ริษยารักข้ามภพ บทที่ 10



ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เนต

ตอนเดิม



ตอนที่ 10

คืนวันผันผ่านไปรวดเร็วประดุจติดปีกบิน บัดนี้อดีตเจ้านายเมืองห้วยยางลายเข้ามาอยู่ใต้พระบารมีของเจ้าฟ้าเมืองเวียงแถนได้เกือบสองปีแล้ว ในที่สุดก็ถึงกำหนดพิธีอภิเษกสมรสของพระนัดดาเจ้าฟ้า แต่ก่อนหน้านั้นได้มีพิธีสมรสพระราชทานให้แก่แม่ทัพอินเฟือนและคำแปงไปก่อนแล้ว

เจ้าชายพรหมภูมินทร์มีท่าทีดีพระทัย ส่วนเจ้านางม่านมณีแม้ยังมีพลานามัยอ่อนแอ มักวิงเวียนเป็นลมอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มีสีพระพักตร์แจ่มใสเป็นอันมาก เธอหยิบเอาภูษาไหมคำที่ทอไว้อย่างวิจิตรบรรจงออกมาลองสวมใส่ดู พลางยิ้มแย้มชื่นมื่นอยู่กับคำแปง 

ทางด้านเจ้านางคำหยาดฟ้านั้น แม้ในพระทัยจะเศร้าหมองสักเพียงใด แต่ด้วยพระบัญชาของเจ้าพ่อจึงไม่อาจนิ่งดูดายได้ ส่งบัวตองให้มาเป็นคนช่วยจัดหาเครื่องทรงให้เจ้านางผู้เป็นเจ้าสาว จนถูกต้องครบถ้วนตามราชประเพณีทุกประการ ขณะที่หนานเขื่อนคำกับหนานสัจจาสองอำมาตย์ผู้เฒ่า เป็นคนรับผิดชอบตระเตรียมสถานที่และงานพระราชพิธี

เจ้าฟ้ามีรับสั่งให้ส่งจดหมายไปเชิญเจ้าเมืองต่าง ๆ มาร่วมงานด้วย แต่เนื่องจากระยะทางระหว่างเมืองที่ลำบากและไกลกันมาก อีกทั้งงานแต่งครั้งนี้ เป็นเพียงงานของเจ้านายธรรมดา มิใช่งานแต่งของเจ้าผู้ครองเมืองหรือรัชทายาท บรรดาเจ้าเมืองจึงพากันส่งของขวัญมาให้เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงกระนั้นเจ้าฟ้าก็ยังโปรดให้จัดงานเลี้ยงรับประทานอาหารค่ำขึ้นในหอหลวง 

งานแต่งของเจ้านายชาวไทเขินจัดขึ้นเป็นเวลาสองวัน วันแรกมีการหมั้นโดยสวมแหวนและผูกข้อมืออวยพรให้แก่คู่บ่าวสาว วันถัดมาคู่บ่าวสาวขึ้นนั่งบนแท่นให้แขกพรมน้ำ แขกคนสำคัญจะได้ขึ้นกล่าวคำอวยพร จากนั้นจึงมีขบวนแห่เจ้าสาวไปจนถึงกลางเวียงซึ่งเจ้าบ่าวรออยู่ เรียกกันว่า ‘ไปขอเขย’ ต่อมาเจ้าบ่าวก็จะขึ้นนั่งบนหลังช้างตามเจ้าสาวมาที่บ้าน ซึ่งในครั้งนี้ก็คือที่หอหลวงนั่นเอง

เจ้าชายพรหมภูมินทร์งามสง่าอยู่ในชุดเครื่องยศคอตั้งแขนยาว ผ่าหน้าติดกระดุม คาดผ้าคาดเอวปักเส้นทอง คลุมด้วยครุยถักดิ้นเงินทองตามขอบเสื้อและปลายแขนเสื้อ เคียนเศียรด้วยผ้าสีชมพู ยืนเคียงคู่อยู่กับเจ้านางม่านมณีที่วันนี้สิริโฉมโดดเด่นด้วยชุดเสื้อไหมโปร่งสีเหลืองทอง ปักดิ้นเงินดิ้นทอง ห่มสไบปักเงินทอง นุ่งภูษาไหมคำกรอมพระบาท ปักเชิงเป็นลวดลายวิจิตรด้วยแถบทองคำแท้อันล้ำค่า คู่บ่าวสาวยืนแนบชิดพระพักตร์สดใสอยู่ท่ามกลางความปิติยินดีของพระญาติ

