คำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญา พลิกสถานการณ์ คืนสิทธิ เนสท์เล่ ใช้แบรนด์ "เนสกาแฟ" แต่ต้องวางเงินประกัน 100 ล้านบาท

เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.thansettakij.com/business/marketing/625364


คดี "เนสท์เล่-มหากิจศิริ" เกิดการเปลี่ยนทิศขึ้นเมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งคืนสิทธิให้บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติสวิส "เนสท์เล่" สามารถใช้เครื่องหมายการค้า "เนสกาแฟ" ในประเทศไทยได้อีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ศาลแพ่งมีนบุรีมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ห้ามผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์แบรนด์ Nescafé ในประเทศไทย

“ฐานเศรษฐกิจ” ตรวจสอบคำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง คดีหมายเลขดำที่ ทป 58/2568  ระหว่าง โซซิเอเต้ เดส์ โปรดุยต์ส เนสท์เล่ เอส.เอ. โจทก์ ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน กับ นายประยุทธ มหากิจศิริ จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 3 คน พบว่า เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568

หลังจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ได้พิจารณาพยานหลักฐานแล้ว มีความเห็นว่า เมื่อความปรากฏชัดว่า โจทก์ที่ 1 (บริษัท โซซิเอเต้ เดส์ โปรดุยต์ส เนสท์เล่ เอส.เอ.) เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า "Nescafe" และเครื่องหมายการค้าคำว่า "เนสกาแฟ" โดยได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย และโจทก์ที่ 1 ทำสัญญาอนุญาตให้โจทก์ที่ 2 มีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวที่จะใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์ที่ 1 โดยสัญญาดังกล่าวได้รับการจดทะเบียนต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ในคำฟ้องโจทก์ระบุว่า การที่ฝ่ายนายประยุทธ มหากิจศิริ และพวกร่วมกันใช้สิทธิโดยไม่สุจริตปกปิดข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญจนทำให้ศาลแพ่งมีนบุรีมีคำสั่งห้ามมิให้ฝ่ายเนสท์เล่ใช้เครื่องหมายการค้า อันเป็นการขัดขวางไม่ให้ฝ่ายเนสท์เล่ในฐานะเจ้าของเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนในประเทศไทย และในฐานะผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิโดยถูกต้องตามกฎหมายใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของตน ทำให้ฝ่ายเนสท์เล่ได้รับความเสียหาย

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ จึงมีคำสั่ง "ให้โจทก์ที่ 1 ในฐานะเจ้าของเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนในประเทศไทย และโจทก์ที่ 2 ในฐานะผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิจากโจทก์ที่ 1 มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า "Nescafe" และ "เนสกาแฟ" และอาจใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534" แต่ให้ฝ่ายเนสท์เล่วางเงินประกันความเสียหายจำนวน 100 ล้านบาท ภายใน 15 วันนับแต่วันที่มีคำสั่ง มิฉะนั้น ให้ถือว่าคำสั่งนี้สิ้นผล

อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังคงต้องติดตามต่อไปว่าฝ่ายเนสท์เล่ และ นายประยุทธ มหากิจศิริจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการเกี่ยวกับคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งมีนบุรี ที่ยังมีผลอยู่ในปัจจุบัน  ซึ่งในวันที่ 20 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 น.  ศาลแพ่งได้นัดคู่ความทั้ง 2 ฝ่าย ฟังคำสั่งประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่จะมีคำวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลแพ่งมีนบุรีหรือไม่

หากไม่มีอำนาจก็ต้องจำหน่ายคดีให้ศาลทรัพย์สินฯ แต่หากอยู่ในอำนาจของศาลแพ่งมีนบุรี จะทำการไต่สวนคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของฝ่ายเนสท์เล่ต่อทันที


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่