สวัสดีค่ะ เราอายุ15 กระทู้นี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่เราเคยโดน Body shaming แล้วก็อยากจะเป็นกระบอกเสียงในการต่อต้านพฤติกรรมเหล่านี้ด้วยค่ะ
เราโดนเพื่อนล้อบ่อยมากเรื่องรูปร่าง หน้าตา เพราะเราเป็นคนมีฮอร์โมนเยอะ(ที่รู้เพราะเคยไปปรึกษากับคุณหมอมาค่ะ)ทำให้เราหน้ามัน แล้วก็เป็นสิวเยอะด้วย ตอนนั้นเป็นสิวครั้งแรกตอนป.5 แล้วก็เป็นมาตลอดเลย
ประโยคที่เราได้ยินบ่อยๆเลยก็คือ
"ไปทำอะไรมาทำไมสิวเยอะจัง"
"โดนผึ้งต่อยมาเหรอตุ่มเต็มหน้าเลย"
"อะไรติดหน้าน่ะ..อ๋อ..สิวนี่เอง
เราก็รู้สึกจุกในอก เพราะหนึ่งในคนที่พูดคือเพื่อนสนิทของเราเอง แต่พวกเขาก็บอกว่าแค่ล้อเล่น ขำๆเอง เราก็ได้แต่ยิ้มแหยๆเวลาโดนล้อแบบนี้อะค่ะ
เรื่องเกิดเมื่อ 2 ปีที่แล้วค่ะ ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนที่โครงร่างใหญ่ ไหล่กว้าง หุ่นจะออกข้างเยอะหน่อยค่ะ ตอนนั้นเราสูง162 น้ำหนัก 58 แต่ด้วยความที่เป็นคนตัวใหญ่ด้วยเลยทำให้ดูเด่นกว่าคนอื่น เราโดนเพื่อนในห้อง เพื่อนสนิท แม้แต่ญาติๆกันเองก็ชอบล้อเราประจำเลยค่ะ ประมาณว่า
"เดินเบาๆหน่อยพื้นร้าวหมดแล้ว"
"อ้วนแบบนี้ไม่สวยเลย เดี๋ยวโตไปก็ไม่มีแฟนกับเขาหรอก"
"แขนย้วยเหมือนแม่ลูกอ่อนเลย"
"หุ่นเหมือนแม่พันธุ์โคนมมาก"
และอีกสารพัดคำล้อเลียนที่เราโดน เราถูกเรียกแทนชื่อว่า "อ้วน" ไปไหนมาไหนก็
"น้องอ้วน" "พี่อ้วน" เต็มไปหมดเลย จนบางครั้งเราก็พยายามหลบหน้าเวลาเจอคนรู้จัก เพราะกลัวเขาทัก
พอเริ่มเข้าม.1 เราย้ายกลับมาเรียนแถวบ้าน ที่จำฝังใจที่สุดคือครูทัก
"เดินเร็วๆหน่อย ยิ่งอ้วนๆอยู่"
แล้วเพื่อนก็พากันขำตาม เราเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว พอเจอแบบนี้ก็ยิ่งไม่มั่นใจเข้าไปใหญ่ เราเลยชอบใส่กางเกงขายาว ใส่เสื้อตัวโคร่งๆ เพื่อพรางหุ่นตัวเอง
จนวันหนึ่งเราทนไม่ไหว เลยตัดสินใจจะลดน้ำหนัก เริ่มจากเราจะไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลทุกเย็น วันละ5รอบ แล้วก็เริ่มคุมอาหาร ลดของหวาน ของทอด ของมัน
