บมความดังต่อไปนี้เป็นความจากท่าน Dr.winai Dahlan
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/drwinaidahlan/posts/1513063892334916/
นบีมูฮำมัด (ซ.ล.) มหาบุรุษผู้สร้างสังคมพหุวัฒนธรรม
ในอิสลามมีเรื่องราวของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) เล่าขานสืบต่อกันมามากมาย อิสลามเรียกเรื่องราวหรือจริยวัตรของท่านนบีว่า “ซุนนะฮ์” (السنة Sunnah) ส่วนการบันทึกจริยวัตรเรียกว่า “หะดิษ” (الحديث Hadith) โดยหะดิษมีอยู่มากมายนับจำนวนหลายแสนชิ้น ในจำนวนนี้มีนับหมื่นชิ้นที่มีหลักฐานแข็งแรงเชื่อถือได้มาก ทั้งยังมีไม่น้อยที่มีหลักฐานปานกลาง ทว่ามีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่มีหลักฐานอ่อนเชื่อมั่นได้บ้าง บางหะดิษถูกกล่าวว่าปลอมเสียด้วยซ้ำ ในบรรดาบันทึกหะดิษนั้น มีอยู่เป็นจำนวนมากที่แสดงถึงเมตตาธรรมของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) อย่างเช่นเรื่องหนึ่งมีชื่อเรื่องว่า “ศาสนทูตมูฮำมัดกับขอทานชรายิวตาบอด” มีหะดิษกล่าวถึงเรื่องนี้อยู่พอสมควร ยืนยันไม่ได้ว่าเป็นหะดิษที่หนักแน่นหรือปานกลาง จะอย่างไรก็ตาม ได้ฟังกี่ครั้งก็ชอบ
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าในเมืองมะดีนะฮ์ เมื่อครั้งที่นบีมูฮำมัด (ซ.ล.) จากโลกนี้กลับไปสู่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) แล้ว อบูบักร์ (ร.ฎ.) ขึ้นดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์หรือผู้นำรัฐอิสลามแทนท่านนบี วันหนึ่งท่านอบูบักร์เดินทางมาพบลูกสาวคือนางอาอีซะฮ์ซึ่งเป็นภรรยาของท่านนบี ท่านอบูบักร์ถามว่ามีจริยวัตรของท่านศาสนทูตข้อไหนบ้างที่ท่านยังมิได้ปฏิบัติ นางอาอีซะฮ์ไม่สามารถตอบได้ แต่ได้บอกท่านอบูบักร์ไปว่าทุกเช้าท่านนบีจะเอานมและขนมปังไปที่หัวมุมตลาดและป้อนให้กับขอทานยิวชราตาบอดคนหนึ่ง ขอทานชราผู้นี้มีนิสัยแปลกตรงที่คอยเตือนคนที่ผ่านไปมาว่าอย่าเข้าใกล้คนที่ชื่อมูฮำมัดซึ่งเป็นคนเลว นางอาอีซะฮ์แนะนำท่านอบูบักร์ว่าควรไปดู
เช้าวันต่อมา ท่านอบูบักร์ (ร.ฎ.) นำขนมปังและนมไปที่ตลาดพบขอทานยิวชราตาบอดผู้นั้นจึงนั่งลงใกล้ๆจากนั้นเอามือบิขนมปังจุ่มนมแล้วป้อนใส่ปากขอทานยิวชราซึ่งพยายามออกปากเตือนท่านอบูบักร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าเข้าใกล้คนชื่อมูฮำมัด ขอทานยิวชราตาบอดเมื่อได้กินขนมปังแล้วถามท่านอบูบักร์กลับไปว่าท่านเป็นใคร เมื่อท่านอบูบักร์ตอบว่าฉันคือคนธรรมดาเช่นที่นบีมูฮำมัด (ซ.ล.) เคยตอบ ขอทานยิวชราตาบอดบอกว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดาที่เคยมาหาเขาทุกเช้าแต่เป็นคนอื่น เมื่อท่านอบูบักร์ถามว่ารู้ได้อย่างไร ขอทานยิวชราตาบอดตอบว่าคนธรรมดาคนนั้นเขาจะเอาขนมปังจุ่มนมแล้วใส่ปากเคี้ยวก่อนจะป้อนเข้าปากขอทานยิวชราตาบอด เพราะรู้ว่ามีปัญหาเรื่องฟัน ได้ฟังแล้วท่านอบูบักร์จึงตอบกลับไปว่าคนธรรมดาผู้นั้นจากโลกนี้กลับไปพบพระผู้เป็นเจ้าแล้ว คนธรรมดาที่ว่านั้นคือมูฮำมัดคนที่ขอทานยิวชราตาบอดกล่าวประณามทุกวัน เมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงขอทานยิวชราตาบอดผู้นั้นร้องไห้และขอรับอิสลามนับแต่นั้น
