เรื่องมีอยู่ว่าผมอยู่กรุงเทพไปทำงานกับแม่ยาย เขาชวนผมไปเก็บผลไม้ที่จันทบุรี ผมคิดว่าช่วงนี้โดนสั่งปิดร้านจากโควิด ทำงานหนักแต่ได้เงินก็ยังดี แม่ยายหลอกผมว่าขาไปมีค่ารถให้จากเจ้าของสวน ได้คุยกับทางเจ้าของสวนแล้ว ให้ผมไปรับเขาและคนอื่นๆ รวม6คน ผมก็ขับรถไปรับแม่ยายและทุกคนที่สุพรรณ พอไปถึงถามเจ้าของสวน เขาแจ้งว่าไม่เคยให้ค่ารถไม่เคยคุยกันมาก่อน ผมก็ไม่ว่าอะไรเพราะเป็นแม่ยาย
ผ่านไปไม่กี่วันแม่ยายต้องมาฉายแสงที่กรุงเทพ ผมให้ภรรยาผมกลับกรุงเทพอยู่เป็นเพื่อนแม่ยาย 1 เดือน ในขณะที่ผมอยู่เก็บผลไม้กับแฟนใหม่ของแม่ยาย
ในช่วงนี้ 1 เดือน ผมทำงานกันกับผัวใหม่เขาและคนอื่นที่เหลือ ทำด้วยความยากลำบาก เพราะเราไม่เคยทำ ตอนเช้าเก็บเงาะแฟนใหม่เขาขึ้นต้นเลื่อยกิ่ง ผมคอยเก็บกิ่งเด็ดเงาะลงตะกร้า จากนั้นเข็นตะกร้ามาเทเพื่อให้เจ้าของสวนคัด ระหว่างทำ แฟนใหม่เขาพูดบ่นตลอดว่าทำงานเหนื่อยคนเดียว ต้องหาเงินให้ทุกคน ทั้งที่เลื่อยลงมาแล้วดูพวกผมเก็บเข็นและให้พวกผมเก็บของ
ตกช่วงเทียงไปเก็บมังคุด แฟนใหม่แม่เขาก็เก็บได้เยอะกว่าคนอื่น ด้วยความชำนาญที่มีมากกว่า เก็บไปบนไปว่าโดนเอาเปรียบ ต้องหาเงินให้ทุกคน ด่าคนนู้นคนนี้บอกให้เห็นแก่บุญคุณเขาที่ช่วยพามาหาเงิน
ระหว่างอยู่ด้วยกันออกเงินกันวันละ 100 เพื่อซื้ออาหาร วันไหนถึงคราวผมออกเงิน ผมก็ถามเขาก่อนถามทุกคนว่าอยากกินอะไร จะได้ซื้อทำให้กิน แฟนใหม่แม่ยายบอกกินอะไรก็ได้ ผมก็ถามกินนั่นไหมกินนี่ไหม ก็บอกว่าไม่ชอบกินถ้าซื้อมาเขาไม่กิน สุดท้ายทุกคนต้องกินตามที่เขาชอบ คือน้ำพริก ต้มหัวปลา บางวันผมซื้อเกินงบผมก็ออกเองไม่เคยทวง วันไหนเขาออกเกินเขาจะบอก "วันนี้ซื้อเกินมา 40 ลุงมีน้ำใจจะออกเพิ่มเอง" คำนี้บ่นทุกวัน เหมือนให้ทุกคนรู้ว่าตนเองมีน้ำใจ
จนมาวันนึงทุกคนไม่ไหวขอกลับ จนเหลือแต่ผมและแฟนใหม่แม่ยาย ทำงานกันสองคน เขาดีแบบแปลกๆ ในการทำงานยังบ่นเช่นเดิม ทุกเช้าเขาจะออกไปซื้อข้าว 2 กล่อง ข้าวเหนียว 5 ถุง หมูปิ้ง 5 ไม้ แหนมย่าง 2 ไม้ และบอกกับผมว่า ข้าวเช้าเขาไม่กินข้าวสองกล่องให้ผมทานไปเลย ตกเที่ยงทานข้าวเหนียวกัน ผมเลยทานกล่องเดียว พอตกเย็นผมก็หาซื้อของให้เขากินออกเงินเองบ้าง ผ่านไปแบบนี้ทุกวัน
