ความคิดเห็นที่ 3-26
ความคิดเห็นที่ 3-9
ก็ใช่...แต่พระองค์ปฏิเสธอัตตาที่ยั่งยืนเที่นงแท้...
ไม่ใช่ยังงั้น
จะเล่าไทม์ไลน์ให้ฟัง แล้วหัวหอมก็ไปเรียบเรียงเอาเองนะ
ยุคพระพุทธเจ้านั้น ท่านเผยแผ่พระธรรมของท่าน ท่ามกลางยุคพระเวทของฮินดูเล่มสุดท้าย คิอยุคคัมภีร์อุปนิษัท
ยุคนี้ เป็นยุคที่พราหมณ์ต่างมุ่งค้นหาความหลุดพ้นด้วยปัญญากันโดยทั่วไป เปิดกว้างทางความคิดเป็นอย่างมาก
โดยการโต้วาทีกันทางปัญญา ถือเป็นวัฒนธรรมแห่งปัญญาในยุคอุปนิษัทนี้
ก็เพราะอิทธิพลของคัมภีร์อุปนิษัทนี่แหละ สำนักครูทั้ง 6 นี้ก็ตกอยู่ในอิทธิพลของคัมภีร์อุปนิษัทนี้ด้วย
กล่าวคือ การยึดถืออาตมันว่ามีจริงๆ หลักๆ ก็ทั้งที่มีแล้วสืบต่อไปจนกว่าจะเข้าไปหลอมรวมกับอาตมันใหญ่ และมีแล้วเมื่อตายก็ถือเป็นอันจบกันไปเช่นกลุ่มลัทธิอุเฉทฯ ทั้งหลาย หลักๆ ก็แบ่งเป็นสองแนวทาง ส่วนจะแยกย่อยออกไปก็เป็นไปเฉพาะในรายละเอียด
แต่กับอนัตตตานั้น มันคนละเรื่องกับสำนักครูทั้ง 6
พระองค์ปฏิเสธการมีอยู่ของอัตตาโดยสิ้นเชิง
ส่วนที่มีพระพุทธพจน์ว่าอัตตาสื่อมได้นั้น เป็นการนำคำที่ชาวบ้านใช้กันอยู่เดิมมาให้ความหมายใหม่
เป็นธรรมเนียมของท่าน ที่จะไม่เสียเวลาอะไรให้ยุ่งยากในการบัญญัติศัพท์แสงที่นอกเหนือไปจากที่ชาวบ้านใช้กันอยู่เดิม
พระองค์มักจะนำคำเดิมๆ นั่นแหละมาให้ความหมายใหม่อยู่เสมอ มีอะไรบ้างก็ไปสืบค้นเอาเองล่ะกัน เพราะเยอะ
คำว่าอัตตาที่เสื่อมได้นี่ก็เหมือนกัน คำว่าอาตมา ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ฯลฯ
ก็ถ้าผู้ศึกษาพระธรรมเข้าใจหลักอนัตตตาได้ดีแล้ว จะไม่สับสนเลยกับคำตรัสของพระองค์
โดยที่ผู้ศึกษาให้ยึดหลักอนัตตาเอาไว้ให้มั่น และเมื่ออ่านเจอพระดำรัสแบบนี้เมื่อไร
ก็อนุมานได้เลยว่า ท่านให้ความหมายใหม่ที่ต่างไปจากความเชื่อเดิมแล้ว
การอ่านไปพบคำที่ดูจะขัดแย้ง ก็ถือเป็นอันจบ
ซึ่งที่คุณยกอัตตาที่เสื่อได้มาแย้งนั้น
ไม่ใช่พระองค์เชื่อว่าอัตตามีจริง แต่พระองค์นำคำเดิมๆ นั่นแหละมาให้ความหมายใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่หลักใหญ่ใจความในความหมายนั้น ก็ถือเป็นอันเข้าใจได้เลยว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่อัตตา
แม้ว่าคำนั้นจะใช้ว่า "อัตตา" ก็ไม่สำคัญ หรือมีผลต่อหลักอนัตตตาอย่างใดเลย เพราะโดยสภาพธรรมแล้ว
มันก็คือไม่ใช่อัตตาอยู่นั่นเอง
การที่คุณหัวหอมไปทึกทักว่าอัตตามีจริงแต่เสื่อมได้นั้น
อย่าแรกเลยคือจะนำมาซึ่งความสับสนในหลักอนัตตตา เพราะตนไม่แม่นในแก่นพระธรรมมาตั้งแต่ต้น
จึงต่อยอดจากสัตว์มายึดขันธ์5 จากทิฏฐิเดิมของตนนั้นเอง มันคือการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด โดยที่ขาดความเข้าใจในประวัติศาสตร์