ยังมีอีกหลายเรื่องหลายตอนที่แสดงถึงความเมตตาของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) โดยมีหลายเรื่องน่าประทับใจตัวอย่างเช่น “การให้ความเคารพต่อผู้ตาย” วันหนึ่งนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) นั่งคุยกับบรรดามุสลิมอยู่บนถนนในเมืองมะดีนะฮ์ซึ่งเป็นกิจวัตรปกติเนื่องจากท่านนบีในวันนั้นคือเจ้าผู้ครองเมือง ทุกครั้งที่เดินทางไปไหนมักมีผู้คนเข้ามาพบปะขอพูดคุยด้วยเสมอ ระหว่างที่นั่งพูดคุยอยู่ด้วยกัน ทันใดนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งแบกโลงศพเดินผ่านหน้าท่านนบีช้าๆ มุสลิมทุกคนนั่งนิ่ง ท่านนบีกลับลุกขึ้นยืนเพื่อให้เกียรติแก่ศพกระทั่งกลุ่มคนแบกโลงศพผู้ตายผ่านไป ท่านนบีจึงนั่งลงเช่นเดิม มุสลิมในที่ชุมนุมนั้นถามท่านนบีว่าท่านไม่ทราบหรอกหรือว่าคนตายนั้นเป็นหญิงยิวและบรรดาผู้ที่แห่แหนโลงศพมานั้นล้วนเป็นยิว ท่านนบีตอบกลับไปว่า “ผู้ตายมิใช่มนุษย์หรอกหรือ จงให้เกียรติแก่ผู้ตายไม่ว่าเขาจะเป็นมุสลิมหรือไม่” คำสั่งของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) แสดงให้เห็นว่ามนุษยธรรมนั้นไม่ควรมีอคติต่อความแตกต่างทางด้านศาสนา เพศ สีผิว ฐานันดร หรือความแตกต่างทางด้านอื่น
เรื่องราวของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) เรื่องนี้บ่งชัดว่าเมืองมะดีนะฮ์ภายใต้การปกครองของท่าน คนต่างศาสนาสามารถอยู่อาศัยได้ด้วยความผาสุก ขอเพียงเป็นพลเมืองที่ดี จ่ายภาษีบำรุงสังคมตามกติกาของเมืองเท่านั้น ในขณะที่มีข้อกล่าวหาจากผู้ที่มิใช่มุสลิมอยู่เสมอรวมทั้ง Leslie Hazleton ผู้เขียนเรื่อง Muhammad: The Story of First Muslim ในทำนองว่าท่านนบีออกจะไม่เป็นธรรมต่อชาวเมืองที่เป็นยิวนัก อย่างไรก็ตาม ในประวัติชีวิตของท่านนบีไม่มีเรื่องราวใดแสดงให้เห็นเลยว่าท่านมีอคติต่อชาวยิวที่เป็นชาวเมืองมะดีนะฮ์ แม้ในการทำศึกกับชนเผ่ายิวที่ละเมิดธรรมนูญมะดีนะฮ์กระทั่งทำให้ฝ่ายมะดีนะฮ์เกือบเพลี่ยงพล้ำในการศึกกับมักกะฮ์ ท่านนบีเห็นว่าเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงขอให้ชาวยิวที่สร้างปัญหาและไม่สามารถปฏิบัติตามธรรมนูญได้เคลื่อนย้ายออกจากเมือง เมื่อมีการขัดขืนท่านให้กองทัพทำการบีบบังคับ อย่างไรก็ตาม มีชาวยิวจำนวนไม่น้อยที่ขอปฏิบัติตามกฎและขออยู่อาศัยในเมืองมะดีนะฮ์ต่อไปซึ่งท่านนบีอนุญาต คนเหล่านั้นจำนวนไม่น้อยเป็นคนจนซึ่งท่านนบีให้ความช่วยเหลือด้านการดำรงชีวิตไปพอสมควร เหล่านี้คือความเมตตาที่ท่านนบีมอบให้แก่กลุ่มชนทุกกลุ่มมิใช่เฉพาะมุสลิม
นบีมูฮำมัด (ซ.ล.) ให้ความสำคัญกับคนยากจน เด็กกำพร้า คนชรา คนในฐานันดรต่ำรวมทั้งทาสเสมอ ครั้งหนึ่งท่านนบีเข้าไปในมัสยิดอัลนะบะวี ท่านสังเกตเห็นว่าหญิงคนหนึ่งที่เคยเข้ามาทำความสะอาดบริเวณมัสยิดอยู่เสมอ หายไปนานสองสามวันแล้วจึงถามบรรดามุสลิมในมัสยิดว่าหญิงคนนั้นหายไปไหน จึงได้รับทราบว่าหญิงผู้นั้นกลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) แล้วไม่กี่วันก่อนหน้านั้น ท่านนบีถามกลับไปว่าเหตุใดจึงไม่แจ้งแก่ท่านเพื่อท่านนบีจะได้เป็นผู้ขอพรที่หลุมศพของนางด้วยตัวของท่านเอง จากนั้นท่านได้ขอให้นำท่านไปยังหลุมศพของหญิงผู้นั้น เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่าคนทุกฐานะอยู่ในสายตาของท่าน ความเมตตาของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) เผื่อแผ่ไปยังประชาชนทุกคนไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือมิใช่มุสลิมเสมอ
