ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เนต
ตอนเดิม
ตอนที่ 17
ฤดูร้อนของดอยขาบปีนี้ร้อนแล้งหนักยิ่งนัก ด้วยเพราะอากาศเกิดวิปริตผิดอาเพศ ฝนทิ้งช่วงนานเกินไปจนทำให้บรรดาพืชผลพากันเหี่ยวเฉาแห้งตายอยู่คาไร่คาสวนเป็นจำนวนมาก ชาวสวนชาวนาพากันเก็บเกี่ยวไม่ได้ผลตามเป้า อาณาประชาราษฎรล้วนอดอยากปากหมอง เหลียวมองในนามิมีรวงข้าว ซ้ำตามห้วยหนองคลองบึงน้ำก็แห้งขอด กบเขียดและกุ้งหอยปูปลาหากินได้ฝืดเคืองนักแล
เจ้าฟ้ากองคำฟั่นทรงมีพระเมตตา ปีนี้มีรับสั่งให้หนานสัจจาขุนคลังยกเว้นการเก็บภาษีจากราษฎร อีกทั้งยังให้ลดการใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังลง เช่น ให้งดซื้อสิ่งของไม่จำเป็นมาใช้ในราชสำนัก งดจัดงานราชประเพณีที่ใหญ่โตอลังการมากเกินไป และให้หนานสัจจากับสมุห์บัญชีจัดทำบัญชีรับ-จ่าย ส่งให้เจ้านางคำหยาดฟ้าตรวจสอบทุกวัน
กระแสรับสั่งของเจ้าฟ้าครั้งนี้ยังมีเงื่อนงำ เพราะทรงมอบพระราชอำนาจให้เจ้านางพระองค์ใหญ่ตรวจสอบขุนนางที่อาจกระทำการฉ้อฉล รีดนาทาเร้นเบียดเบียนเอากับราษฎร บรรดาขุนนางกังฉินต่างเร่งระวังตัว บ้างก็ประจบประแจงสอพลอขอเข้ามาเป็นพวก บ้างก็เสาะหาสิ่งของมีค่ามากำนัลแก่เจ้านาง
ดังนี้แล้วเจ้านางคำหยาดฟ้าจึงค่อย ๆ สยายอำนาจในราชสำนักออกไปมากขึ้นทุกที ทั้งด้านการคลังและการทหาร โดยมีเจ้าหลวงไชยรังสีอดีตกษัตริย์เมืองห้วยยางลายคอยเป็นที่ปรึกษา และมีเจ้าชายพรหมภูมินทร์ร่วมกับขุนทหารอินเฟือนสองแม่ทัพใหญ่เป็นกองกำลังหนุนหลัง ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้เจ้าฟ้าเองก็ทรงทราบดี
ข้างฝ่ายเจ้าชายใหญ่กับสมัครพรรคพวกอีกฟากฝั่งหนึ่งนั้นเล่า เมื่อปราศจากเจ้าแม่อุษาประไพเสียแล้ว ก็คล้ายดั่งถูกลิดรอนอำนาจลง จำต้องสงบอยู่แต่ในที่ตั้ง ลดความกร่างลงเป็นอันมาก แต่เหตุการณ์เยี่ยงนี้กลับเปรียบเสมือนมีไฟสุมขอนอยู่ภายใน เพื่อรอวันปะทุขึ้นมาใหม่ เพราะหากวันไหนเชื้อเพลิงถูกเติมลงไปในกองไฟที่คล้ายมอดดับ ไฟจะลุกโหมแรงขึ้นมาอีกครั้ง ไฟพยาบาทย่อมเผาผลาญทุกสิ่งให้พินาศลงสิ้นในกองเพลิง
วัฏสงสารคือการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามธรรมชาติแห่งการเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืนค้ำฟ้าตราบชั่วกัลปาวสาน ในขณะที่เจ้านางผู้ปรีชาชาญกำลังรุ่งรัศมีเจิดจรัสอยู่นั้น แต่เจ้าฟ้ากลับมีพระพลานามัยถดถอยลง
...แสงอุทัยในยามเย็นอันอ่อนล้า
ดุจดังบุรุษชราวัยไม้ใกล้ฝั่ง
เกลียวคลื่นใหญ่กราดเกรี้ยวอยู่กลางมหาสมุทร
ครั้งซัดซาดเข้าหาฝั่งแล้วก็จางหาย
เหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอยบนผืนทราย
ไม่นานก็เลือนหายไปจากความทรงจำ...
