"หย่าเพราะมีชู้" หนังว่าความในศาลคดีฟ้องหย่าฐานคบชู้ชั้นดีของเมืองไทย


**เปิดเผยเนื้อหา**

เมื่อวานที่ปล่อยลิสต์ 15 หนังว่าความในศาลก็มานั่งนึกสงสัยว่าแล้วของไทยมันมีหนังแนวนี้ไหม ที่นึกออกก็มีเรื่องเดียวคือ 'แฮปปี้เบิร์ธเดย์' ที่อนันดาโดนกล่าวหาว่ามี sex กับเจ้าหญิงนิทรา แต่พอไปหาข้อมูลเพิ่มก็พบว่ามันมีหนังเก่าก่อนผมเกิดอีกเรื่อง 'หย่าเพราะมีชู้' ที่เป็นแนว courtroom drama เพียว ๆ เลย

หนังเล่าเรื่องของ 'ผู้พันยุทธ' ฟ้องหย่าภรรยาว่าคบชู้กับลูกน้องทหารของตัวเองจำนวน 5 คน แต่ 'อาจารย์พรรณพร' อ้างว่าไม่ได้ประพฤติเยี่ยงนั้น และเหตุจริง ๆ แล้วตัวเธอน่ะแหละถูกสวมเขาเนื่องจากสามีคบชู้หญิงอื่นมานานแถมยังเป็นกามโรคอีก


ตอนแรกที่รู้ว่าเป็นหนัง courtroom drama แบบเต็มเรื่องก็คิดว่าคงเป็นแนว Anatomy of a Murder หรือ Witness for the Prosecution ที่คดีซับซ้อนพลิกไปพลิกมามีลูกล่อลูกชนเหลี่ยมจัด แต่ที่ไหนได้ 'หย่าเพราะมีชู้' กลับทำฉากว่าความในศาลเรียบง่าย ด้วยนัยของหนังมันคือการใช้การโต้แย้งคดีเพื่อพูดถึงสิทธิในสังคมของผู้หญิง ทั้งการถูกกดขี่ทางเพศ, สถานะของภรรยา รวมถึงรสนิยมเรื่องบนเตียง

เกริ่นถึงค่านิยมในสังคมก่อน (นี่คือหนังเมื่อ 30 ปีที่แล้ว) เราจะแทนค่าการตัดสินใจของฝ่ายภรรยาว่าทำไมไม่ฟ้องหย่าสามีที่คบชู้ด้วยบริบทของสังคมยุคปัจจุบันไม่ได้ คือสมัยนั้นการฟ้องหย่าด้วยเรื่องคบชู้มันเป็นเรื่องน่าอาย เหมือนสาวไส้ให้กากินอะไรประมาณนั้น แถมสิทธิของผู้หญิงในสังคมก็ยังถูกกดขี่จากเพศชาย ยิ่งการที่ฝ่ายภรรยา (รวมถึงปัจจุบัน) มีค่านิยมให้อภัย คิดว่าถึงสามีนอกใจแต่สักวันก็ต้องกลับมาหาเรา ยิ่งเสริมเป็นข้ออ้างให้ผู้ชายกระทำผิดโดยไร้ซึ่งความสำนึก และยังสามารถไปใช้อ้างในศาลได้อีกว่าถ้าสามีทำผิดมาก่อนหน้านี้จริงทำไมถึงไม่ฟ้องหย่าแต่แรก

ชอบการว่าความในศาลที่มีลักษณะความเป็นมนุษย์สามี ภรรยาฟ้องคดีกัน มีอารมณ์ฉุนเฉียว มีการสืบพยาน มีการโต้แย้งหักล้างกันด้วยข้อมูล ที่สำคัญคือข้อมูลที่ประเคนเข้ามาในการพิจารณาคดีมันเป็นธรรมชาติน่าเชื่อถือ แถมคำศัพท์ที่ใช้กันยังถือว่าแรงสำหรับการเป็นหนังสู่สาธารณะชนด้วย เช่นออรัลเซ็ก (หนังใช้คำนี้เลย), การมีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลัง (หนังเรียกประตูหลังว่าอะไรลืมละ), พูดถึงอวัยวะเพศชายแข็งตัวและรสนิยมความรุนแรงบนเตียงอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้การว่าความในศาลค่อนข้างดุเดือดแม้จะดูออกอย่างชัดเจนว่าผู้กำกับทำหนังเอนเอียงไปทางฝ่ายภรรยาอย่างมาก