ขอจบในส่วนนี้ด้วยคำสั่งเสียของท่านนบีในพิธีฮัจญ์อำลาของท่านใน ค.ศ.632 ในปีนั้นท่านนบีซึ่งผ่านการทำฮัจญ์เล็กหรืออุมเราะฮ์มาแล้ว 4 ครั้งแต่ยังไม่เคยเลยที่จะทำฮัจญ์ซึ่งเป็นหลักการสำคัญหนึ่งในห้าที่มุสลิมต้องปฏิบัติโดยในกรณีของฮัจญ์กำหนดให้กระทำครั้งหนึ่งในชีวิตหากกระทำได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่สามารถกระทำได้แท้จริงอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงไว้ซึ่งการให้อภัยเสมอ
เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.632 ตรงกับวันที่ 25 เดือนซุลเกาะอ์ดะฮ์ ฮ.ศ.10 นบีมูฮำมัด (ซ.ล.) พร้อมภรรยาและประชาชนจำนวนกว่า 90,000 คนเดินทางออกจากมะดีนะฮ์มุ่งหน้าสู่มักกะฮ์ เมื่อถึงวันที่ 8 เดือนซุลฮิจญะฮ์ ท่านนบีและบรรดามุสลิมแต่งกายในชุดเอียะรอม พักแรมอยู่ที่หุบเขามีนา วันรุ่งขึ้นจึงได้เดินทางไปยังภูเขาอะรอฟะฮ์ ตอนเที่ยงวันที่ 9 เดือนซุลฮิจญะฮ์นี้เองท่านนบีได้เดินทางไปถึงภูเขานูร ซึ่งท่านนั่งบนหลังอูฐและเริ่มเทศนาสั่งสอนชาวมุสลิมด้วยเสียงอันดังโดยมี รอบีอะฮ์ อิบนุ อุมัยยะฮ์ คอยพูดซ้ำทีละประโยค สุนทรพจน์ของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) ในพิธีฮัจญ์ครั้งนั้นนับเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย มีเนื้อหาน่าประทับใจ โดยหลายส่วนแสดงให้เห็นชัดเจนถึงเมตตาธรรมของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) และของตัวท่านเอง ดังต่อไปนี้
“ โอ้ ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังคำพูดของฉันเพราะไม่รู้ว่าฉันจะได้พบกับพวกท่าน ในโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อไร ท่านทั้งหลาย ชีวิตและทรัพย์สินของพวกท่านเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นสิ่งที่คนหนึ่งคนใดจะมาล่วงละเมิดมิได้ จนกว่าพวกท่านจะได้พบกับผู้อภิบาลเสมือนกับวันบริสุทธิ์นี้ และเดือนนี้เป็นเวลาที่ต้องห้ามสำหรับพวกท่านและเมืองนี้เป็นเมืองต้องห้ามสำหรับพวกท่านทั้งหลายเช่นกัน พวกท่านทั้งหลายจะต้องได้รับการสอบสวนจากองค์พระผู้อภิบาลของพวกท่านในกิจการงานทุกอย่างที่พวกท่านได้กระทำไว้
โอ้ ประชาชนทั้งหลายพวกท่านมีสิทธิที่ได้รับมอบหมายเหนือฝ่ายสตรีและ ฝ่ายสตรีก็มีสิทธิเหนือฝ่ายชายเช่นกันในหน้าที่ที่ท่านได้รับมอบหมาย ดังนั้นพวกท่านจงปกป้องดูแลภรรยาของพวกท่านด้วยความรักความเมตตาเถิด แน่นอนใครที่ทำได้เช่นนั้นก็เท่ากับเขาได้ปกครองดูแลภรรยาของเขาเอาไว้ให้อยู่ภายใต้การพิทักษ์รักษาของอัลลอฮ์ พวกท่านทั้งหลายจงรักษาความศรัทธาเชื่อมั่นให้คงไว้ในจิตใจของพวกท่านและจงหลีกเลี่ยงออกห่างจากเรื่องบาปกรรมและความชั่ว ดอกเบี้ย การให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเป็นสิ่งต้องห้าม สำหรับลูกหนี้ให้ส่งคืนเฉพาะเงินต้นเท่าจำนวนที่ยืมมาและดอกเบี้ยที่จำเป็นต้องถูกยกเลิกคือ ดอกเบี้ยของอับบาส อิบนุ อบูฎอลิบ (ซึ่งเป็นลุงของท่านนบีเอง)