ตั้งแต่เจ้าชายฟ้าคุ้มถูกขับออกจากราชวงศ์ไป และเจ้าแม่อุษาประไพสิ้นชีวิตลง เจ้าฟ้าเวียงแถนก็มีแต่ความทุกข์ระทม ทรงเบื่ออาหารและบรรทมยาก จนพระกายซูบผอมลงทุกที พระมหาเทวีเห็นมิเป็นการ เกรงว่าพระสวามีจะล้มป่วยหนักกว่าเก่า จึงได้เร่งเสาะหาหมอยาฝีมือดีทั้งในและนอกพระนครมาถวายโอสถ เพราะนับแต่หมอสมิธได้จากไป ในหอหลวงแห่งนี้ก็มิมีหมอฝรั่งมาประจำการอีกเลย มีเพียงหมอที่เป็นบาทหลวงในคณะมิชชันนารี ที่เข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาชาวอังกฤษ ชื่อนายแพทย์เฮนรี่ เดวิดสัน ที่มักถูกเชิญเข้ามาตรวจอาการประชวรเป็นบางครั้งเท่านั้น แต่หมอฝรั่งผู้นี้ยังมีภารกิจอื่นอีก ต้องตระเวนไปเมืองอื่นอยู่เนือง ๆ มิได้พำนักอยู่แต่ในเวียงแถนเช่นหมอเรสธอลิก
“กระผมได้ตรวจอย่างละเอียดแล้ว พบว่าเจ้าฟ้ามีอาการทางพระหทัย ซึ่งทำให้อ่อนเพลียง่ายและเบื่ออาหาร อีกทั้งเมื่อออกกำลังหักโหมหรือมีอารมณ์เครียด ก็จะยิ่งทำให้อาการประชวรกำเริบมากขึ้นขอรับ”
หลังการตรวจวินิจฉัยเสร็จสิ้นลง หมอฝรั่งวัยชรา ศีรษะเถิกล้านขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม ก็รายงานให้มหาเทวีทรงทราบตามความเป็นจริง
“เช่นนั้นแล้วจักทำเยี่ยงไรจึงจะเป็นการดีกับเจ้าฟ้าล่ะคะท่านหมอ”
พระธิดาองค์ใหญ่ที่เฝ้ามองการตรวจรักษาอยู่ไม่ห่างถามอย่างเป็นกังวล
“ระยะนี้คงต้องขอให้ลดพระราชกิจลง เพื่อให้ร่างกายได้พักอย่างเต็มที่ อีกประการหนึ่งก็คือ พระองค์ควรได้พักผ่อนอิริยาบถในที่โปร่งโล่ง บรรยากาศสบาย ๆ อย่าให้มีอารมณ์เครียดขอรับ”
บาทหลวงชราตอบอย่างนอบน้อม
“ข้าไม่เป็นไรหรอก อย่าวิตกกังวลกันให้มากนักเลย” ร่างร่วงโรยซีดเซียวซึ่งทอดนอนอยู่บนเตียงเอ่ยขัดขึ้นอย่างรำคาญ
“โรคคนแก่ธรรมดานั่นเอง ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจท่านหมอมากที่เป็นห่วง ความจริงข้อราชการต่าง ๆ ข้าก็ได้ถ่ายเทให้แก่เจ้าคำหยาดและเจ้าภูมินทร์ ตลอดจนขุนนางผู้ใหญ่ไปมากแล้ว สิ่งที่ท่านหมอแนะนำมานั้นเป็นประโยชน์แก่ตัวข้า ตกลงข้าจะทำตามนี้”
บอกตัดบทเพื่อยุติการพูดถึงอาการเจ็บป่วยของตนลง เรื่องพละกำลังที่รู้สึกว่าถดถอยเป็นอันมาก ประกอบกับเริ่มเหนื่อยง่าย บางครั้งก็ปวดร้าวเสียดแทงบนยอดอุระนั้น พระองค์เองก็ตระหนักดี ทรงรู้ตัวว่ากำลังมีอันตรายร้ายแรงซุกซ่อนอยู่ภายใน แต่ก็ไม่ประสงค์จะให้ไพร่ฟ้าตื่นตกใจกับอาการประชวรของกษัตริย์ ซึ่งนายแพทย์เฮนรี่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจถึงประเด็นนี้ดี จึงไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เพียงแสดงท่าทางพอใจที่คนไข้สูงศักดิ์เชื่อฟังคำสั่งแพทย์ เขาเก็บอุปกรณ์ตรวจวินิจฉัยโรคลงกระเป๋ายา ก่อนถวายบังคมลากลับที่พักไป
