https://ppantip.com/topic/40866093…..บทที่ 52
.
หลังเลิกงานพรนภายืนรอเมธีมารับหน้าที่ทำงาน บอกให้ออกมาก่อนตั้งนานแล้วทำไมยังไม่ถึงอีก จะไม่หงุดหงิดเลยหากไม่มีใครบางคนเที่ยวมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณนี้ ถ้ารู้ว่าจะถึงช้าแบบนี้ขับรถมาทำงานเองเสียก็ดี
เวลานี้ผู้คนต่างเร่งรีบเดินทางกลับบ้าน ตลาดฝั่งตรงข้ามผู้คนบางตา ปกติหนึ่งทุ่มแบบนี้คนมาเดินตลาดค่อนข้างหนาแน่นมาก แต่วันนี้คนน้อยจนดูน่าแปลกใจ ทั้งโรคระบาด ทั้งเคอร์ฟิวด้วยนั่นแหละ ที่ทำให้คนมาเดินตลาดกันบางตา
มีหนึ่งคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย ชายสติไม่ดีเดินวนไปวนมาหน้าที่ทำงาน เธอเห็นชายคนนี้ประจำ ไม่เคยได้ยินว่ามีพิษมีภัยกับใคร แต่ ชายสติไม่ดีคนนี้ไม่ได้สวมผ้าปิดจมูกเลย ไม่ได้ป้องกันตนเองอะไรเลย ไปที่ไหนมาบ้างก็ไม่รู้ ด้วยความกังวลเรื่องความปลอดภัยจากเชื้อโรคจึงตัดสินใจเดินเข้าร้านโลตัสข้าง ๆ ที่ทำงาน เพื่อรอเมธี
ระหว่างเดินเลือกซื้อของอยู่นั้น มีสายเรียกเข้าพอดี ดูหน้าจอเป็นเมธีโทรเข้า ‘ป่ะป๋าเมธี’ ชื่อโชว์หลาที่หน้าจอ มาถึงสักทีเหอะรอตั้งนาน ค่อนขอดให้โทรศัพท์ก่อนจะกดรับสาย
“น้องอยู่ไหนคะ พี่อยู่หน้าที่ทำงานนภาแล้วค่ะ” เขาถาม
“อยู่ในโลตัส แป๊บนะคะ “ เธอตอบ ก่อนจะกดวางสาย รีบนำข้าวของไปจ่ายตังค์จากนั้นเดินกลับมายังที่ทำงาน เห็นรถฮอนด้าซีวิคสีขาวจอดรอแล้ว ไม่ใช่รถของใครที่ไหน รถของเธอกับเมธีเอง
ถัดไปข้าง ๆ กันชายสติไม่ดีก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ผ้าปิดจมูกก็ไม่มี ไม่รู้ติดโควิดมาด้วยหรือเปล่า เธอจึงหยุดชะงักกลางทาง ไม่ยอมเดินมาให้ถึง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์โทรหาเมธีให้ขับรถมารับที่หน้าโลตัสแทน
“นภาโคตรโมโหไอ้บ้านั่นมากเลย เที่ยวมานั่งหน้าที่ทำงานทุกวัน แมสก็ไม่ใส่ ไม่รู้ไปไหนมาบ้าง ติดโควิดด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้” พอขึ้นรถได้ก็ระบายออกมาทันที พูดด้วยความไม่ชอบใจนัก ไม่ได้รังเกียจที่สติไม่ดี แต่จะให้ทำอย่างไร ทุกคนจำต้องป้องกันตนเองอย่างดีกันทั้งนั้นในเวลานี้
“พี่เห็นแล้วค่ะ พี่ก็ว่าอยู่ ห่วงน้องด้วยเนี่ย” เขาเองก็เห็นแล้วเช่นกัน กังวลไม่แพ้พรนภาเลยสักนิด “สเปรย์ล้างมือค่ะ ฉีดหน่อย” เขายื่นให้ภรรยารุ่นลูก ก่อนจะบึ่งรถออกไป