แม่งานใหญ่อย่างเจ้านางคำหยาดฟ้าคอยกำกับงานตลอดราชพิธี หญิงผู้พ่ายรักสู้อดทนหน้าชื่นอกตรมเก็บงำความอาดูรเอาไว้ข้างในจนมิดเม้น ยิ้มแย้มอ่อนหวานฉาบอยู่บนพักตร์งามเป็นปกติ

งานเลี้ยงอาหารค่ำให้แก่แขกผู้มีเกียรติกำหนดเวลาที่ยี่สิบนาฬิกา จัดขึ้นบริเวณลานซีเมนต์หน้าหอหลวง ซึ่งบัดนี้งามระยิบระยับไปด้วยแสงประทีปโคมไฟ แขกเหรื่อเริ่มทยอยมาตั้งแต่เวลาหกโมงเย็น บ้างก็จับกลุ่มพูดคุยกัน บ้างก็ชมการแสดงฟ้อนรำ พร้อมจิบเครื่องดื่มไปพลาง ๆ เพื่อรอเวลาคู่บ่าวสาวและประธานในพิธีขึ้นมาขอบคุณแขกเหรื่อและอำนวยพรบนเวที  

ท่ามกลางผู้คนแต่งกายสวยงามเดินไปมาขวักไขว่ในงาน เสียงมโหรีขับกล่อมดังก้องไปทั่วบริเวณ คู่บ่าวสาวยืนเคียงกันคอยต้อนรับทักทายพระญาติและแขกเหรื่อ ด้วยท่าทางสดชื่นมีความสุข แต่ภายในปะรำพิธีด้านข้างหอหลวง เจ้าชายฟ้าคุ้มกลับเดินเลี่ยงจากกลุ่มพระญาติและแขกคนสำคัญ มายืนอยู่ข้างระเบียงหอหลวงตามลำพัง 

ที่นี่แสงไฟจากลานพิธีส่องมาไม่สว่างมากนัก เจ้าชายหนุ่มน้อยสูดลมหายใจลึก แหงนมองจันทร์เต็มดวงบนเวิ้งนภาสีเทาเข้ม เห็นเดือนดวงโตลอยเด่น และดูเหมือนมันก็กำลังจ้องตอบลงมาเช่นกัน 

เจ้าชายผู้ว้าเหว่รู้สึกอ้างว้างเงียบเหงาอยู่ในงานสมรสของผู้อื่น ปวดร้าวในพระทัยเมื่อนึกถึงว่าชาตินี้ตนเองคงไม่อาจมีงานวิวาห์กับหญิงคนรักเช่นเจ้าพี่ทั้งสองได้ แสงจันทร์นวลจึงขาดความนวลใย กลับดูหม่นหมองชวนให้จิตใจหดหู่ ลมกลางคืนพัดหอบเอาความหนาวเย็นมาปะทะผิวกายจนสั่นสะท้าน สอดประสานสองแขนไว้แน่นที่แผ่นอก ยืนนิ่งอยู่ในท่านั้นอย่างเดียวดาย 

ไม่นานเท่าใด เงาร่างของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหลัง แว่วเสียงขานพระนามทำให้เจ้าชายน้อยหันมาตามเสียงเรียก และเมื่อร่างนั้นโผล่พ้นเงามืดเดินเข้ามาใกล้ แสงจันทร์นวลใยส่องสว่างทำให้มองเห็นว่าเป็นผู้ชายรูปร่างสันทัดคนหนึ่ง อายุราวสามสิบปี หน้าตาออกไปทางพวกพ่อค้าจีนฮ่อ แต่งกายแบบฝรั่งด้วยสูทสีเข้มและหวีผมใส่น้ำมันจนเรียบแปล้ เขาโค้งคำนับเจ้าชายหนุ่มอย่างมีมารยาท แล้วจึงแนะนำตัวเอง