ลับร่างแพทย์ชาวอังกฤษไปแล้ว เจ้าฟ้าก็หันมาปรารภกับพระมหาเทวีและพระธิดาคำหยาดฟ้า
“คงถึงเวลาที่เราจักต้องประกาศแต่งตั้งอุปราชเสียที เพื่อมิให้บ้านเมืองมีความวุ่นวายเกิดขึ้นยามบัลลังก์ไร้กษัตริย์”
“ท่านพูดอะไรแบบนั้น” มหาเทวีตกพระทัย เอ็ดสวามีเสียงดังด้วยความลืมตัว
“ท่านเพียงอ่อนเพลียและกินได้น้อยลงเท่านั้นเอง ตามที่หมอฝรั่งเล่าให้ฟังเมื่อกี้นี้ เขาก็บอกอยู่ว่าเป็นโรคที่มิได้ร้ายแรงอันใดนัก พระองค์จักต้องอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ข้าเจ้ากับลูก ๆ ตลอดจนไพร่ฟ้าทั้งปวงไปอีกนานแสนนาน”
สีพระพักตร์ที่ซีดเผือดลงของมเหสีคู่ทุกข์คู่ยากทำให้เจ้าฟ้ายิ้มออกมา ดึงหัตถ์นางมากุมไว้
“ทำไมต้องตกอกตกใจถึงเพียงนี้เล่า สิ่งที่ข้าพูดก็หมายถึงการเตรียมตัวธรรมดาของคนเป็นกษัตริย์ ที่จะต้องเลือกผู้มีคุณสมบัติมาสืบทอดราชบัลลังก์ตามประเพณีที่มีมานานแล้วเท่านั้นเอง หรือเจ้าว่ามิใช่”
แม้สวามีจะอธิบายอย่างมีเหตุผล แต่คราวนี้กลับเป็นพระเทวีซึ่งเคยหนักแน่นเสียเองที่ทำพักตร์ยุ่ง ส่งสายตามองค้อนคนพูด
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องเป็นเรื่องตายอีกนะ ข้าเจ้าไม่ชอบ” ขึ้นเสียงสูงกับเจ้าฟ้าที่เมื่อฟังแล้วพระองค์ก็ทอดถอนหายใจยาว ยกหัตถ์บอบบางของมเหสีขึ้นจุมพิต
“ข้าเองก็ไม่อยากจากเจ้าและลูก ๆ ไปไหนทั้งนั้น แต่ใครเลยจะหนีความตายพ้น หากหมดบุญวาสนาลงวันใด แม้นไม่อยากจากก็ต้องจาก พระเทวีอย่าได้เอาเรื่องนี้มาใส่ใจจนทำให้ใจเป็นทุกข์เลย ตอนนี้ข้าก็ยังแข็งแรงดี ยังจะอยู่ให้เจ้าดูแลอีกนาน”
ทรงเย้ามเหสีเพื่อเบี่ยงเบนมิให้นางเศร้า ซึ่งพระนางก็พอจะทราบถึงเจตนา แต่เพราะดำรัสของเจ้าฟ้าครานี้ฟังดูเศร้าจนรู้สึกได้ สองหญิงต่างวัยจึงเกิดอาการพระทัยหาย ขยับเข้ามาสวมกอดบุรุษผู้เป็นยอดรักพร้อมกัน
พระธิดาองค์โตซบพระพักตร์ลงกับอ้อมอุระของพระบิดา รู้สึกหวาดหวั่นในดำรัสของท่านอย่างบอกไม่ถูก ความกริ่งเกรงประหลาดทำให้น้ำตาผุดขึ้นคลอหน่วย จนต้องแอบเช็ดทิ้ง คนทั้งสามกอดกันกลม ราวกับกลัวว่าจะมีใครหรือสิ่งใดมาพรากพวกตนไปจากกันในบัดเดี๋ยวนั้นเลย
(มีต่อ)
ริษยารักข้ามภพ บทที่ 17