จนมาวันนึงแม่ยายหาหมอเสร็จ ผมขับรถมารับกรุงเทพเพื่อพาแม่ยาย น้องชายของภรรยา และภรรยาไปที่จันทบุรี เมื่อมาถึงก็ทำงานร่วมกันแต่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป เนื่องจากสวนเดิมผลไม้เริ่มหมดจึงไปเก็บสวนอื่นแต่นอนพักที่สวนเดิม ทุกวันที่ไปทำงานสวนอื่นผมต้องขับไปกลับ 60โล จากพริ้วไปอำเภอมะขาม โดยแม่ยายบอกเจ้าของสวนจะออกค่าน้ำมันให้
การทำงานทำตามปกติคือเก็บมังคุด แม่ยายไม่ค่อยไหวเพราะพึ่งหายจากมะเร็ง พักบ้างนอนบ้าง น้องภรรยาเด็กประถมตามภาษาเด็ก ไม่ทำงานแต่ช่วยบ้าง ภรรยาผมทำงานด้วยกัน ฝนตกทุกวันไม่เคยอยู่ไฟ ทำงานด้วยความหนาวสั่น ไข้ขึ้น พอผมให้ไปพัก แม่ยายก็บอกว่า "ทนเก็บไป เดี๋ยวลุงว่า" ทุกครั้งที่เสร็จงานได้เงินมาหาร 5 วันไหนเจ้าของสวนไม่ให้ค่าน้ำมันผมต้องออกเอง
เวลาผ่านไปผลไม้หมด เหลือเพียงงานตัดแต่งกิ่ง ผมและภรรยา กับแฟนใหม่แม่ยายทำงานเพียงสามคน ระว่างทำงานก็ได้ยินเสียงบ่นตลอดว่า "เหนื่อย เงินได้น้อย ต้องมาคอยหารให้อีกสองคน ทั้งที่ทุกปีก็ทำคนเดียวได้" ได้ยินดังนั้นวันรุ่งขึ้นผมและภรรยาจึงหยุดทำ บอกกับแม่ยายว่า "แม่ครับ ผมจะไม่ทำแล้ว ผมจะขายของทางออนไลน์ รอจนงานเสร็จหมด แล้วกลับด้วยกัน" ตั้งแต่วันแรกที่หยุดงาน เริ่มมีเสียงบ่นจากแม่ยายและแฟนเขา" ดูซิ๊มันไม่ช่วยเลย ทั้งที่กินอยู่กับเรา ไม่มีน้ำใจ เราให้คนอื่นมารับเรากลับดีกว่า" ผมและภรรยาได้ยินตลอดที่นั่งฟัง จึงลงไปบอกว่า พวกผมไม่ได้กินฟรี ตั้งแต่แม่มา ภรรยาผมออกค่าข้าวสารค่านู่นนี่ทุกวันโดยใช้สิทธิ์คนละครึ่งของสองคน ทันทีที่พวกเขาได้ยินผมเถียงก็โมโหพูดแกมไล่ผมออกจากที่พัก ผมและภรรยาจึงออกมา ก่อนออกผมบอกให้แม่ยายช่วยโทรบอกเจ้าของสวน เขามีบอกว่าขากลับให้ค่ารถคนละ 500 แต่เขาได้ยินทำแกล้งไม่สนใจ ผมและภรรยาจึงต้องจองโรงแรมแถวนั้น เพื่อมีน้ำใจรอ รอแม่ยายทำงานเสร็จอีกไม่กี่วันและผมจะไปรับเพื่อส่งบ้าน อีกทั้งผมรอรับของที่ไปรษณีพริ้ว ที่กำลังจะมาถึง
จุดเปลี่ยนความสำพันธ์ เริ่มจากวันแรกที่มาพักโรงแรม แม่ยายบอกภรรยาผมว่าผมพูดจาเหยียบหัวเขา เถียงเขาเรื่องอาหาร และบอกว่าผมทำอะไรกับแฟนใหม่เขา ผมย่อมรู้ตัวดี.... แม่ยากผมบอกกับภรรยาผมว่าผมทำผิดมากดังนี้
1. ผมซื้อซีอิ้วขาวและมาเรียกเก็บเงินจากแฟนเขา 13 บาท (เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น)
2. ผมเอาโครงไก่ทอดไปกินคนเดียว 1 โครง(ผมให้เงินแฟนใหม่เขาไป 200 บอกให้ซื้อของดีๆมากินกัน แต่เขาซื้อโครงไก่ทอดมาสองถุงแบ่งกันคนละถุง)
3. ผมทานอาหารกล่องเหลือให้แฟนเขากิน จนกินไม่อิ่มทำงานไม่ได้ (ตามอธิบายในท้องเรื่องครับ)