นับแต่นี้ต่อไปเรื่องของการแก้แค้นทดแทนกันด้วยเลือดเช่นในสมัยของยุคป่าเถื่อนเป็นเรื่องต้องห้าม การอาฆาต จองล้างจองผลาญกันด้วยเลือดต้องสิ้นสุดลง เริ่มต้นด้วยเรื่องการฆาตกรรมของอิบนุรอบีอะฮ์ อิบนุ ฮาริส (Ibn Rabiah ibn Harith ) โอ้ประชาชนทั้งหลายบรรดาข้าทาสคนใช้ของท่านที่อยู่ในความดูแลของพวกท่านนั้น จงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยอาหารเช่นที่พวกท่านรับประทาน และให้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขาด้วยเครื่องนุ่งห่มที่พวกท่านใช้ หากข้าทาสเหล่านั้นได้กระทำในสิ่งที่เป็นความผิดพลาดชนิดที่ท่านไม่ปรารถนาจะอภัยให้ ก็จงแยกทางกับพวกเขาเสีย อย่าได้ทำร้ายเฆี่ยนตีทำทารุณต่อพวกเขา เพราะพวกเขาต่างเป็นบ่าวของพระองค์เช่นเดียวกับพวกเรา
โอ้ประชาชนทั้งหลาย มารร้ายนั้นได้หมดสิ้นความหวังทั้งมวลที่จะได้รับการ เคารพบูชาในดินแดนของพวกท่านแล้ว แต่กระนั้นก็ตามมันยังเป็นห่วงที่จะคอยกำหนดให้พวกท่านกระทำการอันต่ำต้อยอยู่ เพราะฉะนั้นจงระวังมันไว้เถิด เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านและศาสนทูตของท่าน โอ้ประชาชนทั้งหลาย พวกท่านจงรำลึกและจดจำในสิ่งที่ฉันพูด พวกท่านต้องรำลึกเสมอว่ามุสลิมทุกคนนั้นมีฐานะเป็นพี่น้องกัน พวกท่านทั้งหลายต่างมีความพอใจ ในสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบที่เรามีอยู่เสมอหน้ากัน พวกท่านแต่ละคนล้วนแต่เป็นสมาชิกของสังคมพี่น้องเดียวกันจงปกป้องตัวของท่าน ให้ห่างไกลจากความอยุติธรรมในทุกกรณี
ขอให้บุคคลที่อยู่ที่นี้จงนำสิ่งที่ได้ยินจากฉันไปบอกเล่าแก่บุคคลที่เขาไม่ ได้มาอยู่ ณ ที่นี้เพราะอาจเป็นไปได้ว่าคนที่ไม่ได้รับการบอกเล่านั้นอาจมีความจดจำที่ดีกว่าบุคคลที่ได้ยินไปจากฉันโดยตรงก็เป็นได้ และผู้ที่ได้รับความไว้วางใจเขาจะต้องไม่ให้ผู้ที่ไว้วางใจเขาต้องประสบความ ผิดหวัง โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายหากเมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องจากพวกท่านไปแล้วพวกท่านจงอย่า ได้หันกลับไปต่อสู่เป็นศัตรูหลั่งเลือดกัน เหมือนเช่นในยุคสมัยแห่งความโง่เขลาดังที่ได้ผ่านมา แท้จริงฉันได้มอบสิ่งหนึ่งแก่พวกท่านทั้งหลายซึ่งหากพวกท่านได้ยึดเอาไว้อย่างมั่นคงแล้ว สิ่งนั้นคืออัลกุรอาน และซุนนะฮ์ของฉัน ท่านทั้งหลายจะต้องไม่หลงออกไปสู่แนวทางที่เหลวไหลเป็นอันขาด
โอ้ ศรัทธาชนทั้งหลาย แท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านนั้นมีองค์เดียว ต้นตระกูลของพวกท่านก็สืบมาจากเชื้อสายเดียวกัน นั่นคืออาดัม และอาดัมนั้นถูกสร้างมาจากดิน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติที่สุดในหมู่พวกเจ้านั้นคือผู้ที่มีความยำเกรง มากกว่าเท่านั้น โอ้ ท่านทั้งหลายจงสดับฟังถ้อยคำของฉันให้ดี จงรู้เถิดว่ามวลมุสลิมนั้น ย่อมเป็นพี่น้องกันและจงรู้เถิดว่า บรรดามุสลิม ก็คือภราดรภาพอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีสิ่งไดที่เป็นของพี่น้องมุสลิมด้วยกันจะเป็นของมุสลิมโดยถูกต้องนอก จากว่าเขาผู้นั้นจะให้โดยเต็มใจและไม่คิดมูลค่าเพราะฉะนั้นจงอย่ากระทำการอ ยุติธรรมต่อตัวของท่านเอง
โอ้พระผู้เป็นเจ้าข้าพระองค์ได้ประกาศสัจธรรมออกเผยแพร่แล้ว โอ้องค์พระผู้อภิบาล ขอได้ทรงโปรดเป็นพยานให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด ”
ฮัจญ์ของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) ครั้งนี้นับเป็นฮัจญ์อำลา สุดท้ายท่านได้อ่านคัมภีร์อัลกุรอานบทที่ 2 อัลมาอิดะฮ์ วรรคที่ 4 ความว่า “ ในวันนี้ ข้า (อัลลอฮ์) ได้ให้ศาสนาของข้าแก่พวกเจ้าไว้อย่างครบครัน ได้มอบความเมตตาแก่พวกเจ้าอย่างครบถ้วน และข้ายินดีเลือกศาสนาอิสลามให้เป็นศาสนาของพวกเจ้า ”