เมื่อกระดุมเม็ดแรกผิด แล้วดันทุรังต่อไปก็เหมือนตนนั้นใส่แว่นสีอยู่ พอได้ไปอ่านเจอคำบางคำก็เกิดอาการอุปาทานขึ้นมาทันที
ว่าตรงกันกับสัตว์มายึดขันธ์ 5 หลังจากนั้น ก็โยงพระธรรมอย่างลืมหลักอนัตตตาไปเลย
แต่ถ้าคุณยึดมั่นในหลักการอนัตตตา ที่พระองค์ปฏิเสธทิฏฐิ62
คุณก็จะยืนอยู่บนหลักการเดิมให้มั่น เมื่อใดไปอ่านเจอคำว่าอัตตาเข้า ก็จะสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า พระองค์มุ่งสอนชาวบ้านเป็นหลัก
และได้ทำการเปลี่ยนความเข้าใจของชาวบ้านเสียใหม่นั่นเอง ซึ่งง่ายกว่าการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ไปให้เขา
อัตตาไม่มีจริงนี้ ก็คืออาตมันในยุคคัมภีร์อุปนิษัทซึ่งเป็นยุคที่พระองค์กำลังเผยแผ่พระธรรม
และการที่ไปอ่านเจอพระดำรัสว่าอัตตาเข้านั้น ก็เป็นการนำเสนอสภาวะธรรมใหม่ใส่เข้าไปในคำเดิมๆ ที่ชาวบ้านใช้อยู่
ซึ่งเมื่อพิจารณาให้ถึงที่สุดแล้ว ก็พูดได้ว่า พระองค์ก็ยังยืนกรานปฏิเสธอัตตาในแบบอุปนิษัทนั่นเอง
เรื่องอย่างนี้ อย่างมงายมากไปกว่าหลักวิชาการครับ
เรื่องมันนานมามากแล้ว ควรใช้หลักการทางวิชาการเข้ามาพิจารณา
ผมใช้เวลามามากแล้ว และนี่คืออัตตาที่พระองค์ปฏิเสธ
มองให้เห็นสภาวะอาตมันที่พระองค์ปฏิเสธให้ออก
ส่วนคำที่พระองค์จะใช้นั้นไม่สำคัญ ถ้าหลักการมั่นคงดีแล้ว.
ตอบกลับ
0
0
มะม่วงหิมพานต์
4 นาทีที่แล้ว
เรื่อง..อัตตาที่เกิดขึ้นและเสื่ิอมไป... มาคุยกันตรงนี้ดีกว่า...ครับ
ความคิดเห็นที่ 3-9
ก็ใช่...แต่พระองค์ปฏิเสธอัตตาที่ยั่งยืนเที่นงแท้...
ไม่ใช่ยังงั้น
จะเล่าไทม์ไลน์ให้ฟัง แล้วหัวหอมก็ไปเรียบเรียงเอาเองนะ
ยุคพระพุทธเจ้านั้น ท่านเผยแผ่พระธรรมของท่าน ท่ามกลางยุคพระเวทของฮินดูเล่มสุดท้าย คิอยุคคัมภีร์อุปนิษัท
ยุคนี้ เป็นยุคที่พราหมณ์ต่างมุ่งค้นหาความหลุดพ้นด้วยปัญญากันโดยทั่วไป เปิดกว้างทางความคิดเป็นอย่างมาก
โดยการโต้วาทีกันทางปัญญา ถือเป็นวัฒนธรรมแห่งปัญญาในยุคอุปนิษัทนี้
ก็เพราะอิทธิพลของคัมภีร์อุปนิษัทนี่แหละ สำนักครูทั้ง 6 นี้ก็ตกอยู่ในอิทธิพลของคัมภีร์อุปนิษัทนี้ด้วย
กล่าวคือ การยึดถืออาตมันว่ามีจริงๆ หลักๆ ก็ทั้งที่มีแล้วสืบต่อไปจนกว่าจะเข้าไปหลอมรวมกับอาตมันใหญ่ และมีแล้วเมื่อตายก็ถือเป็นอันจบกันไปเช่นกลุ่มลัทธิอุเฉทฯ ทั้งหลาย หลักๆ ก็แบ่งเป็นสองแนวทาง ส่วนจะแยกย่อยออกไปก็เป็นไปเฉพาะในรายละเอียด
แต่กับอนัตตตานั้น มันคนละเรื่องกับสำนักครูทั้ง 6
พระองค์ปฏิเสธการมีอยู่ของอัตตาโดยสิ้นเชิง
ส่วนที่มีพระพุทธพจน์ว่าอัตตาสื่อมได้นั้น เป็นการนำคำที่ชาวบ้านใช้กันอยู่เดิมมาให้ความหมายใหม่
เป็นธรรมเนียมของท่าน ที่จะไม่เสียเวลาอะไรให้ยุ่งยากในการบัญญัติศัพท์แสงที่นอกเหนือไปจากที่ชาวบ้านใช้กันอยู่เดิม