อีกทั้งแม่ยายยังโทรไปใส่ร้ายผมอีกมากจนทุกคนทางบ้านภรรยารู้หมด คนที่เคยทำงานร่วมกันก็บอกกับแม่ยายและภรรยาผม ว่าผมคนดีไม่มีเรื่องแบบนั้น แม่ยายผมก็ไม่รับฟัง ฟังแต่สามีใหม่เขา
จุดพีคอยู่ตรงนี้ ผมทนไม่ไหวและไม่ทนอีกต่อไป ผมเริ่มด่าแม่ยายทางโทรศัพ ขึ้นกู จนมีปากเสียงกัน จนมาถึงวันรุ่นขึ้น แม่ยายบอกภรรยาผมให้บอกผมไปรับเขา ผมจึงพูดไปว่า "หน้าด้าน" ทำให้แม่ยายผมไม่พอใจรุงแรง ผมและเขาตัดสัมพันกัน ระหว่างเกิดเรื่อง แฟนผมพยายามบอกความจริงให้แม่ยายรับรู้ แต่แม่ยายไม่รับฟัง อีกทั้งภรรยาผมไม่โกรธแม่ยายผมซักนิด จนแม่ยายพูดว่า "นิวมันลูกแม่ ตัดไม่ขาดหรอก จะยังไงมันก็ลูกแม่"
ใจผมมีแต่ความโมโห น้อยเนื้อต่ำใจ เหมือนตัวคนเดียว ที่ต้องต่อสู้กับคนหลายๆคน จนวันที่ผมคิดจะกลับบ้าน เช็คเอ้าออกจากโรงแรม ผมก็ยังเป็นห่วงแม่ยาย ว่าจะช่วยไปรับพาเขากลับเป็นครั้งสุดท้าย แต่เขาไม่ยอมรับน้ำใจผม ภรรยาผมพูดขอร้องให้ผมไปขอโทษแม่ยายผม และให้ผมยอมรับผิดเรื่องไปว่าเขาว่าหน้าด้าน แต่ผมไม่ยอม
ระหว่างขับรถกลับ ผมบอกภรรยาว่า "ทำไมสามีใหม่แม่ยาย และตัวแม่ยายเองพูดจาให้ร้ายผม คุณก็รู้ทำไมคุณไม่โกรธแม่คุณหรือด่าแฟนเขากลับไปบ้าง เขายังพูดเลยว่าไม่ว่าเขาทำอะไรผม ลูกเขาก็ยังเป็นลูกเขา ถ้าซักวันมีเรื่องใหญ่กว่านี้ถึงขั้นคอขาดบาดตาย หรือเป็นอันตรายต่อลูกเรา คุณก็ยังคนเป็นลูกของแม่ที่ไม่มีวันกล่าวโทษแม่ใช่ไหม" แฟนผมตอบว่า "แม่ไม่ทำแบบนั้นหรอกแต่ถ้าคุณทำนิวเชื่อ" ในเวลานั้นโลกทั้งใบผมพังทลาย ขับรถกลับด้วยความหมดหวัง จนตื่นเช้ามาวันนี้มองดูมือถือของภรรยา ก็ยังคุยกับแม่เขาโดยปกติ บอกกว่าวถึงบ้านแล้ว
สิ่งที่ผมพบเจอในช่วงโควิดทำให้ไม่มีทั้งเงินจ่ายค่าบ้าน โดหลอกค่ารถ จนไม่มีเงินเหลือ แม่ยายยืมอีกสามพันแล้วชิ่งไม่ยอมคืน ผมช่วยออกค่าอาหารค่านู่นนี่ โดนโกงค่ารถขากลับสุดท้ายแม่ยายเอาไปเอง ผมแทบสิ้นหวังในชีวิต ทรัพย์สินและชีวิตครอบครัว ทั้งที่ก่อนโควิดปีที่แล้วผมมีตังใช้ตลอดไม่เคยเดือดร้านขนาดนี้ แฟนผมก็ไม่เข้าใจสิ่งที่ผมจะสื่อสิ่งที่ผมบอกเขาซักนิด
ชีวิตผมจะตัดสินใจยังไงในตอนนี้ยังไม่รู้เลย อยากปล่อยภรรยาผมไปแต่ผมก็รักเขา..... หวังว่าซักวันผมคงพบเจอทางสว่างมากกว่านี้ ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบ และขอให้ทุกคนที่กำลังพบเจอเรื่องในทำนองเดียวกับผมหาทางออกได้อย่างเข้มแข็งไม่อ่อนแอเหมือนผม..