(มีต่อ)
มุฮัมมัด มหาบุรุษผู้สร้างความเมตตาแก่สังคมพหุวัฒนธรรมโดยไม่แบ่งแยก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นบีมูฮำมัด (ซ.ล.) มหาบุรุษผู้สร้างสังคมพหุวัฒนธรรม
ในอิสลามมีเรื่องราวของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) เล่าขานสืบต่อกันมามากมาย อิสลามเรียกเรื่องราวหรือจริยวัตรของท่านนบีว่า “ซุนนะฮ์” (السنة Sunnah) ส่วนการบันทึกจริยวัตรเรียกว่า “หะดิษ” (الحديث Hadith) โดยหะดิษมีอยู่มากมายนับจำนวนหลายแสนชิ้น ในจำนวนนี้มีนับหมื่นชิ้นที่มีหลักฐานแข็งแรงเชื่อถือได้มาก ทั้งยังมีไม่น้อยที่มีหลักฐานปานกลาง ทว่ามีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่มีหลักฐานอ่อนเชื่อมั่นได้บ้าง บางหะดิษถูกกล่าวว่าปลอมเสียด้วยซ้ำ ในบรรดาบันทึกหะดิษนั้น มีอยู่เป็นจำนวนมากที่แสดงถึงเมตตาธรรมของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) อย่างเช่นเรื่องหนึ่งมีชื่อเรื่องว่า “ศาสนทูตมูฮำมัดกับขอทานชรายิวตาบอด” มีหะดิษกล่าวถึงเรื่องนี้อยู่พอสมควร ยืนยันไม่ได้ว่าเป็นหะดิษที่หนักแน่นหรือปานกลาง จะอย่างไรก็ตาม ได้ฟังกี่ครั้งก็ชอบ
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าในเมืองมะดีนะฮ์ เมื่อครั้งที่นบีมูฮำมัด (ซ.ล.) จากโลกนี้กลับไปสู่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) แล้ว อบูบักร์ (ร.ฎ.) ขึ้นดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์หรือผู้นำรัฐอิสลามแทนท่านนบี วันหนึ่งท่านอบูบักร์เดินทางมาพบลูกสาวคือนางอาอีซะฮ์ซึ่งเป็นภรรยาของท่านนบี ท่านอบูบักร์ถามว่ามีจริยวัตรของท่านศาสนทูตข้อไหนบ้างที่ท่านยังมิได้ปฏิบัติ นางอาอีซะฮ์ไม่สามารถตอบได้ แต่ได้บอกท่านอบูบักร์ไปว่าทุกเช้าท่านนบีจะเอานมและขนมปังไปที่หัวมุมตลาดและป้อนให้กับขอทานยิวชราตาบอดคนหนึ่ง ขอทานชราผู้นี้มีนิสัยแปลกตรงที่คอยเตือนคนที่ผ่านไปมาว่าอย่าเข้าใกล้คนที่ชื่อมูฮำมัดซึ่งเป็นคนเลว นางอาอีซะฮ์แนะนำท่านอบูบักร์ว่าควรไปดู
เช้าวันต่อมา ท่านอบูบักร์ (ร.ฎ.) นำขนมปังและนมไปที่ตลาดพบขอทานยิวชราตาบอดผู้นั้นจึงนั่งลงใกล้ๆจากนั้นเอามือบิขนมปังจุ่มนมแล้วป้อนใส่ปากขอทานยิวชราซึ่งพยายามออกปากเตือนท่านอบูบักร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าเข้าใกล้คนชื่อมูฮำมัด ขอทานยิวชราตาบอดเมื่อได้กินขนมปังแล้วถามท่านอบูบักร์กลับไปว่าท่านเป็นใคร เมื่อท่านอบูบักร์ตอบว่าฉันคือคนธรรมดาเช่นที่นบีมูฮำมัด (ซ.ล.) เคยตอบ ขอทานยิวชราตาบอดบอกว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดาที่เคยมาหาเขาทุกเช้าแต่เป็นคนอื่น เมื่อท่านอบูบักร์ถามว่ารู้ได้อย่างไร ขอทานยิวชราตาบอดตอบว่าคนธรรมดาคนนั้นเขาจะเอาขนมปังจุ่มนมแล้วใส่ปากเคี้ยวก่อนจะป้อนเข้าปากขอทานยิวชราตาบอด เพราะรู้ว่ามีปัญหาเรื่องฟัน ได้ฟังแล้วท่านอบูบักร์จึงตอบกลับไปว่าคนธรรมดาผู้นั้นจากโลกนี้กลับไปพบพระผู้เป็นเจ้าแล้ว คนธรรมดาที่ว่านั้นคือมูฮำมัดคนที่ขอทานยิวชราตาบอดกล่าวประณามทุกวัน เมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงขอทานยิวชราตาบอดผู้นั้นร้องไห้และขอรับอิสลามนับแต่นั้น