“ขอบคุณค่ะ” พรนภารับสเปรย์แบบพกพาจากเขามาฉีดทำความสะอาดมือ เอนกายนั่งรถกลับบ้านด้วยความอ่อนล้า ทำงานยาวมาตั้งแต่วันที่ 25 ของเดือนที่แล้วยังไม่ได้หยุดเลย จะหยุดได้อีกทีก็หลังวันที่ 4 เป็นต้นไป อีกตั้งหลายวันกว่าจะได้หยุด พอนึกแบบนี้ก็พ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ลืมเรื่องที่จะบ่นเมธีที่มารับช้าไปเลย
“เราจะทานไรดีคะ ลาบมั้ย” เขาหันมาถาม วันนี้นึกอยากทานลาบเนื้อมาก ๆ และ ซื้อสำเร็จง่ายกว่าทำเองตั้งเยอะ
“ลาบแบบไหน ลาบแบบที่นภาซื้อมาให้พี่เมธีวันก่อนเหรอ ไม่อยากอ่ะ พี่เมธีกินคนเดียวเหอะ” เธอปฏิเสธ “นภาอยากกินลาบที่มันเป็นสีน้ำตาลอ่ะ เวลามันสุกแล้วมันเป็นสีน้ำตาลแหม ที่เหมือนลาบมาจากงานบุญ งานแต่งน่ะ” เธอสาธยายให้สามีรุ่นพ่อฟัง นึกอยากทานแบบนั้นจริง ๆ
“ลาบอะไรสีน้ำตาล ! “ เมธีทำท่าครุ่นคิดไปด้วยระหว่างขับรถกลับบ้าน “ลาบมันก็อันเดียวกันกับน้องซื้อมาวันก่อนนั่นแหละ มันจะมีลาบอะไรอีก”
“เอ๋า ก็ลาบสีน้ำตาล ที่เอามาคั่วแล้วมันเป็นสีน้ำตาลอ่ะ ที่มันกินดิบก็ได้ มันจะมีลาบดิบกับสุก ที่เขาทำตามงานแต่งงานอ่ะ” ขมวดคิ้วเริ่มจะไม่พอใจแล้ว พูดแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจอีก
“ลาบอิหยัง ! นั่นมันก้อยแล้วหล่า เพิ่นเอาก้อยมาคั่ว มันไม่มีจ้า ร้านลุงแกไม่มีแบบนั้น” สุดท้ายเขาก็นึกออกจนได้ พร้อมพูดปนหัวเราะให้กับพรนภา
“เออ ๆ นั่นแหละ นภาอยากกินก้อยคั่ว ไม่มีก็ไม่กิน เอ่อ พี่เมธีลงไปซื้อคนเดียวนะ เค้าขี้เกียจ ไม่ต้องซื้อข้าวเหนียวเผื่อนภาด้วย นภาไม่ค่อยหิวข้าวค่ะ”
“ครับผม” พูดปนยิ้มก่อนจะตั้งใจขับรถ และ เลี้ยวเข้าร้านลาบเจ้าประจำก่อนถึงคอนโด ที่ร้านเขียนชื่อไว้ว่า ร้านลาบยโสธรทรายมูล ทำไมต้องมีคำว่าทรายมูลด้วย เธอสงสัยมานานแล้วแต่ก็ไม่ต้องการที่จะหาคำตอบ เป็นร้านประจำของพวกเธอสองคนหากอยากทานลาบหรือต้มขม ร้านนี้อร่อยที่สุด
พอได้กับข้าวครบก็ขับรถกลับคอนโดกันเลย นี่ใกล้จะถึงเวลาเคอร์ฟิวเข้าเต็มทน มาถึงห้องพรนภาเป็นคนจัดแจงนำกับข้าวใส่จาน พร้อมยกมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะกับข้าว วันนี้รู้สึกไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ จึงทำเพียงแค่นั่งเป็นเพื่อนคุยเท่านั้น ทานผลไม้แทนคุยเป็นเพื่อนสามีบนโต๊ะกับข้าว วันนี้ไม่ออกกำลังกาย มันเมื่อยและเหนื่อยไปหมด งานเยอะมากสำหรับต้นเดือนแบบนี้