แม่ยายและภรรยา เรื่องที่ทำให้ผมทุกข์ใจ
ผ่านไปไม่กี่วันแม่ยายต้องมาฉายแสงที่กรุงเทพ ผมให้ภรรยาผมกลับกรุงเทพอยู่เป็นเพื่อนแม่ยาย 1 เดือน ในขณะที่ผมอยู่เก็บผลไม้กับแฟนใหม่ของแม่ยาย
ในช่วงนี้ 1 เดือน ผมทำงานกันกับผัวใหม่เขาและคนอื่นที่เหลือ ทำด้วยความยากลำบาก เพราะเราไม่เคยทำ ตอนเช้าเก็บเงาะแฟนใหม่เขาขึ้นต้นเลื่อยกิ่ง ผมคอยเก็บกิ่งเด็ดเงาะลงตะกร้า จากนั้นเข็นตะกร้ามาเทเพื่อให้เจ้าของสวนคัด ระหว่างทำ แฟนใหม่เขาพูดบ่นตลอดว่าทำงานเหนื่อยคนเดียว ต้องหาเงินให้ทุกคน ทั้งที่เลื่อยลงมาแล้วดูพวกผมเก็บเข็นและให้พวกผมเก็บของ
ตกช่วงเทียงไปเก็บมังคุด แฟนใหม่แม่เขาก็เก็บได้เยอะกว่าคนอื่น ด้วยความชำนาญที่มีมากกว่า เก็บไปบนไปว่าโดนเอาเปรียบ ต้องหาเงินให้ทุกคน ด่าคนนู้นคนนี้บอกให้เห็นแก่บุญคุณเขาที่ช่วยพามาหาเงิน
ระหว่างอยู่ด้วยกันออกเงินกันวันละ 100 เพื่อซื้ออาหาร วันไหนถึงคราวผมออกเงิน ผมก็ถามเขาก่อนถามทุกคนว่าอยากกินอะไร จะได้ซื้อทำให้กิน แฟนใหม่แม่ยายบอกกินอะไรก็ได้ ผมก็ถามกินนั่นไหมกินนี่ไหม ก็บอกว่าไม่ชอบกินถ้าซื้อมาเขาไม่กิน สุดท้ายทุกคนต้องกินตามที่เขาชอบ คือน้ำพริก ต้มหัวปลา บางวันผมซื้อเกินงบผมก็ออกเองไม่เคยทวง วันไหนเขาออกเกินเขาจะบอก "วันนี้ซื้อเกินมา 40 ลุงมีน้ำใจจะออกเพิ่มเอง" คำนี้บ่นทุกวัน เหมือนให้ทุกคนรู้ว่าตนเองมีน้ำใจ
จนมาวันนึงทุกคนไม่ไหวขอกลับ จนเหลือแต่ผมและแฟนใหม่แม่ยาย ทำงานกันสองคน เขาดีแบบแปลกๆ ในการทำงานยังบ่นเช่นเดิม ทุกเช้าเขาจะออกไปซื้อข้าว 2 กล่อง ข้าวเหนียว 5 ถุง หมูปิ้ง 5 ไม้ แหนมย่าง 2 ไม้ และบอกกับผมว่า ข้าวเช้าเขาไม่กินข้าวสองกล่องให้ผมทานไปเลย ตกเที่ยงทานข้าวเหนียวกัน ผมเลยทานกล่องเดียว พอตกเย็นผมก็หาซื้อของให้เขากินออกเงินเองบ้าง ผ่านไปแบบนี้ทุกวัน
จนมาวันนึงแม่ยายหาหมอเสร็จ ผมขับรถมารับกรุงเทพเพื่อพาแม่ยาย น้องชายของภรรยา และภรรยาไปที่จันทบุรี เมื่อมาถึงก็ทำงานร่วมกันแต่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป เนื่องจากสวนเดิมผลไม้เริ่มหมดจึงไปเก็บสวนอื่นแต่นอนพักที่สวนเดิม ทุกวันที่ไปทำงานสวนอื่นผมต้องขับไปกลับ 60โล จากพริ้วไปอำเภอมะขาม โดยแม่ยายบอกเจ้าของสวนจะออกค่าน้ำมันให้
