้แก่เด็กหนุ่ม
“รวยอะไรล่ะพี่ ค่าห้องค่าข้าว ค่าเรียนยังเบียดเสียดกันอยู่เลยไหนจะหนี้ที่ยืมร้านไปตอนสมัครเรียนอีก ถ้าจะรวยคงต้องปล้นธนาคารแล้ว” เด็กหนุ่มตอบติดตลก เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับ เด็กหนุ่มจึงเอาเต็นท์ที่ทางร้านเตรียมไว้ออกมากางนอน
“หนู หนู ตื่นได้แล้วลูก” หญิงสูงวัยปลุกเด็กหนุ่มที่กำลังนอนอยู่ในเต็นท์บนเวทีของร้าน
“ครับป้า” เด็กหนุ่มออกจากเต็นท์
“พี่เบิร์ดไม่เฝ้าร้านอีกแล้วสิ” หญิงสูงวัยชวนพูดคุย
“พี่เบิร์ดเขามีเข้าเวรครับป้า ผมเลยอยู่เฝ้าร้านแทน” เด็กหนุ่มพูดคุยอย่างเป็นมิตร
“ผมไปก่อนนะครับป้า ผมต้องกลับห้องอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนต่อ” เด็กหนุ่มกล่าวลาหลังจากเก็บเต็นท์เสร็จและเดินจากไป เด็กหนุ่มเรียกวินเพื่อมุ่งหน้ากลับห้องพัก
“แม่ กลับมาแล้วเปิดประตูให้หน่อย” “ก๊อก ๆ ๆ ๆ” เด็กหนุ่มเคาะประตูเรียกแม่ซ้ำๆ
“เออๆ” เสียงหญิงวัย 30 กว่าตอบออกมาพร้อมประตูที่เปิดออก
“7 โมงแล้ว สายอีกแล้วยังดีที่ป้าแม่บ้านมาไว รถก็มีสายเดียวที่ไปถึงวิทยาลัย ไปไม่เคยทันคาบแรกเลย” เด็กหนุ่มบ่นกับแม่ ขณะกำลังเดินไปอาบน้ำแต่งตัว
“ขออนุญาตเข้าห้องครับ” เด็กหนุ่มกล่าวก่อนเข้าห้องเรียน
“10 โมงแล้วจะหมดคาบอยู่แล้ว เองจะมาทำไมเวลานี้” อาจารณ์ผู้สอนมีสีหน้าเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมเด็กหนุ่ม
“รถมันติดครับ อาจารณ์ผมออกจากบ้านตั้งแต่ 7 โมงครึ่งแล้ว....”
“ก็ออกให้ไวขึ้นสิ จะได้มาทันเวลาเรียนไม่ต้องมาอ้าง” อาจารณ์พูดสวนขณะที่เด็กหนุ่มอธิบาย
“ผมทำงานกลางคืนครับ ผมออกเช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วครับ ผมได้นอน 4 ช.ม. เองครับ” เด็กหนุ่มพยายามขอความเห็นใจ
“งั้นก็ลาออกไปทำงาน ไม่ต้องมาเรียน” อาจารณ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก
“ผมอยากเรียนครับ แต่ผมต้องหาเงินด้วย.....”
“พอไม่ต้องพูด ผมไม่อยากฟังข้ออ้าง” อาจารณ์พูดสวนอีกครั้งเพื่อตัดบท เด็กหนุ่มทำได้เพียงเก็บงำความโกรธ และความผิดหวังจากคำตอบของอาจารณ์ผู้นั้น