“ว่าไงพี่เมธี ! เดือนใหม่แล้วนะ” ปลอกส้มทานพร้อมถามคำถามกับเขา เพื่อเตือนความจำอะไรบางอย่าง สายตาจ้องมองรอคำตอบ และ หวังเป็นอย่างมากว่าจะได้คำตอบที่ถูกใจ
“อะไรคะ เค้าต่อเคอร์ฟิวถึงวันที่ 14 ไม่รู้เหรอ” พูดกลั้วหัวเราะ มองใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นด้วยความตลก รักเหลือเกิน เอ็นดูมากด้วย แล้วก็โดนเจ้าตัวโยนค้อนวงใหญ่กลับมาให้ ทว่าก็น่ารักดี พรนภาทำอะไรก็น่ารักไปหมดทั้งนั้นแหละ
พวกเธอสองคนนั่งทานข้าวด้วยกัน พูดคุยกันไปถึงเรื่องต่าง ๆ เธอว่าจะไม่ทานข้าวก็เผลอทานจนได้ ใครจะอดใจไหว นั่งเฝ้าขนาดนี้ สุดท้ายก็ทานข้าวกับเมธีจนได้ แถมยังโดนเยาะเย้ยไปอีก โดนล้อว่าอ้วนไปอีก ทำได้เพียงยิ้มให้ แก้ตัวอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
“จะออกกำลังกายทำไมให้เหนื่อยทุกวัน ฮา อ้วนเหมียนเดิม” แซวสักหน่อย สบโอกาสขนาดนี้
“ฮ่วย… พี่เมธีกะซางแหล่ว อย่าล้อนภาดิ “ พูดเขิน ๆ เพราะโดนล้อ มือก็ตักต้มขมเข้าปากไป เมื่อทานข้าวเสร็จเธอก็อาสาเป็นคนเก็บสำรับเอง ล้างถ้วยลางจานเสร็จสรรพ เปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำให้เรียบร้อย แล้วออกมาห้องโถงดูทีวี ทำกิจวัตรประจำวันด้วยกัน เล่นด้วยกัน ใช้เวลาด้วยกันให้คุ้มค่าและมีความสุขก่อนจะถึงเวลานอน
“พี่เมธีเดือนนี้เดือนอะไร” เธอถามขณะนั่งเล่นโทรศัพท์ที่โซฟาในห้อง เมธีนอนดูโทรทัศน์บนที่นอน วันนี้ไม่เล่นเกมนอนดูข่าวเหตุการณ์บ้านเมืองแทน “รู้มั้ยว่าเดือนนี้คือเดือนอะไร”
“เดือนอะไร” เขาตอบกลั้วยิ้ม ทำเป็นย้อนถามคำถามอีก รู้ทันว่าพรนภาถามแบบนี้ทำไม แค่อยากแหย่เล่น ๆ เท่านั้น
“เอ๋า…แล้วเดือนอะไรล่ะ เดือนนี้อ่ะ ฮ่วย” เลิกเล่นโทรศัพท์เพราะได้คำตอบขัดใจ หน้าบึ้งหันมามองคนที่เตียงนอน จ้องด้วยความไม่ชอบใจนัก
“เดือนสิงหาคมค่ะ แล้วไง “ เขาตอบ คราวนี้หัวเราะไปด้วย ทราบว่าเป็นเดือนอะไร เห็นพรนภาหน้ามุ่ยก็ชอบใจนัก ชอบแกล้งให้งอแงแล้วก็มาตามง้อทีหลัง ถึงอย่างไรก็น่ารักในสายตาของเขาเสมอ เด็กขี้งอแง
“ก็แล้วไงล่ะ ฮ่วย ! เดือนสิงหาคมแล้วไงต่อ” คราวนี้หันมานั่งกอดอกจ้องตาเขม่น “เดือนสิงหาแล้วมันต้องเป็นยังไง” จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเลย
เขาหัวเราะให้ภรรยารุ่นลูกที่นั่งจ้องตนเองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ “ก็สิงหาไงคะ สิงหาคมก็คือสิงหาคม จะอะไรล่ะ” เขาเล่นลิ้นกับเธอ พร้อมหัวเราะให้อีก ส่วนเจ้าตัวเหมือนกำลังจะโกรธตัวสั่นอยู่
ภายในคอนโดเล็ก ๆ ตอนนี้ประมาณสองทุ่ม หลังจากพวกเธอรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จสรรพ ก็เป็นเวลาส่วนตัว เป็นเวลาที่จะมอบให้กันและกันก่อนนอน บางครั้งลดอายุมาเล่นมาทะเลาะกันก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ อย่างวันนี้ก็เช่นกัน
“พี่เมธีอยากโดนดีใช่มั้ย จะตอบมามั้ยว่าเดือนนี้เดือนอะไร” ไม่พูดเฉย วางโทรศัพท์ไว้เดินไปกระโดดนั่งทับตัวของเขา ที่นอนหงายดูโทรทัศน์อยู่บนเตียง
“อ้าว ! ฮา มาแบบนี้ก็โดนสิครับ” เขากอดรวบตัวของพรนภาเอาไว้ รางบางไม่สามารถดิ้นหลุดไปได้ กอดให้พรนภานอนหมอบไปกับลำตัวของตนเอง พร้อมจูบไปหนึ่งที เจ้าตัวยังทำหน้ามุ่ยให้ไม่เลิก
“เดือนนี้เดือนอะไร จะตอบหรือไม่ตอบ” พรนภายังคะยั้นคะยอจะเอาคำตอบให้ได้ ขณะนั้นเมธีก็เที่ยวจูบเที่ยวหอมอยู่อย่างนั้น ตนเองก็ไม่ได้จะห้าม ปล่อยให้ทำตามสบาย
“รู้แล้วคร๊าบที่รัก แหม… เค้าหยอกเล่นเฉย ๆ หรอก “ พูดเอาใจ ไม่อยากแกล้งให้งอนแล้ว “ใครจะจำวันสำคัญของเมียไม่ได้ล่ะ จัดของขวัญให้คนนึงเลยเป็นไง ฮา !” พูดกลั้วหัวเราะ
“ฮื้ย ! เตะเข้าตะโกจะของ ทราบก็ดีแล้ว ถึงวันจะได้ไม่แกล้งลืม ปล่อยนภาได้แล้ว” พยายามจะลุก แต่โดนรั้งเอาไว้ด้วยแขนแข็งแรงของเขา สุดท้ายก็จำต้องนอนหมอบบนแผงหน้าอกและลำตัวของเขาต่อไป
“ไม่ปล่อย ไม่ให้ไป มาแล้วอย่าคิดว่าจะได้ไปง่าย ๆ “ พร้อมจุ๊บที่ริมฝีปากไปอีกหลาย ๆ รอบ
“ฮือ…พี่เมธีอ่ะ ปล่อยเค้าลงได้แล้ว นภาจะนอนดี ๆ เนี่ย” ค่อนขอดให้ ได้ผล ! เมธีคลายวงแขนออก ปล่อยเธอลงจากลำตัวของตนเอง จากนั้นเธอก็ลุกไปหยิบโทรศัพท์ที่โซฟาแล้วกลับมานอนข้าง ๆ อีกที
เลิกเล่นโทรศัพท์นอนกอดเขาดูโทรทัศน์ไปด้วยกัน ข่าวการเรียกร้องประชาธิปไตยกำลังร้อนระอุ ทว่าเลิกสนใจข่าว ตะแคงกอดลำตัวเขาแน่นมากยิ่งขึ้น ตาเริ่มปรือ เริ่มง่วงเข้าทุกที
“อะไรคะ จะนอนแล้วเหรอ สี่ทุ่มเอง “ หันมาถามคำถาม พร้อมหอมหน้าผากของเธอไปอีกหนึ่งที
“อือ นภาง่วง” พยักหน้าตอบ ทว่ายังหลับตาอยู่ ยกขาขึ้นมาก่ายบนลำตัวของเขา กอดเขาเอาไว้แน่น ๆ แล้วก็หลับไป แค่ได้นอนกอดคนของใจแค่นี้ก็หลับฝันดีตลอดคืน…
จบบท
ฝันหวาน (Sweet Dream) 53
https://ppantip.com/topic/40866093…..บทที่ 52
.