ประมาณเดือนแรกน้ำหนักลดลงไปได้3กิโล เราดีใจมาก ก็เลยเอาไปคุยกับเพื่อน แต่ก็มีเพื่อนต่างห้องคนหนึ่งนางได้ยิน ซึ่งนางไม่ค่อยชอบเราอยู่แล้ว นางก็พูดว่า
"ก็ได้แค่นี้แหละ ลดต่อไปไม่ได้หรอก"
พอได้ยินเราก็ยิ่งฮึดขึ้นอีก พอช่วงปิดเทอมเราเลยวิ่งทั้งเช้าทั้งเย็น ช่วงเช้า40นาที ตอนเย็นอีก40นาที แล้วก็ออกกำลังกายแบบคาดิโอหนักๆตามยูทูปอีก รวมๆแล้ววันหนึ่งเราออกกำลังกายประมาณ 2ชั่วโมงได้บวกกับคุมอาหารเข้มกว่าเดิม ข้าว1ทัพพี กับไข่ต้ม1ฟอง เมนูจะวนลูปอยู่แค่นี้ ตอนเย็นก็กินโยเกิร์ต
fat 0%
แต่เหมือนวันหนึ่งมันถึงจุดอิ่มตัว น้ำหนักเราเริ่มคงที่ (ช่วงนั้นหนัก 49 กิโล) หลายคนเริ่มทักว่าผอมแล้ว หุ่นดีแล้ว เราก็ยิ่งดีใจที่มีคนชม แต่ในความคิดของเราเรายังไม่พอใจในรูปร่างนี้เลย อยากผอมลงกว่านี้ อยากลีนกว่านี้
ตอนนั้นเราก็ยังทำเหมือนเดิม วิ่งเช้า-เย็น ออกกำลังกายตามยูทูป ทุกวัน ย้ำว่า ทุกวัน! เลยนะคะ แต่เพิ่มเติมคือเราทานข้าวมื้อละครึ่งทัพพี กินแต่ไข่ต้ม ไม่ทานของทอด ของแปรรูปอะไรเลย เมนูผัดก็ต้องผัดกับน้ำอย่างเดียวไม่ใส่น้ำมัน แต่ก็มีอาการข้างเคียงคือค่อนข้างอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย
แล้วพอกินน้อย+ออกกำลังกายหนัก มันไม่แปลกเลยค่ะที่น้ำหนักจะลดลง ตอนนั้นพีคที่สุดคือเราน้ำหนัก 42 เราดีใจมาก ยังมีแพลนว่าจะทำต่อไปอีก ในหัวเรายังไม่รู้ว่าจะหยุดตอนไหน แต่มันรู้สึกว่ายังไม่พอ
อยากให้หน้าท้องแบนกว่านี้ เอวเล็กกว่านี้
ไหปลาร้าที่มันโผล่อยู่แล้ว เราก็อยากให้มันชัดกว่านี้อีก
คนรอบข้างเริ่มทักว่าผอมไปแล้วนะ ผอมจนน่ากลัว ตอนนั้นแม่บอกว่าเรา ตัวเหลืองซีด ผิวแห้ง ผมสาก ไม่เรียบลื่นมีน้ำหนักเหมือนเมื่อก่อน แต่เวลาเรามองตัวเองในกระจกเรากลับไม่พบสิ่งผิดปกติเหล่านั้นเลย เรากลับอยากให้มันผอมกว่านี้อีก
เพอร์เฟ็กต์กว่านี้อีก
ตอนนั้นคือเราแบบ อะไรวะ?