ฤดูร้อนของดอยขาบปีนี้ร้อนแล้งหนักยิ่งนัก ด้วยเพราะอากาศเกิดวิปริตผิดอาเพศ ฝนทิ้งช่วงนานเกินไปจนทำให้บรรดาพืชผลพากันเหี่ยวเฉาแห้งตายอยู่คาไร่คาสวนเป็นจำนวนมาก ชาวสวนชาวนาพากันเก็บเกี่ยวไม่ได้ผลตามเป้า อาณาประชาราษฎรล้วนอดอยากปากหมอง เหลียวมองในนามิมีรวงข้าว ซ้ำตามห้วยหนองคลองบึงน้ำก็แห้งขอด กบเขียดและกุ้งหอยปูปลาหากินได้ฝืดเคืองนักแล
เจ้าฟ้ากองคำฟั่นทรงมีพระเมตตา ปีนี้มีรับสั่งให้หนานสัจจาขุนคลังยกเว้นการเก็บภาษีจากราษฎร อีกทั้งยังให้ลดการใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังลง เช่น ให้งดซื้อสิ่งของไม่จำเป็นมาใช้ในราชสำนัก งดจัดงานราชประเพณีที่ใหญ่โตอลังการมากเกินไป และให้หนานสัจจากับสมุห์บัญชีจัดทำบัญชีรับ-จ่าย ส่งให้เจ้านางคำหยาดฟ้าตรวจสอบทุกวัน
กระแสรับสั่งของเจ้าฟ้าครั้งนี้ยังมีเงื่อนงำ เพราะทรงมอบพระราชอำนาจให้เจ้านางพระองค์ใหญ่ตรวจสอบขุนนางที่อาจกระทำการฉ้อฉล รีดนาทาเร้นเบียดเบียนเอากับราษฎร บรรดาขุนนางกังฉินต่างเร่งระวังตัว บ้างก็ประจบประแจงสอพลอขอเข้ามาเป็นพวก บ้างก็เสาะหาสิ่งของมีค่ามากำนัลแก่เจ้านาง
ดังนี้แล้วเจ้านางคำหยาดฟ้าจึงค่อย ๆ สยายอำนาจในราชสำนักออกไปมากขึ้นทุกที ทั้งด้านการคลังและการทหาร โดยมีเจ้าหลวงไชยรังสีอดีตกษัตริย์เมืองห้วยยางลายคอยเป็นที่ปรึกษา และมีเจ้าชายพรหมภูมินทร์ร่วมกับขุนทหารอินเฟือนสองแม่ทัพใหญ่เป็นกองกำลังหนุนหลัง ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้เจ้าฟ้าเองก็ทรงทราบดี
ข้างฝ่ายเจ้าชายใหญ่กับสมัครพรรคพวกอีกฟากฝั่งหนึ่งนั้นเล่า เมื่อปราศจากเจ้าแม่อุษาประไพเสียแล้ว ก็คล้ายดั่งถูกลิดรอนอำนาจลง จำต้องสงบอยู่แต่ในที่ตั้ง ลดความกร่างลงเป็นอันมาก แต่เหตุการณ์เยี่ยงนี้กลับเปรียบเสมือนมีไฟสุมขอนอยู่ภายใน เพื่อรอวันปะทุขึ้นมาใหม่ เพราะหากวันไหนเชื้อเพลิงถูกเติมลงไปในกองไฟที่คล้ายมอดดับ ไฟจะลุกโหมแรงขึ้นมาอีกครั้ง ไฟพยาบาทย่อมเผาผลาญทุกสิ่งให้พินาศลงสิ้นในกองเพลิง
วัฏสงสารคือการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามธรรมชาติแห่งการเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืนค้ำฟ้าตราบชั่วกัลปาวสาน ในขณะที่เจ้านางผู้ปรีชาชาญกำลังรุ่งรัศมีเจิดจรัสอยู่นั้น แต่เจ้าฟ้ากลับมีพระพลานามัยถดถอยลง
...แสงอุทัยในยามเย็นอันอ่อนล้า
ดุจดังบุรุษชราวัยไม้ใกล้ฝั่ง
เกลียวคลื่นใหญ่กราดเกรี้ยวอยู่กลางมหาสมุทร
ครั้งซัดซาดเข้าหาฝั่งแล้วก็จางหาย
เหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอยบนผืนทราย
ไม่นานก็เลือนหายไปจากความทรงจำ...