การทำงานทำตามปกติคือเก็บมังคุด แม่ยายไม่ค่อยไหวเพราะพึ่งหายจากมะเร็ง พักบ้างนอนบ้าง น้องภรรยาเด็กประถมตามภาษาเด็ก ไม่ทำงานแต่ช่วยบ้าง ภรรยาผมทำงานด้วยกัน ฝนตกทุกวันไม่เคยอยู่ไฟ ทำงานด้วยความหนาวสั่น ไข้ขึ้น พอผมให้ไปพัก แม่ยายก็บอกว่า "ทนเก็บไป เดี๋ยวลุงว่า" ทุกครั้งที่เสร็จงานได้เงินมาหาร 5 วันไหนเจ้าของสวนไม่ให้ค่าน้ำมันผมต้องออกเอง
เวลาผ่านไปผลไม้หมด เหลือเพียงงานตัดแต่งกิ่ง ผมและภรรยา กับแฟนใหม่แม่ยายทำงานเพียงสามคน ระว่างทำงานก็ได้ยินเสียงบ่นตลอดว่า "เหนื่อย เงินได้น้อย ต้องมาคอยหารให้อีกสองคน ทั้งที่ทุกปีก็ทำคนเดียวได้" ได้ยินดังนั้นวันรุ่งขึ้นผมและภรรยาจึงหยุดทำ บอกกับแม่ยายว่า "แม่ครับ ผมจะไม่ทำแล้ว ผมจะขายของทางออนไลน์ รอจนงานเสร็จหมด แล้วกลับด้วยกัน" ตั้งแต่วันแรกที่หยุดงาน เริ่มมีเสียงบ่นจากแม่ยายและแฟนเขา" ดูซิ๊มันไม่ช่วยเลย ทั้งที่กินอยู่กับเรา ไม่มีน้ำใจ เราให้คนอื่นมารับเรากลับดีกว่า" ผมและภรรยาได้ยินตลอดที่นั่งฟัง จึงลงไปบอกว่า พวกผมไม่ได้กินฟรี ตั้งแต่แม่มา ภรรยาผมออกค่าข้าวสารค่านู่นนี่ทุกวันโดยใช้สิทธิ์คนละครึ่งของสองคน ทันทีที่พวกเขาได้ยินผมเถียงก็โมโหพูดแกมไล่ผมออกจากที่พัก ผมและภรรยาจึงออกมา ก่อนออกผมบอกให้แม่ยายช่วยโทรบอกเจ้าของสวน เขามีบอกว่าขากลับให้ค่ารถคนละ 500 แต่เขาได้ยินทำแกล้งไม่สนใจ ผมและภรรยาจึงต้องจองโรงแรมแถวนั้น เพื่อมีน้ำใจรอ รอแม่ยายทำงานเสร็จอีกไม่กี่วันและผมจะไปรับเพื่อส่งบ้าน อีกทั้งผมรอรับของที่ไปรษณีพริ้ว ที่กำลังจะมาถึง
จุดเปลี่ยนความสำพันธ์ เริ่มจากวันแรกที่มาพักโรงแรม แม่ยายบอกภรรยาผมว่าผมพูดจาเหยียบหัวเขา เถียงเขาเรื่องอาหาร และบอกว่าผมทำอะไรกับแฟนใหม่เขา ผมย่อมรู้ตัวดี.... แม่ยากผมบอกกับภรรยาผมว่าผมทำผิดมากดังนี้
1. ผมซื้อซีอิ้วขาวและมาเรียกเก็บเงินจากแฟนเขา 13 บาท (เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น)
2. ผมเอาโครงไก่ทอดไปกินคนเดียว 1 โครง(ผมให้เงินแฟนใหม่เขาไป 200 บอกให้ซื้อของดีๆมากินกัน แต่เขาซื้อโครงไก่ทอดมาสองถุงแบ่งกันคนละถุง)
3. ผมทานอาหารกล่องเหลือให้แฟนเขากิน จนกินไม่อิ่มทำงานไม่ได้ (ตามอธิบายในท้องเรื่องครับ)
อีกทั้งแม่ยายยังโทรไปใส่ร้ายผมอีกมากจนทุกคนทางบ้านภรรยารู้หมด คนที่เคยทำงานร่วมกันก็บอกกับแม่ยายและภรรยาผม ว่าผมคนดีไม่มีเรื่องแบบนั้น แม่ยายผมก็ไม่รับฟัง ฟังแต่สามีใหม่เขา