ยังมีอีกหลายเรื่องหลายตอนที่แสดงถึงความเมตตาของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) โดยมีหลายเรื่องน่าประทับใจตัวอย่างเช่น “การให้ความเคารพต่อผู้ตาย” วันหนึ่งนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) นั่งคุยกับบรรดามุสลิมอยู่บนถนนในเมืองมะดีนะฮ์ซึ่งเป็นกิจวัตรปกติเนื่องจากท่านนบีในวันนั้นคือเจ้าผู้ครองเมือง ทุกครั้งที่เดินทางไปไหนมักมีผู้คนเข้ามาพบปะขอพูดคุยด้วยเสมอ ระหว่างที่นั่งพูดคุยอยู่ด้วยกัน ทันใดนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งแบกโลงศพเดินผ่านหน้าท่านนบีช้าๆ มุสลิมทุกคนนั่งนิ่ง ท่านนบีกลับลุกขึ้นยืนเพื่อให้เกียรติแก่ศพกระทั่งกลุ่มคนแบกโลงศพผู้ตายผ่านไป ท่านนบีจึงนั่งลงเช่นเดิม มุสลิมในที่ชุมนุมนั้นถามท่านนบีว่าท่านไม่ทราบหรอกหรือว่าคนตายนั้นเป็นหญิงยิวและบรรดาผู้ที่แห่แหนโลงศพมานั้นล้วนเป็นยิว ท่านนบีตอบกลับไปว่า “ผู้ตายมิใช่มนุษย์หรอกหรือ จงให้เกียรติแก่ผู้ตายไม่ว่าเขาจะเป็นมุสลิมหรือไม่” คำสั่งของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) แสดงให้เห็นว่ามนุษยธรรมนั้นไม่ควรมีอคติต่อความแตกต่างทางด้านศาสนา เพศ สีผิว ฐานันดร หรือความแตกต่างทางด้านอื่น
เรื่องราวของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) เรื่องนี้บ่งชัดว่าเมืองมะดีนะฮ์ภายใต้การปกครองของท่าน คนต่างศาสนาสามารถอยู่อาศัยได้ด้วยความผาสุก ขอเพียงเป็นพลเมืองที่ดี จ่ายภาษีบำรุงสังคมตามกติกาของเมืองเท่านั้น ในขณะที่มีข้อกล่าวหาจากผู้ที่มิใช่มุสลิมอยู่เสมอรวมทั้ง Leslie Hazleton ผู้เขียนเรื่อง Muhammad: The Story of First Muslim ในทำนองว่าท่านนบีออกจะไม่เป็นธรรมต่อชาวเมืองที่เป็นยิวนัก อย่างไรก็ตาม ในประวัติชีวิตของท่านนบีไม่มีเรื่องราวใดแสดงให้เห็นเลยว่าท่านมีอคติต่อชาวยิวที่เป็นชาวเมืองมะดีนะฮ์ แม้ในการทำศึกกับชนเผ่ายิวที่ละเมิดธรรมนูญมะดีนะฮ์กระทั่งทำให้ฝ่ายมะดีนะฮ์เกือบเพลี่ยงพล้ำในการศึกกับมักกะฮ์ ท่านนบีเห็นว่าเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงขอให้ชาวยิวที่สร้างปัญหาและไม่สามารถปฏิบัติตามธรรมนูญได้เคลื่อนย้ายออกจากเมือง เมื่อมีการขัดขืนท่านให้กองทัพทำการบีบบังคับ อย่างไรก็ตาม มีชาวยิวจำนวนไม่น้อยที่ขอปฏิบัติตามกฎและขออยู่อาศัยในเมืองมะดีนะฮ์ต่อไปซึ่งท่านนบีอนุญาต คนเหล่านั้นจำนวนไม่น้อยเป็นคนจนซึ่งท่านนบีให้ความช่วยเหลือด้านการดำรงชีวิตไปพอสมควร เหล่านี้คือความเมตตาที่ท่านนบีมอบให้แก่กลุ่มชนทุกกลุ่มมิใช่เฉพาะมุสลิม
นบีมูฮำมัด (ซ.ล.) ให้ความสำคัญกับคนยากจน เด็กกำพร้า คนชรา คนในฐานันดรต่ำรวมทั้งทาสเสมอ ครั้งหนึ่งท่านนบีเข้าไปในมัสยิดอัลนะบะวี ท่านสังเกตเห็นว่าหญิงคนหนึ่งที่เคยเข้ามาทำความสะอาดบริเวณมัสยิดอยู่เสมอ หายไปนานสองสามวันแล้วจึงถามบรรดามุสลิมในมัสยิดว่าหญิงคนนั้นหายไปไหน จึงได้รับทราบว่าหญิงผู้นั้นกลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) แล้วไม่กี่วันก่อนหน้านั้น ท่านนบีถามกลับไปว่าเหตุใดจึงไม่แจ้งแก่ท่านเพื่อท่านนบีจะได้เป็นผู้ขอพรที่หลุมศพของนางด้วยตัวของท่านเอง จากนั้นท่านได้ขอให้นำท่านไปยังหลุมศพของหญิงผู้นั้น เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่าคนทุกฐานะอยู่ในสายตาของท่าน ความเมตตาของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) เผื่อแผ่ไปยังประชาชนทุกคนไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือมิใช่มุสลิมเสมอ