หลังเลิกงานพรนภายืนรอเมธีมารับหน้าที่ทำงาน บอกให้ออกมาก่อนตั้งนานแล้วทำไมยังไม่ถึงอีก จะไม่หงุดหงิดเลยหากไม่มีใครบางคนเที่ยวมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณนี้ ถ้ารู้ว่าจะถึงช้าแบบนี้ขับรถมาทำงานเองเสียก็ดี
เวลานี้ผู้คนต่างเร่งรีบเดินทางกลับบ้าน ตลาดฝั่งตรงข้ามผู้คนบางตา ปกติหนึ่งทุ่มแบบนี้คนมาเดินตลาดค่อนข้างหนาแน่นมาก แต่วันนี้คนน้อยจนดูน่าแปลกใจ ทั้งโรคระบาด ทั้งเคอร์ฟิวด้วยนั่นแหละ ที่ทำให้คนมาเดินตลาดกันบางตา
มีหนึ่งคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย ชายสติไม่ดีเดินวนไปวนมาหน้าที่ทำงาน เธอเห็นชายคนนี้ประจำ ไม่เคยได้ยินว่ามีพิษมีภัยกับใคร แต่ ชายสติไม่ดีคนนี้ไม่ได้สวมผ้าปิดจมูกเลย ไม่ได้ป้องกันตนเองอะไรเลย ไปที่ไหนมาบ้างก็ไม่รู้ ด้วยความกังวลเรื่องความปลอดภัยจากเชื้อโรคจึงตัดสินใจเดินเข้าร้านโลตัสข้าง ๆ ที่ทำงาน เพื่อรอเมธี
ระหว่างเดินเลือกซื้อของอยู่นั้น มีสายเรียกเข้าพอดี ดูหน้าจอเป็นเมธีโทรเข้า ‘ป่ะป๋าเมธี’ ชื่อโชว์หลาที่หน้าจอ มาถึงสักทีเหอะรอตั้งนาน ค่อนขอดให้โทรศัพท์ก่อนจะกดรับสาย
“น้องอยู่ไหนคะ พี่อยู่หน้าที่ทำงานนภาแล้วค่ะ” เขาถาม
“อยู่ในโลตัส แป๊บนะคะ “ เธอตอบ ก่อนจะกดวางสาย รีบนำข้าวของไปจ่ายตังค์จากนั้นเดินกลับมายังที่ทำงาน เห็นรถฮอนด้าซีวิคสีขาวจอดรอแล้ว ไม่ใช่รถของใครที่ไหน รถของเธอกับเมธีเอง
ถัดไปข้าง ๆ กันชายสติไม่ดีก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ผ้าปิดจมูกก็ไม่มี ไม่รู้ติดโควิดมาด้วยหรือเปล่า เธอจึงหยุดชะงักกลางทาง ไม่ยอมเดินมาให้ถึง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์โทรหาเมธีให้ขับรถมารับที่หน้าโลตัสแทน
“นภาโคตรโมโหไอ้บ้านั่นมากเลย เที่ยวมานั่งหน้าที่ทำงานทุกวัน แมสก็ไม่ใส่ ไม่รู้ไปไหนมาบ้าง ติดโควิดด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้” พอขึ้นรถได้ก็ระบายออกมาทันที พูดด้วยความไม่ชอบใจนัก ไม่ได้รังเกียจที่สติไม่ดี แต่จะให้ทำอย่างไร ทุกคนจำต้องป้องกันตนเองอย่างดีกันทั้งนั้นในเวลานี้
“พี่เห็นแล้วค่ะ พี่ก็ว่าอยู่ ห่วงน้องด้วยเนี่ย” เขาเองก็เห็นแล้วเช่นกัน กังวลไม่แพ้พรนภาเลยสักนิด “สเปรย์ล้างมือค่ะ ฉีดหน่อย” เขายื่นให้ภรรยารุ่นลูก ก่อนจะบึ่งรถออกไป