จุดพีคอยู่ตรงนี้ ผมทนไม่ไหวและไม่ทนอีกต่อไป ผมเริ่มด่าแม่ยายทางโทรศัพ ขึ้นกู จนมีปากเสียงกัน จนมาถึงวันรุ่นขึ้น แม่ยายบอกภรรยาผมให้บอกผมไปรับเขา ผมจึงพูดไปว่า "หน้าด้าน" ทำให้แม่ยายผมไม่พอใจรุงแรง ผมและเขาตัดสัมพันกัน ระหว่างเกิดเรื่อง แฟนผมพยายามบอกความจริงให้แม่ยายรับรู้ แต่แม่ยายไม่รับฟัง อีกทั้งภรรยาผมไม่โกรธแม่ยายผมซักนิด จนแม่ยายพูดว่า "นิวมันลูกแม่ ตัดไม่ขาดหรอก จะยังไงมันก็ลูกแม่"
ใจผมมีแต่ความโมโห น้อยเนื้อต่ำใจ เหมือนตัวคนเดียว ที่ต้องต่อสู้กับคนหลายๆคน จนวันที่ผมคิดจะกลับบ้าน เช็คเอ้าออกจากโรงแรม ผมก็ยังเป็นห่วงแม่ยาย ว่าจะช่วยไปรับพาเขากลับเป็นครั้งสุดท้าย แต่เขาไม่ยอมรับน้ำใจผม ภรรยาผมพูดขอร้องให้ผมไปขอโทษแม่ยายผม และให้ผมยอมรับผิดเรื่องไปว่าเขาว่าหน้าด้าน แต่ผมไม่ยอม
ระหว่างขับรถกลับ ผมบอกภรรยาว่า "ทำไมสามีใหม่แม่ยาย และตัวแม่ยายเองพูดจาให้ร้ายผม คุณก็รู้ทำไมคุณไม่โกรธแม่คุณหรือด่าแฟนเขากลับไปบ้าง เขายังพูดเลยว่าไม่ว่าเขาทำอะไรผม ลูกเขาก็ยังเป็นลูกเขา ถ้าซักวันมีเรื่องใหญ่กว่านี้ถึงขั้นคอขาดบาดตาย หรือเป็นอันตรายต่อลูกเรา คุณก็ยังคนเป็นลูกของแม่ที่ไม่มีวันกล่าวโทษแม่ใช่ไหม" แฟนผมตอบว่า "แม่ไม่ทำแบบนั้นหรอกแต่ถ้าคุณทำนิวเชื่อ" ในเวลานั้นโลกทั้งใบผมพังทลาย ขับรถกลับด้วยความหมดหวัง จนตื่นเช้ามาวันนี้มองดูมือถือของภรรยา ก็ยังคุยกับแม่เขาโดยปกติ บอกกว่าวถึงบ้านแล้ว
สิ่งที่ผมพบเจอในช่วงโควิดทำให้ไม่มีทั้งเงินจ่ายค่าบ้าน โดหลอกค่ารถ จนไม่มีเงินเหลือ แม่ยายยืมอีกสามพันแล้วชิ่งไม่ยอมคืน ผมช่วยออกค่าอาหารค่านู่นนี่ โดนโกงค่ารถขากลับสุดท้ายแม่ยายเอาไปเอง ผมแทบสิ้นหวังในชีวิต ทรัพย์สินและชีวิตครอบครัว ทั้งที่ก่อนโควิดปีที่แล้วผมมีตังใช้ตลอดไม่เคยเดือดร้านขนาดนี้ แฟนผมก็ไม่เข้าใจสิ่งที่ผมจะสื่อสิ่งที่ผมบอกเขาซักนิด
ชีวิตผมจะตัดสินใจยังไงในตอนนี้ยังไม่รู้เลย อยากปล่อยภรรยาผมไปแต่ผมก็รักเขา..... หวังว่าซักวันผมคงพบเจอทางสว่างมากกว่านี้ ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบ และขอให้ทุกคนที่กำลังพบเจอเรื่องในทำนองเดียวกับผมหาทางออกได้อย่างเข้มแข็งไม่อ่อนแอเหมือนผม..