พออ้วนก็ว่า พอผอมก็ยังว่าอีก ต้องการอะไร? ที่เราเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้วคือเราเหนื่อยมาก วันๆไม่อยากทำอะไรเลย มันเหมือนไม่มีแรง ไม่อยากเดินไปไหน ไม่อยากทำอะไรเลย
มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่ซื้อไส้กรอกแดงๆที่เขานึ่งขายอะค่ะมาให้เรากินข้าว เราก็บอกว่าไม่กินเพราะมันแปรรูป แต่สุดท้ายก็ต้องกินเพราะวันนั้นแม่ไม่ว่างทำกับข้าว
เราก็กินข้าวครึ่งทัพพี กับไส้กรอก1ไม้ แต่พอกินเสร็จเราก็คิดได้อีกว่ามันแปรรูป กินแล้วมันต้องอ้วน พุงเราต้องออกอีกแน่ๆเลย เราก็ใช้มือล้วงคอตัวเองให้อ้วกออกมา แล้วมันก็ออกมาจริงๆค่ะ พออ้วกแล้วเราก็ค่อยสบายใจขึ้นมานึดนึง
ร่างกายเราเริ่มอ่อนแอลง มีปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย ท้องผูก พออึออกมาก็เป็นก้อนเล็กๆแข็งๆ เหมือนอึกระต่าย ผมร่วงเป็นกระจุกทุกวัน ประจำเดือนไม่มา ปากซีดแห้ง
ร่างกายเราไม่ไหว แต่สมองของเรามันยังคงสั่งว่าให้เราทำต่อไป เราไม่เคยหยุดออกกำลังหรือคุมอาหารเลยแม้แต่วันเดียว
เพราะกลัวอ้วน
พ่อกับแม่เริ่มไม่สบายใจแล้ว แม่ร้องไห้ขอให้เราไปหาหมอ แม่ทนเห็นเราในสภาพแบบนี้ไม่ได้แล้ว เราก็ปฏิเสธบอกว่าไม่ไป ไม่ได้เป็นอะไร เพราะเรารู้ว่าถ้าเราไป หมอต้องให้เรากินเพิ่มแน่ๆ และเราก็ต้องน้ำหนักขึ้น ซึ่งเราไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น
ทุกคืนแม่จะมานอนกับเรา มานอนกอดมาชวนให้เราไปหาหมอ แม่บอกว่าเราเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต เป็นแก้วตาดวงใจ พอแม่เห็นเราเป็นแบบนี้แม่กินไม่ได้นอนไม่หลับ แม่เห็นเราทุกข์แม่ก็ยิ่งทุกข์ยิ่งกว่า เราได้ยินเสียงแม่ร้องไห้สะอื้นทุกคืนเลย
แต่เราก็ทนลูกตื้อไม่ไหวเรา บวกกับตอนนั้นร่างกายเราก็เริ่มไม่ไหวแล้วจริงๆ มันเหนื่อยมาก ก็เลยยอมไปหาหมอ ไปรับการรักษา น้ำหนักขึ้นมาตอนแรกกังวลมาก เครียดสุดๆเวลาน้ำหนักขึ้น เวลาจะกินอะไรทั้งทีก็กลัวเหลือเกิน เราต่อสู้กับตัวเองมาเป็นปีๆกว่าจะดีขึ้น
ประจำเดือนที่หายไปเป็นปีก็กลับมา แบบแปลกๆหน่อย มาเดือนละ2ครั้งบ้าง หรือ 3 เดือนครั้งบ้าง มาแบบกระปริบกระปรอย ผมเริ่มร่วงน้อยลง แต่ยังแห้งสากอยู่
จนทุกวันนี้เรากลับมาเป็นปกติได้ น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เรายังมีการกลัวทานพวกน้ำหวาน ชานมไข่มุก เบเกอรี่ เค้ก ของหวานๆทุกชนิดอยู่
เราผ่านมาได้ต้องขอบคุณตัวเอง และที่สำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ ช่วงหลังเราไปเห็นที่แม่เคยเสิร์ชในกูเกิ้ลในยูทูปเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า โรคAnorexia เยอะมาก แกดาวโหลดคลิป บทความ เบอร์โทรหมอ ไว้เยอะมากๆ
มันทำให้เราได้รู้ ว่าสุดท้ายคนที่รักและใส่ใจเราก็คือพ่อแม่ คนที่รักเรามากที่สุด
สุดท้ายนี้ เราก็อยากเป็นกระบอกเสียงถึงใครที่กำลังมีพฤติกรรมแบบนี้ให้เลิกทำเถอะนะคะ ความเข้มแข็งของจิตใจแต่ละคนไม่เท่ากัน แค่คำพูดที่คุณคิดว่าแค่ล้อเล่น สำหรับเขามันอาจหนักหนาเหมือนโลกทั้งใบหล่นทับมาเลยแหละค่ะ มันเป็นการทำลายความมั่นใจ แล้วคุณก็อาจจะกำลังเป็นฆาตกรที่มีอาวุธสังหารคือคำพูด โดยที่คุณไม่รู้ตัว
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจบนะคะ^_^
Body shaming แค่ล้อเล่นหรืออาชญากรรมทางคำพูด?