“ขอบคุณค่ะ” พรนภารับสเปรย์แบบพกพาจากเขามาฉีดทำความสะอาดมือ เอนกายนั่งรถกลับบ้านด้วยความอ่อนล้า ทำงานยาวมาตั้งแต่วันที่ 25 ของเดือนที่แล้วยังไม่ได้หยุดเลย จะหยุดได้อีกทีก็หลังวันที่ 4 เป็นต้นไป อีกตั้งหลายวันกว่าจะได้หยุด พอนึกแบบนี้ก็พ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ลืมเรื่องที่จะบ่นเมธีที่มารับช้าไปเลย
“เราจะทานไรดีคะ ลาบมั้ย” เขาหันมาถาม วันนี้นึกอยากทานลาบเนื้อมาก ๆ และ ซื้อสำเร็จง่ายกว่าทำเองตั้งเยอะ
“ลาบแบบไหน ลาบแบบที่นภาซื้อมาให้พี่เมธีวันก่อนเหรอ ไม่อยากอ่ะ พี่เมธีกินคนเดียวเหอะ” เธอปฏิเสธ “นภาอยากกินลาบที่มันเป็นสีน้ำตาลอ่ะ เวลามันสุกแล้วมันเป็นสีน้ำตาลแหม ที่เหมือนลาบมาจากงานบุญ งานแต่งน่ะ” เธอสาธยายให้สามีรุ่นพ่อฟัง นึกอยากทานแบบนั้นจริง ๆ
“ลาบอะไรสีน้ำตาล ! “ เมธีทำท่าครุ่นคิดไปด้วยระหว่างขับรถกลับบ้าน “ลาบมันก็อันเดียวกันกับน้องซื้อมาวันก่อนนั่นแหละ มันจะมีลาบอะไรอีก”
“เอ๋า ก็ลาบสีน้ำตาล ที่เอามาคั่วแล้วมันเป็นสีน้ำตาลอ่ะ ที่มันกินดิบก็ได้ มันจะมีลาบดิบกับสุก ที่เขาทำตามงานแต่งงานอ่ะ” ขมวดคิ้วเริ่มจะไม่พอใจแล้ว พูดแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจอีก
“ลาบอิหยัง ! นั่นมันก้อยแล้วหล่า เพิ่นเอาก้อยมาคั่ว มันไม่มีจ้า ร้านลุงแกไม่มีแบบนั้น” สุดท้ายเขาก็นึกออกจนได้ พร้อมพูดปนหัวเราะให้กับพรนภา
“เออ ๆ นั่นแหละ นภาอยากกินก้อยคั่ว ไม่มีก็ไม่กิน เอ่อ พี่เมธีลงไปซื้อคนเดียวนะ เค้าขี้เกียจ ไม่ต้องซื้อข้าวเหนียวเผื่อนภาด้วย นภาไม่ค่อยหิวข้าวค่ะ”
“ครับผม” พูดปนยิ้มก่อนจะตั้งใจขับรถ และ เลี้ยวเข้าร้านลาบเจ้าประจำก่อนถึงคอนโด ที่ร้านเขียนชื่อไว้ว่า ร้านลาบยโสธรทรายมูล ทำไมต้องมีคำว่าทรายมูลด้วย เธอสงสัยมานานแล้วแต่ก็ไม่ต้องการที่จะหาคำตอบ เป็นร้านประจำของพวกเธอสองคนหากอยากทานลาบหรือต้มขม ร้านนี้อร่อยที่สุด
พอได้กับข้าวครบก็ขับรถกลับคอนโดกันเลย นี่ใกล้จะถึงเวลาเคอร์ฟิวเข้าเต็มทน มาถึงห้องพรนภาเป็นคนจัดแจงนำกับข้าวใส่จาน พร้อมยกมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะกับข้าว วันนี้รู้สึกไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ จึงทำเพียงแค่นั่งเป็นเพื่อนคุยเท่านั้น ทานผลไม้แทนคุยเป็นเพื่อนสามีบนโต๊ะกับข้าว วันนี้ไม่ออกกำลังกาย มันเมื่อยและเหนื่อยไปหมด งานเยอะมากสำหรับต้นเดือนแบบนี้