ขอจบในส่วนนี้ด้วยคำสั่งเสียของท่านนบีในพิธีฮัจญ์อำลาของท่านใน ค.ศ.632 ในปีนั้นท่านนบีซึ่งผ่านการทำฮัจญ์เล็กหรืออุมเราะฮ์มาแล้ว 4 ครั้งแต่ยังไม่เคยเลยที่จะทำฮัจญ์ซึ่งเป็นหลักการสำคัญหนึ่งในห้าที่มุสลิมต้องปฏิบัติโดยในกรณีของฮัจญ์กำหนดให้กระทำครั้งหนึ่งในชีวิตหากกระทำได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่สามารถกระทำได้แท้จริงอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงไว้ซึ่งการให้อภัยเสมอ
เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.632 ตรงกับวันที่ 25 เดือนซุลเกาะอ์ดะฮ์ ฮ.ศ.10 นบีมูฮำมัด (ซ.ล.) พร้อมภรรยาและประชาชนจำนวนกว่า 90,000 คนเดินทางออกจากมะดีนะฮ์มุ่งหน้าสู่มักกะฮ์ เมื่อถึงวันที่ 8 เดือนซุลฮิจญะฮ์ ท่านนบีและบรรดามุสลิมแต่งกายในชุดเอียะรอม พักแรมอยู่ที่หุบเขามีนา วันรุ่งขึ้นจึงได้เดินทางไปยังภูเขาอะรอฟะฮ์ ตอนเที่ยงวันที่ 9 เดือนซุลฮิจญะฮ์นี้เองท่านนบีได้เดินทางไปถึงภูเขานูร ซึ่งท่านนั่งบนหลังอูฐและเริ่มเทศนาสั่งสอนชาวมุสลิมด้วยเสียงอันดังโดยมี รอบีอะฮ์ อิบนุ อุมัยยะฮ์ คอยพูดซ้ำทีละประโยค สุนทรพจน์ของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) ในพิธีฮัจญ์ครั้งนั้นนับเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย มีเนื้อหาน่าประทับใจ โดยหลายส่วนแสดงให้เห็นชัดเจนถึงเมตตาธรรมของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) และของตัวท่านเอง ดังต่อไปนี้
“ โอ้ ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังคำพูดของฉันเพราะไม่รู้ว่าฉันจะได้พบกับพวกท่าน ในโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อไร ท่านทั้งหลาย ชีวิตและทรัพย์สินของพวกท่านเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นสิ่งที่คนหนึ่งคนใดจะมาล่วงละเมิดมิได้ จนกว่าพวกท่านจะได้พบกับผู้อภิบาลเสมือนกับวันบริสุทธิ์นี้ และเดือนนี้เป็นเวลาที่ต้องห้ามสำหรับพวกท่านและเมืองนี้เป็นเมืองต้องห้ามสำหรับพวกท่านทั้งหลายเช่นกัน พวกท่านทั้งหลายจะต้องได้รับการสอบสวนจากองค์พระผู้อภิบาลของพวกท่านในกิจการงานทุกอย่างที่พวกท่านได้กระทำไว้
โอ้ ประชาชนทั้งหลายพวกท่านมีสิทธิที่ได้รับมอบหมายเหนือฝ่ายสตรีและ ฝ่ายสตรีก็มีสิทธิเหนือฝ่ายชายเช่นกันในหน้าที่ที่ท่านได้รับมอบหมาย ดังนั้นพวกท่านจงปกป้องดูแลภรรยาของพวกท่านด้วยความรักความเมตตาเถิด แน่นอนใครที่ทำได้เช่นนั้นก็เท่ากับเขาได้ปกครองดูแลภรรยาของเขาเอาไว้ให้อยู่ภายใต้การพิทักษ์รักษาของอัลลอฮ์ พวกท่านทั้งหลายจงรักษาความศรัทธาเชื่อมั่นให้คงไว้ในจิตใจของพวกท่านและจงหลีกเลี่ยงออกห่างจากเรื่องบาปกรรมและความชั่ว ดอกเบี้ย การให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเป็นสิ่งต้องห้าม สำหรับลูกหนี้ให้ส่งคืนเฉพาะเงินต้นเท่าจำนวนที่ยืมมาและดอกเบี้ยที่จำเป็นต้องถูกยกเลิกคือ ดอกเบี้ยของอับบาส อิบนุ อบูฎอลิบ (ซึ่งเป็นลุงของท่านนบีเอง)
นับแต่นี้ต่อไปเรื่องของการแก้แค้นทดแทนกันด้วยเลือดเช่นในสมัยของยุคป่าเถื่อนเป็นเรื่องต้องห้าม การอาฆาต จองล้างจองผลาญกันด้วยเลือดต้องสิ้นสุดลง เริ่มต้นด้วยเรื่องการฆาตกรรมของอิบนุรอบีอะฮ์ อิบนุ ฮาริส (Ibn Rabiah ibn Harith ) โอ้ประชาชนทั้งหลายบรรดาข้าทาสคนใช้ของท่านที่อยู่ในความดูแลของพวกท่านนั้น จงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยอาหารเช่นที่พวกท่านรับประทาน และให้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขาด้วยเครื่องนุ่งห่มที่พวกท่านใช้ หากข้าทาสเหล่านั้นได้กระทำในสิ่งที่เป็นความผิดพลาดชนิดที่ท่านไม่ปรารถนาจะอภัยให้ ก็จงแยกทางกับพวกเขาเสีย อย่าได้ทำร้ายเฆี่ยนตีทำทารุณต่อพวกเขา เพราะพวกเขาต่างเป็นบ่าวของพระองค์เช่นเดียวกับพวกเรา