ตั้งแต่เจ้าชายฟ้าคุ้มถูกขับออกจากราชวงศ์ไป และเจ้าแม่อุษาประไพสิ้นชีวิตลง เจ้าฟ้าเวียงแถนก็มีแต่ความทุกข์ระทม ทรงเบื่ออาหารและบรรทมยาก จนพระกายซูบผอมลงทุกที พระมหาเทวีเห็นมิเป็นการ เกรงว่าพระสวามีจะล้มป่วยหนักกว่าเก่า จึงได้เร่งเสาะหาหมอยาฝีมือดีทั้งในและนอกพระนครมาถวายโอสถ เพราะนับแต่หมอสมิธได้จากไป ในหอหลวงแห่งนี้ก็มิมีหมอฝรั่งมาประจำการอีกเลย มีเพียงหมอที่เป็นบาทหลวงในคณะมิชชันนารี ที่เข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาชาวอังกฤษ ชื่อนายแพทย์เฮนรี่ เดวิดสัน ที่มักถูกเชิญเข้ามาตรวจอาการประชวรเป็นบางครั้งเท่านั้น แต่หมอฝรั่งผู้นี้ยังมีภารกิจอื่นอีก ต้องตระเวนไปเมืองอื่นอยู่เนือง ๆ มิได้พำนักอยู่แต่ในเวียงแถนเช่นหมอเรสธอลิก
“กระผมได้ตรวจอย่างละเอียดแล้ว พบว่าเจ้าฟ้ามีอาการทางพระหทัย ซึ่งทำให้อ่อนเพลียง่ายและเบื่ออาหาร อีกทั้งเมื่อออกกำลังหักโหมหรือมีอารมณ์เครียด ก็จะยิ่งทำให้อาการประชวรกำเริบมากขึ้นขอรับ”
หลังการตรวจวินิจฉัยเสร็จสิ้นลง หมอฝรั่งวัยชรา ศีรษะเถิกล้านขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม ก็รายงานให้มหาเทวีทรงทราบตามความเป็นจริง
“เช่นนั้นแล้วจักทำเยี่ยงไรจึงจะเป็นการดีกับเจ้าฟ้าล่ะคะท่านหมอ”
พระธิดาองค์ใหญ่ที่เฝ้ามองการตรวจรักษาอยู่ไม่ห่างถามอย่างเป็นกังวล
“ระยะนี้คงต้องขอให้ลดพระราชกิจลง เพื่อให้ร่างกายได้พักอย่างเต็มที่ อีกประการหนึ่งก็คือ พระองค์ควรได้พักผ่อนอิริยาบถในที่โปร่งโล่ง บรรยากาศสบาย ๆ อย่าให้มีอารมณ์เครียดขอรับ”
บาทหลวงชราตอบอย่างนอบน้อม
“ข้าไม่เป็นไรหรอก อย่าวิตกกังวลกันให้มากนักเลย” ร่างร่วงโรยซีดเซียวซึ่งทอดนอนอยู่บนเตียงเอ่ยขัดขึ้นอย่างรำคาญ
“โรคคนแก่ธรรมดานั่นเอง ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจท่านหมอมากที่เป็นห่วง ความจริงข้อราชการต่าง ๆ ข้าก็ได้ถ่ายเทให้แก่เจ้าคำหยาดและเจ้าภูมินทร์ ตลอดจนขุนนางผู้ใหญ่ไปมากแล้ว สิ่งที่ท่านหมอแนะนำมานั้นเป็นประโยชน์แก่ตัวข้า ตกลงข้าจะทำตามนี้”
บอกตัดบทเพื่อยุติการพูดถึงอาการเจ็บป่วยของตนลง เรื่องพละกำลังที่รู้สึกว่าถดถอยเป็นอันมาก ประกอบกับเริ่มเหนื่อยง่าย บางครั้งก็ปวดร้าวเสียดแทงบนยอดอุระนั้น พระองค์เองก็ตระหนักดี ทรงรู้ตัวว่ากำลังมีอันตรายร้ายแรงซุกซ่อนอยู่ภายใน แต่ก็ไม่ประสงค์จะให้ไพร่ฟ้าตื่นตกใจกับอาการประชวรของกษัตริย์ ซึ่งนายแพทย์เฮนรี่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจถึงประเด็นนี้ดี จึงไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เพียงแสดงท่าทางพอใจที่คนไข้สูงศักดิ์เชื่อฟังคำสั่งแพทย์ เขาเก็บอุปกรณ์ตรวจวินิจฉัยโรคลงกระเป๋ายา ก่อนถวายบังคมลากลับที่พักไป