“ข้าน้อยชื่อบุญมาขอรับ เป็นพ่อค้าอัญมณี พื้นเพเป็นคนลำปาง ค้าขายขึ้นล่องระหว่างลำปางกับเชียงใหม่ รวมทั้งเชียงตุงกับเมืองเวียงแถนนี้ด้วย”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เจ้าชายน้อยตอบรับด้วยท่าทีงุนงง ก่อนยื่นหัตถ์ออกไปให้จับ เมื่อทักทายกันแล้วบุญมาจึงล้วงเอาบางสิ่งออกมาจากในอกเสื้อ ยื่นถวาย

“กระผมมีบางสิ่งมาถวายท่าน นี่เป็นจดหมายจากสหายหญิงชาวเชียงใหม่ของท่านที่ฝากกระผมมา เธอกำชับผมว่าให้มอบถึงหัตถ์ท่านด้วยตัวเองขอรับ”

“จดหมายจากปิมปารึท่าน” ละล่ำละลักถามอย่างคาดไม่ถึง หัตถ์ที่ยื่นไปรับจดหมายมานั้นสั่นน้อย ๆ ด้วยความตื่นเต้นดีพระทัย

“ถูกแล้วขอรับ กระผมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจการค้าอัญมณีกับคุณปิมปาและเจ้าชายพรหมลืออยู่ที่ลำปาง งานอภิเษกครั้งนี้ กระผมมากับคณะผู้เชิญของขวัญจากเมืองเชียงตุงขอรับ”

“ตอนนี้ปิมปาเป็นอย่างไรบ้าง ได้โปรดเล่าเรื่องเธอให้ผมฟังด้วยเถิดท่าน” แทบไม่น่าเชื่อว่าจะได้ทราบข่าวคราวของหญิงคนรัก เพราะนับตั้งแต่จากกันวันนั้นแล้ว ก็ไม่มีหนทางใดให้ติดต่อสื่อสารกันอีกเลย ถามถึงเธอด้วยดวงเนตรเป็นประกาย ช่างเป็นข่าววิเศษที่สุดในเวลานี้ทีเดียว

“คุณปิมปาเธอสบายดีขอรับ เสียแต่ไม่ค่อยร่าเริงเท่าใด เธอฝากความระลึกถึงมาหาท่านด้วย และให้กระผมเรียนท่านว่าเธอยังเหมือนเดิมทุกประการ” 

ยินดีเหลือเกินที่รู้ว่าหญิงยอดรักสบายดี แต่ประโยคถัดมาของบุญมาก็ทำให้ต้องเจ็บปวด สงสารทั้งตัวเองและสาวคนรักเกินคำบรรยาย แหงนมองไปบนท้องฟ้าทางทิศอันเป็นที่ตั้งของเวียงเชียงใหม่ น้ำใสซึมคลอเบ้า จดหมายที่ถืออยู่ถูกยกขึ้นแนบอุระ พึมพำขอบคุณชายชาวลำปางแผ่วเบา

“ขอบคุณท่านมากที่นำจดหมายมาให้ หากท่านได้กลับไปถึงเชียงใหม่ กรุณาช่วยบอกปิมปาด้วยว่า สหายของเธอก็ยังเหมือนเดิมทุกประการเช่นกัน” 

ฝากถ้อยคำไปกับพ่อค้าอัญมณีด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ กล้ำกลืนก้อนสะอื้นที่แล่นขึ้นมาลงไปอย่างยากเย็น บุญมาค้อมตัวลงรับคำ บอกว่าจะส่งสารนี้ให้สหายหญิงของเจ้าชายอย่างแน่นอน 

ลับสายตาจากที่คนทั้งสองยืนคุยกันอยู่ เจ้าชายมหาคำคืนยืนเอาหัตถ์ไพล่หลัง มองดูคนทั้งคู่อยู่เงียบ ๆ รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมโอษฐ์บางราวอิสตรีอย่างพึงพระทัย ที่แท้โอรสองค์ใหญ่ของเจ้าฟ้ากองคำฟั่น ก็เป็นผู้เปิดทางสะดวกให้บุญมาได้พบกับเจ้าชายฟ้าคุ้มนั่นเอง 

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่