ใครเคยเจอนิยาม "ความพอเพียง" แบบผิดๆ บ้าง มันคือโลกสวยหรือตลกร้าย?

ใครเคยเจอนิยามพอเพียงแบบผิดๆ บ้าง มาพูดคุยกันค่ะ
"พอเพียง" ภาพความสวยงามบนโลกคู่ขนานที่คนกลุ่มหนึ่งวาดไว้ แต่เป็นตลกร้ายในอีกมุมหนึ่งของสังคม

ชีวิตของคนต่างจังหวัดแบบนั้นแหละเหมาะสมแล้ว จะได้น่าเที่ยว
อย่าฟุ้งเฟ้อนะ หาเช้ากินค่ำอยู่แค่นั้นก็พอแล้ว
จงพอเพียงสิ เงินไม่สามารถซื้อความสุขทุกอย่างบนโลกได้นะ
หลังเกษียณฉันจะสโลว์ไลฟ์ ใช้ชีวิตดื่มด่ำธรรมชาติ นอนจิบกาแฟในบ้านกลางสวน

ความพอเพียงบนโลกคู่ขนาน ความจริงที่สวยงาม – ตลกร้าย?
คำว่า “พอเพียง” ถูกตีความถึงความเหมาะสมหรือจุดที่ควรจะเป็นอยู่เรื่อยๆ หลายครั้งถูกผสมโรงด้วยอารมณ์ ความรู้สึก กระแสสังคม จนความหมายแท้จริงของคำนี้ถูกเบี่ยง จนหลุดจากสาระสำคัญไปไกล
เพราะจริงแล้วหลักความพอเพียง นั้นจะสัมพันธ์ไปกับทางสายกลางในหลักพระพุทธศาสนา ก็คือการกิน การอยู่ การใช้ชีวิตที่พอดีตามวิถีของตน โดยไม่ประมาท 

หรือถ้าตีความให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การใช้ชีวิตแบบที่เราพอใจ แต่ต้องไม่สร้างปัญหาให้กับตนเอง หรือ คนรอบข้าง สามารถมีเครื่องมือ อุปกรณ์ทันสมัยที่อำนวยความสะดวกสบายแก่ชีวิตได้ตามอัตภาพ แต่นั่นต้องมาจากความพร้อมที่ไม่ใช่ความฟุ้งเฟ้อจนเป็นหนี้ล้นพ้นตัว

อย่างไรก็ตามในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ความพอเพียงถูกเบี่ยงออกไปจากแก่นแท้ที่ควรจะเป็น โดยต้องยอมรับว่าเป็นผลจากอิทธิพลสื่อ โดยเฉพาะ ละคร ภาพยนตร์ แม้กระทั่งหนังโฆษณาที่มีส่วนต่อความบิดเบี้ยวเหล่านี้ที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปเป็นภาพจำฝังแน่น 

โดยหลายเรื่องนำคำว่า “พอเพียง” มาตีกรอบให้เป็นภาพที่แสนโรมานซ์ในมโนคติของชนชั้นกลางว่าพอเพียง คือ การกลับไปใช้ชีวิตทำการเกษตรอยู่ในทุ่งนาสีเขียว ปลูกผัก ทำสวนผลไม้ปลอดสารพิษกินเอง มีเหลือก็ขายมีรายได้เล็กน้อยๆ ใส่เสื้อผ้าพื้นเมือง ตกเย็นล้อมวงกินข้าวนั่งยิ้มหัวเราะไปด้วยกัน พร้อมแปะแคปชั่นว่า นี่คือความสวยงามของชีวิตที่แท้จริง ที่เงินทองไม่สามารถซื้อได้
 

ภาพเหล่านั้นถูกใช้เป็นบรรทัดฐานความพอเพียงของชนชั้นกลางบางกลุ่ม (ส่วนใหญ่เป็นกลางค่อนไปในระดับที่มีฐานะ) และมีการแตกจักรวาลคำว่าพอเพียงออกไปเป็นคำว่า วิถีสโลว์ไลฟ์ อยากใช้ชีวิตดื่มด่ำธรรมชาติ นอนจิบกาแฟในบ้านกลางสวน นั่นคือความเก๋ไก๋ของชีวิต
 