เรื่องการสืบพยานบุคคล ตอนแรกเราคิดว่าเป็นข้อบกพร่องของหนังที่ให้ฝ่ายชายถูกไล่ต้อนอย่างว่าง่าย (ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายจ้างทนายฝีมือดี และเป็นคนฟ้องเขาก็น่าจะเตรียมตัวมาดี) แต่พอมองอีกแง่หนึ่งก็คือเรื่องของทหารที่มีความเย่อหยิ่ง (คล้ายแจ็ค นิโคลสัน ใน A Few Good Men) ทะนงตัวว่ายังไงก็ชนะด้วยพยานเท็จ แต่พอถูกทนายเตือนสติว่า "สังวรณ์ไว้อย่างหนึ่งว่าคุณเป็นคนมาหาผม ไม่ใช่ผมไปหาคุณ" นั่นทำให้เขาตระหนักดีว่าการขึ้นเป็นพยานในศาลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นั่นหมายถึงคุณต้องระวังทุกคำพูด และไม่ตกเป็นหลุมพรางกับดักของฝ่ายจำเลยที่ล่อหลอกจนเขาเสียท่าหลายหน (เช่นให้สารภาพยอมรับว่าไปตรวจกามโรคกับหมอคนไหน วันไหน ทั้งที่ความจริงแล้วฝ่ายจำเลยไม่สามารถเบิกพยานคนนี้ได้เนื่องจากผิดจรรยาบรรณแพทย์ที่ต้องเก็บความลับคนไข้)


มีอยู่ประเด็นหนึ่งที่ทนายฝ่ายสามีหยิบยกขึ้นมาอ้างถึงความวิปริตทางเพศของภรรยาก็คือนิยายที่ภรรยาแต่งเกี่ยวกับเรื่องการคบชู้และบรรยายถึงเรื่องบนเตียงถึงพริกถึงขิงราวกับเป็น Fifty Shades of Grey มันน่าสนใจที่ตัวแทนเพศชายซึ่งยอมรับว่ากระทำผิดด้วยการคบชู้จริง โดยอ้างว่ามีชู้เพราะภรรยาไม่สามารถตอบสนองเรื่องบนเตียงได้ กลับมาอ้างถึงรสนิยมของภรรยาว่าชอบความรุนแรงแบบนี้แต่กับอิดออดเพราะตัวเองมีชู้กับพลทหารรับใช้

น่าสนใจอีกอย่างคือทั้งที่เป็นหนังดราม่าว่าความในศาลฟอร์มเล็ก แต่ 'หย่าเพราะมีชู้' ทำรายได้สูงสุดประจำปี พ.ศ. 2528 มันก็ชวนให้เราแอบปลื้มรสนิยมการดูหนังของคนสมัยนั้น พร้อมกับแปลกใจว่าหรือสมัยนั้นยังไม่มีหนังรักตลกบูม ๆ แบบสมัยนี้

ทั้งนี้ทั้งนั้นเราดูจนจบก็ได้แต่นึกสงสัยว่าทำไมเราถึงมองข้ามคดีที่สำคัญอย่างยิ่งยวดไปได้ นั่นก็คือทำไมพลทหารถึงต้องผลัดเวรมารับใช้ภรรยาของผู้พัน เอ๊ะ นี่มันงานส่วนตัวหรือเปล่า มันใช่การทุจริตเงินเดือนหลวงเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือเปล่า ทำไมหนังถึงไม่ฟ้องศาลคดีนี้กันล่ะ

กำกับโดย: มานพ อุดมเดช (ผกก. คืนบาป พรหมพิราม)
เขียนบทโดย : มานพ อุดมเดช
ประเภทหนัง : นาฏกรรม
8.5/10

ขอขอบพระคุณบทความจากเพจหนังโปรดของข้าพเจ้า

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่