“ว่าไงพี่เมธี ! เดือนใหม่แล้วนะ” ปลอกส้มทานพร้อมถามคำถามกับเขา เพื่อเตือนความจำอะไรบางอย่าง สายตาจ้องมองรอคำตอบ และ หวังเป็นอย่างมากว่าจะได้คำตอบที่ถูกใจ
“อะไรคะ เค้าต่อเคอร์ฟิวถึงวันที่ 14 ไม่รู้เหรอ” พูดกลั้วหัวเราะ มองใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นด้วยความตลก รักเหลือเกิน เอ็นดูมากด้วย แล้วก็โดนเจ้าตัวโยนค้อนวงใหญ่กลับมาให้ ทว่าก็น่ารักดี พรนภาทำอะไรก็น่ารักไปหมดทั้งนั้นแหละ
พวกเธอสองคนนั่งทานข้าวด้วยกัน พูดคุยกันไปถึงเรื่องต่าง ๆ เธอว่าจะไม่ทานข้าวก็เผลอทานจนได้ ใครจะอดใจไหว นั่งเฝ้าขนาดนี้ สุดท้ายก็ทานข้าวกับเมธีจนได้ แถมยังโดนเยาะเย้ยไปอีก โดนล้อว่าอ้วนไปอีก ทำได้เพียงยิ้มให้ แก้ตัวอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
“จะออกกำลังกายทำไมให้เหนื่อยทุกวัน ฮา อ้วนเหมียนเดิม” แซวสักหน่อย สบโอกาสขนาดนี้
“ฮ่วย… พี่เมธีกะซางแหล่ว อย่าล้อนภาดิ “ พูดเขิน ๆ เพราะโดนล้อ มือก็ตักต้มขมเข้าปากไป เมื่อทานข้าวเสร็จเธอก็อาสาเป็นคนเก็บสำรับเอง ล้างถ้วยลางจานเสร็จสรรพ เปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำให้เรียบร้อย แล้วออกมาห้องโถงดูทีวี ทำกิจวัตรประจำวันด้วยกัน เล่นด้วยกัน ใช้เวลาด้วยกันให้คุ้มค่าและมีความสุขก่อนจะถึงเวลานอน
“พี่เมธีเดือนนี้เดือนอะไร” เธอถามขณะนั่งเล่นโทรศัพท์ที่โซฟาในห้อง เมธีนอนดูโทรทัศน์บนที่นอน วันนี้ไม่เล่นเกมนอนดูข่าวเหตุการณ์บ้านเมืองแทน “รู้มั้ยว่าเดือนนี้คือเดือนอะไร”
“เดือนอะไร” เขาตอบกลั้วยิ้ม ทำเป็นย้อนถามคำถามอีก รู้ทันว่าพรนภาถามแบบนี้ทำไม แค่อยากแหย่เล่น ๆ เท่านั้น
“เอ๋า…แล้วเดือนอะไรล่ะ เดือนนี้อ่ะ ฮ่วย” เลิกเล่นโทรศัพท์เพราะได้คำตอบขัดใจ หน้าบึ้งหันมามองคนที่เตียงนอน จ้องด้วยความไม่ชอบใจนัก
“เดือนสิงหาคมค่ะ แล้วไง “ เขาตอบ คราวนี้หัวเราะไปด้วย ทราบว่าเป็นเดือนอะไร เห็นพรนภาหน้ามุ่ยก็ชอบใจนัก ชอบแกล้งให้งอแงแล้วก็มาตามง้อทีหลัง ถึงอย่างไรก็น่ารักในสายตาของเขาเสมอ เด็กขี้งอแง
“ก็แล้วไงล่ะ ฮ่วย ! เดือนสิงหาคมแล้วไงต่อ” คราวนี้หันมานั่งกอดอกจ้องตาเขม่น “เดือนสิงหาแล้วมันต้องเป็นยังไง” จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเลย
เขาหัวเราะให้ภรรยารุ่นลูกที่นั่งจ้องตนเองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ “ก็สิงหาไงคะ สิงหาคมก็คือสิงหาคม จะอะไรล่ะ” เขาเล่นลิ้นกับเธอ พร้อมหัวเราะให้อีก ส่วนเจ้าตัวเหมือนกำลังจะโกรธตัวสั่นอยู่
ภายในคอนโดเล็ก ๆ ตอนนี้ประมาณสองทุ่ม หลังจากพวกเธอรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จสรรพ ก็เป็นเวลาส่วนตัว เป็นเวลาที่จะมอบให้กันและกันก่อนนอน บางครั้งลดอายุมาเล่นมาทะเลาะกันก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ อย่างวันนี้ก็เช่นกัน
“พี่เมธีอยากโดนดีใช่มั้ย จะตอบมามั้ยว่าเดือนนี้เดือนอะไร” ไม่พูดเฉย วางโทรศัพท์ไว้เดินไปกระโดดนั่งทับตัวของเขา ที่นอนหงายดูโทรทัศน์อยู่บนเตียง
“อ้าว ! ฮา มาแบบนี้ก็โดนสิครับ” เขากอดรวบตัวของพรนภาเอาไว้ รางบางไม่สามารถดิ้นหลุดไปได้ กอดให้พรนภานอนหมอบไปกับลำตัวของตนเอง พร้อมจูบไปหนึ่งที เจ้าตัวยังทำหน้ามุ่ยให้ไม่เลิก
“เดือนนี้เดือนอะไร จะตอบหรือไม่ตอบ” พรนภายังคะยั้นคะยอจะเอาคำตอบให้ได้ ขณะนั้นเมธีก็เที่ยวจูบเที่ยวหอมอยู่อย่างนั้น ตนเองก็ไม่ได้จะห้าม ปล่อยให้ทำตามสบาย
“รู้แล้วคร๊าบที่รัก แหม… เค้าหยอกเล่นเฉย ๆ หรอก “ พูดเอาใจ ไม่อยากแกล้งให้งอนแล้ว “ใครจะจำวันสำคัญของเมียไม่ได้ล่ะ จัดของขวัญให้คนนึงเลยเป็นไง ฮา !” พูดกลั้วหัวเราะ
“ฮื้ย ! เตะเข้าตะโกจะของ ทราบก็ดีแล้ว ถึงวันจะได้ไม่แกล้งลืม ปล่อยนภาได้แล้ว” พยายามจะลุก แต่โดนรั้งเอาไว้ด้วยแขนแข็งแรงของเขา สุดท้ายก็จำต้องนอนหมอบบนแผงหน้าอกและลำตัวของเขาต่อไป
“ไม่ปล่อย ไม่ให้ไป มาแล้วอย่าคิดว่าจะได้ไปง่าย ๆ “ พร้อมจุ๊บที่ริมฝีปากไปอีกหลาย ๆ รอบ
“ฮือ…พี่เมธีอ่ะ ปล่อยเค้าลงได้แล้ว นภาจะนอนดี ๆ เนี่ย” ค่อนขอดให้ ได้ผล ! เมธีคลายวงแขนออก ปล่อยเธอลงจากลำตัวของตนเอง จากนั้นเธอก็ลุกไปหยิบโทรศัพท์ที่โซฟาแล้วกลับมานอนข้าง ๆ อีกที
เลิกเล่นโทรศัพท์นอนกอดเขาดูโทรทัศน์ไปด้วยกัน ข่าวการเรียกร้องประชาธิปไตยกำลังร้อนระอุ ทว่าเลิกสนใจข่าว ตะแคงกอดลำตัวเขาแน่นมากยิ่งขึ้น ตาเริ่มปรือ เริ่มง่วงเข้าทุกที
“อะไรคะ จะนอนแล้วเหรอ สี่ทุ่มเอง “ หันมาถามคำถาม พร้อมหอมหน้าผากของเธอไปอีกหนึ่งที
“อือ นภาง่วง” พยักหน้าตอบ ทว่ายังหลับตาอยู่ ยกขาขึ้นมาก่ายบนลำตัวของเขา กอดเขาเอาไว้แน่น ๆ แล้วก็หลับไป แค่ได้นอนกอดคนของใจแค่นี้ก็หลับฝันดีตลอดคืน…
จบบท