“นี่คือภาพความสวยงามบนโลกคู่ขนานที่คนกลุ่มหนึ่งวาดไว้ แต่เป็นตลกร้ายในอีกมุมหนึ่งของสังคม”

บางกลุ่มหลงใหลจนออกแบบ หรือ กำกับวิถีชีวิตของคนต่างจังหวัดในมโนคติของตนว่าสภาพแบบนั้นแหละเหมาะสมแล้ว และมักก่นบอกว่า 

จงพอเพียงสิ เงินไม่สามารถซื้อความสุขทุกอย่างบนโลกได้นะ (แต่เชื่อเถอะซื้อได้เกือบทุกอย่างแหละ 55) 

ฉะนั้นอย่าฟุ้งเฟ้อนะ หาเช้ากินค่ำเก็บเล็กผสมน้อยอยู่แค่นั้นก็พอแล้ว 
อย่าอยากได้อยากมีมากนะไม่งั้นจะต้องจน เครียด กินเหล้า วนไปไม่จบไม่สิ้น 
อย่าสร้างภาระ ห้ามกู้หนี้ยืมสิน 
อย่าซื้อเลยมือถือ อย่าถือไอแพด (แต่บอกว่าเด็กๆ ต้องเรียนออนไลน์นะ) 
ไม่ต้องมีหรอกมอเตอร์ไซค์ รถยนต์มันสิ้นเปลือง มีควันพิษทำลายสิ่งแวดล้อม

 
ความเป็นจริงแล้วตัวคนพูดเองอาจนอนเปิดแอร์ทั้งวัน มีรถยนต์ มีบิ๊กไบค์มากกว่าหนึ่งคัน มีคณะติดตามเวลาเดินทางอีกเป็นขบวน กู้แบงก์หลักสิบล้านร้อยล้านมาลงทุนหากำไร แต่ไม่เคยรู้ว่าระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา ระบบขนส่งในต่างจังหวัดบางพื้นที่มันไม่ได้เอื้อต่อความสะดวกในการเดินทางไปโรงเรียน ไปโรงพยาบาล หรือ อะไรที่ช่วยอำนวยคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเลยนะจ๊ะ 


ฉะนั้นอย่าไปตัดสินใครว่าเขาไม่พอเพียง เพราะบางทีสิ่งที่เขาขวนขวายหามาซึ่งเรามองว่าฟุ้งเฟ้อนั้น มันอาจถูกซื้อมาเพื่อตอบโจทย์ความจำเป็นของชีวิตจริงๆ ก็เป็นได้

ภาพที่บิดเบี้ยวนี้เป็นผลจากปัญหาเชิงโครงสร้างด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเข้าถึงชุดข้อมูลของคนไทยที่ถูกผูกขาดฝังรากมานาน หากในแต่ละยุคก็มีการสะท้อนผ่านอารมณ์ขันที่เป็นตลกร้ายอันแสนคลาสสิคออกมาเป็นระยะ 

ไม่ว่าจะเป็นเพลงผู้ใหญ่ลี
หรือภาพคนจนล้อมวงกินข้าวกับก้างปลาทูกระดาษในการ์ตูนขายหัวเราะ

ที่มองเผินๆ แล้วมันแค่เรื่องขำแต่ลึกแล้วมันบอกอะไรเรามากกว่านั้น…
โดยเฉพาะในวันที่เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกไปอย่างสิ้นเชิง ทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล มีสิทธิ์แสดงออกที่เท่าเทียมกัน
 

อย่างไรก็ตาม โดยแก่นแท้แล้วหลักของความพอเพียง คือ เรื่องดีที่ทุกคนควรนำไปใช้ได้ ดังนั้นอาจถึงเวลาที่ควรทำความเข้าใจกับคำว่า “พอเพียง” เสียใหม่ ไม่ควรมีใครไปตีกรอบ หรือ กำหนดบรรทัดฐานความพอเพียงแทนผู้อื่น…

เพราะความพอเพียงของทุกคนไม่เท่ากัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่