โอ้ประชาชนทั้งหลาย มารร้ายนั้นได้หมดสิ้นความหวังทั้งมวลที่จะได้รับการ เคารพบูชาในดินแดนของพวกท่านแล้ว แต่กระนั้นก็ตามมันยังเป็นห่วงที่จะคอยกำหนดให้พวกท่านกระทำการอันต่ำต้อยอยู่ เพราะฉะนั้นจงระวังมันไว้เถิด เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านและศาสนทูตของท่าน โอ้ประชาชนทั้งหลาย พวกท่านจงรำลึกและจดจำในสิ่งที่ฉันพูด พวกท่านต้องรำลึกเสมอว่ามุสลิมทุกคนนั้นมีฐานะเป็นพี่น้องกัน พวกท่านทั้งหลายต่างมีความพอใจ ในสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบที่เรามีอยู่เสมอหน้ากัน พวกท่านแต่ละคนล้วนแต่เป็นสมาชิกของสังคมพี่น้องเดียวกันจงปกป้องตัวของท่าน ให้ห่างไกลจากความอยุติธรรมในทุกกรณี
ขอให้บุคคลที่อยู่ที่นี้จงนำสิ่งที่ได้ยินจากฉันไปบอกเล่าแก่บุคคลที่เขาไม่ ได้มาอยู่ ณ ที่นี้เพราะอาจเป็นไปได้ว่าคนที่ไม่ได้รับการบอกเล่านั้นอาจมีความจดจำที่ดีกว่าบุคคลที่ได้ยินไปจากฉันโดยตรงก็เป็นได้ และผู้ที่ได้รับความไว้วางใจเขาจะต้องไม่ให้ผู้ที่ไว้วางใจเขาต้องประสบความ ผิดหวัง โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายหากเมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องจากพวกท่านไปแล้วพวกท่านจงอย่า ได้หันกลับไปต่อสู่เป็นศัตรูหลั่งเลือดกัน เหมือนเช่นในยุคสมัยแห่งความโง่เขลาดังที่ได้ผ่านมา แท้จริงฉันได้มอบสิ่งหนึ่งแก่พวกท่านทั้งหลายซึ่งหากพวกท่านได้ยึดเอาไว้อย่างมั่นคงแล้ว สิ่งนั้นคืออัลกุรอาน และซุนนะฮ์ของฉัน ท่านทั้งหลายจะต้องไม่หลงออกไปสู่แนวทางที่เหลวไหลเป็นอันขาด
โอ้ ศรัทธาชนทั้งหลาย แท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านนั้นมีองค์เดียว ต้นตระกูลของพวกท่านก็สืบมาจากเชื้อสายเดียวกัน นั่นคืออาดัม และอาดัมนั้นถูกสร้างมาจากดิน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติที่สุดในหมู่พวกเจ้านั้นคือผู้ที่มีความยำเกรง มากกว่าเท่านั้น โอ้ ท่านทั้งหลายจงสดับฟังถ้อยคำของฉันให้ดี จงรู้เถิดว่ามวลมุสลิมนั้น ย่อมเป็นพี่น้องกันและจงรู้เถิดว่า บรรดามุสลิม ก็คือภราดรภาพอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีสิ่งไดที่เป็นของพี่น้องมุสลิมด้วยกันจะเป็นของมุสลิมโดยถูกต้องนอก จากว่าเขาผู้นั้นจะให้โดยเต็มใจและไม่คิดมูลค่าเพราะฉะนั้นจงอย่ากระทำการอ ยุติธรรมต่อตัวของท่านเอง
โอ้พระผู้เป็นเจ้าข้าพระองค์ได้ประกาศสัจธรรมออกเผยแพร่แล้ว โอ้องค์พระผู้อภิบาล ขอได้ทรงโปรดเป็นพยานให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด ”
ฮัจญ์ของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) ครั้งนี้นับเป็นฮัจญ์อำลา สุดท้ายท่านได้อ่านคัมภีร์อัลกุรอานบทที่ 2 อัลมาอิดะฮ์ วรรคที่ 4 ความว่า “ ในวันนี้ ข้า (อัลลอฮ์) ได้ให้ศาสนาของข้าแก่พวกเจ้าไว้อย่างครบครัน ได้มอบความเมตตาแก่พวกเจ้าอย่างครบถ้วน และข้ายินดีเลือกศาสนาอิสลามให้เป็นศาสนาของพวกเจ้า ”
(มีต่อ)