พระองค์มักจะนำคำเดิมๆ นั่นแหละมาให้ความหมายใหม่อยู่เสมอ มีอะไรบ้างก็ไปสืบค้นเอาเองล่ะกัน เพราะเยอะ
คำว่าอัตตาที่เสื่อมได้นี่ก็เหมือนกัน คำว่าอาตมา ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ฯลฯ
ก็ถ้าผู้ศึกษาพระธรรมเข้าใจหลักอนัตตตาได้ดีแล้ว จะไม่สับสนเลยกับคำตรัสของพระองค์
โดยที่ผู้ศึกษาให้ยึดหลักอนัตตาเอาไว้ให้มั่น และเมื่ออ่านเจอพระดำรัสแบบนี้เมื่อไร
ก็อนุมานได้เลยว่า ท่านให้ความหมายใหม่ที่ต่างไปจากความเชื่อเดิมแล้ว
การอ่านไปพบคำที่ดูจะขัดแย้ง ก็ถือเป็นอันจบ
ซึ่งที่คุณยกอัตตาที่เสื่อได้มาแย้งนั้น
ไม่ใช่พระองค์เชื่อว่าอัตตามีจริง แต่พระองค์นำคำเดิมๆ นั่นแหละมาให้ความหมายใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่หลักใหญ่ใจความในความหมายนั้น ก็ถือเป็นอันเข้าใจได้เลยว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่อัตตา
แม้ว่าคำนั้นจะใช้ว่า "อัตตา" ก็ไม่สำคัญ หรือมีผลต่อหลักอนัตตตาอย่างใดเลย เพราะโดยสภาพธรรมแล้ว
มันก็คือไม่ใช่อัตตาอยู่นั่นเอง
การที่คุณหัวหอมไปทึกทักว่าอัตตามีจริงแต่เสื่อมได้นั้น
อย่าแรกเลยคือจะนำมาซึ่งความสับสนในหลักอนัตตตา เพราะตนไม่แม่นในแก่นพระธรรมมาตั้งแต่ต้น
จึงต่อยอดจากสัตว์มายึดขันธ์5 จากทิฏฐิเดิมของตนนั้นเอง มันคือการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด โดยที่ขาดความเข้าใจในประวัติศาสตร์
เมื่อกระดุมเม็ดแรกผิด แล้วดันทุรังต่อไปก็เหมือนตนนั้นใส่แว่นสีอยู่ พอได้ไปอ่านเจอคำบางคำก็เกิดอาการอุปาทานขึ้นมาทันที
ว่าตรงกันกับสัตว์มายึดขันธ์ 5 หลังจากนั้น ก็โยงพระธรรมอย่างลืมหลักอนัตตตาไปเลย
แต่ถ้าคุณยึดมั่นในหลักการอนัตตตา ที่พระองค์ปฏิเสธทิฏฐิ62
คุณก็จะยืนอยู่บนหลักการเดิมให้มั่น เมื่อใดไปอ่านเจอคำว่าอัตตาเข้า ก็จะสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า พระองค์มุ่งสอนชาวบ้านเป็นหลัก
และได้ทำการเปลี่ยนความเข้าใจของชาวบ้านเสียใหม่นั่นเอง ซึ่งง่ายกว่าการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ไปให้เขา
อัตตาไม่มีจริงนี้ ก็คืออาตมันในยุคคัมภีร์อุปนิษัทซึ่งเป็นยุคที่พระองค์กำลังเผยแผ่พระธรรม
และการที่ไปอ่านเจอพระดำรัสว่าอัตตาเข้านั้น ก็เป็นการนำเสนอสภาวะธรรมใหม่ใส่เข้าไปในคำเดิมๆ ที่ชาวบ้านใช้อยู่
ซึ่งเมื่อพิจารณาให้ถึงที่สุดแล้ว ก็พูดได้ว่า พระองค์ก็ยังยืนกรานปฏิเสธอัตตาในแบบอุปนิษัทนั่นเอง
เรื่องอย่างนี้ อย่างมงายมากไปกว่าหลักวิชาการครับ
เรื่องมันนานมามากแล้ว ควรใช้หลักการทางวิชาการเข้ามาพิจารณา
ผมใช้เวลามามากแล้ว และนี่คืออัตตาที่พระองค์ปฏิเสธ
มองให้เห็นสภาวะอาตมันที่พระองค์ปฏิเสธให้ออก
ส่วนคำที่พระองค์จะใช้นั้นไม่สำคัญ ถ้าหลักการมั่นคงดีแล้ว.
ตอบกลับ
0
0
มะม่วงหิมพานต์
4 นาทีที่แล้ว