ลับร่างแพทย์ชาวอังกฤษไปแล้ว เจ้าฟ้าก็หันมาปรารภกับพระมหาเทวีและพระธิดาคำหยาดฟ้า
“คงถึงเวลาที่เราจักต้องประกาศแต่งตั้งอุปราชเสียที เพื่อมิให้บ้านเมืองมีความวุ่นวายเกิดขึ้นยามบัลลังก์ไร้กษัตริย์”
“ท่านพูดอะไรแบบนั้น” มหาเทวีตกพระทัย เอ็ดสวามีเสียงดังด้วยความลืมตัว
“ท่านเพียงอ่อนเพลียและกินได้น้อยลงเท่านั้นเอง ตามที่หมอฝรั่งเล่าให้ฟังเมื่อกี้นี้ เขาก็บอกอยู่ว่าเป็นโรคที่มิได้ร้ายแรงอันใดนัก พระองค์จักต้องอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ข้าเจ้ากับลูก ๆ ตลอดจนไพร่ฟ้าทั้งปวงไปอีกนานแสนนาน”
สีพระพักตร์ที่ซีดเผือดลงของมเหสีคู่ทุกข์คู่ยากทำให้เจ้าฟ้ายิ้มออกมา ดึงหัตถ์นางมากุมไว้
“ทำไมต้องตกอกตกใจถึงเพียงนี้เล่า สิ่งที่ข้าพูดก็หมายถึงการเตรียมตัวธรรมดาของคนเป็นกษัตริย์ ที่จะต้องเลือกผู้มีคุณสมบัติมาสืบทอดราชบัลลังก์ตามประเพณีที่มีมานานแล้วเท่านั้นเอง หรือเจ้าว่ามิใช่”
แม้สวามีจะอธิบายอย่างมีเหตุผล แต่คราวนี้กลับเป็นพระเทวีซึ่งเคยหนักแน่นเสียเองที่ทำพักตร์ยุ่ง ส่งสายตามองค้อนคนพูด
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องเป็นเรื่องตายอีกนะ ข้าเจ้าไม่ชอบ” ขึ้นเสียงสูงกับเจ้าฟ้าที่เมื่อฟังแล้วพระองค์ก็ทอดถอนหายใจยาว ยกหัตถ์บอบบางของมเหสีขึ้นจุมพิต
“ข้าเองก็ไม่อยากจากเจ้าและลูก ๆ ไปไหนทั้งนั้น แต่ใครเลยจะหนีความตายพ้น หากหมดบุญวาสนาลงวันใด แม้นไม่อยากจากก็ต้องจาก พระเทวีอย่าได้เอาเรื่องนี้มาใส่ใจจนทำให้ใจเป็นทุกข์เลย ตอนนี้ข้าก็ยังแข็งแรงดี ยังจะอยู่ให้เจ้าดูแลอีกนาน”
ทรงเย้ามเหสีเพื่อเบี่ยงเบนมิให้นางเศร้า ซึ่งพระนางก็พอจะทราบถึงเจตนา แต่เพราะดำรัสของเจ้าฟ้าครานี้ฟังดูเศร้าจนรู้สึกได้ สองหญิงต่างวัยจึงเกิดอาการพระทัยหาย ขยับเข้ามาสวมกอดบุรุษผู้เป็นยอดรักพร้อมกัน
พระธิดาองค์โตซบพระพักตร์ลงกับอ้อมอุระของพระบิดา รู้สึกหวาดหวั่นในดำรัสของท่านอย่างบอกไม่ถูก ความกริ่งเกรงประหลาดทำให้น้ำตาผุดขึ้นคลอหน่วย จนต้องแอบเช็ดทิ้ง คนทั้งสามกอดกันกลม ราวกับกลัวว่าจะมีใครหรือสิ่งใดมาพรากพวกตนไปจากกันในบัดเดี๋ยวนั้นเลย
(มีต่อ)