เราโดนเพื่อนล้อบ่อยมากเรื่องรูปร่าง หน้าตา เพราะเราเป็นคนมีฮอร์โมนเยอะ(ที่รู้เพราะเคยไปปรึกษากับคุณหมอมาค่ะ)ทำให้เราหน้ามัน แล้วก็เป็นสิวเยอะด้วย ตอนนั้นเป็นสิวครั้งแรกตอนป.5 แล้วก็เป็นมาตลอดเลย
ประโยคที่เราได้ยินบ่อยๆเลยก็คือ
"ไปทำอะไรมาทำไมสิวเยอะจัง"
"โดนผึ้งต่อยมาเหรอตุ่มเต็มหน้าเลย"
"อะไรติดหน้าน่ะ..อ๋อ..สิวนี่เอง
เราก็รู้สึกจุกในอก เพราะหนึ่งในคนที่พูดคือเพื่อนสนิทของเราเอง แต่พวกเขาก็บอกว่าแค่ล้อเล่น ขำๆเอง เราก็ได้แต่ยิ้มแหยๆเวลาโดนล้อแบบนี้อะค่ะ
เรื่องเกิดเมื่อ 2 ปีที่แล้วค่ะ ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนที่โครงร่างใหญ่ ไหล่กว้าง หุ่นจะออกข้างเยอะหน่อยค่ะ ตอนนั้นเราสูง162 น้ำหนัก 58 แต่ด้วยความที่เป็นคนตัวใหญ่ด้วยเลยทำให้ดูเด่นกว่าคนอื่น เราโดนเพื่อนในห้อง เพื่อนสนิท แม้แต่ญาติๆกันเองก็ชอบล้อเราประจำเลยค่ะ ประมาณว่า
"เดินเบาๆหน่อยพื้นร้าวหมดแล้ว"
"อ้วนแบบนี้ไม่สวยเลย เดี๋ยวโตไปก็ไม่มีแฟนกับเขาหรอก"
"แขนย้วยเหมือนแม่ลูกอ่อนเลย"
"หุ่นเหมือนแม่พันธุ์โคนมมาก"
และอีกสารพัดคำล้อเลียนที่เราโดน เราถูกเรียกแทนชื่อว่า "อ้วน" ไปไหนมาไหนก็
"น้องอ้วน" "พี่อ้วน" เต็มไปหมดเลย จนบางครั้งเราก็พยายามหลบหน้าเวลาเจอคนรู้จัก เพราะกลัวเขาทัก
พอเริ่มเข้าม.1 เราย้ายกลับมาเรียนแถวบ้าน ที่จำฝังใจที่สุดคือครูทัก
"เดินเร็วๆหน่อย ยิ่งอ้วนๆอยู่"
แล้วเพื่อนก็พากันขำตาม เราเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว พอเจอแบบนี้ก็ยิ่งไม่มั่นใจเข้าไปใหญ่ เราเลยชอบใส่กางเกงขายาว ใส่เสื้อตัวโคร่งๆ เพื่อพรางหุ่นตัวเอง
จนวันหนึ่งเราทนไม่ไหว เลยตัดสินใจจะลดน้ำหนัก เริ่มจากเราจะไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลทุกเย็น วันละ5รอบ แล้วก็เริ่มคุมอาหาร ลดของหวาน ของทอด ของมัน
ประมาณเดือนแรกน้ำหนักลดลงไปได้3กิโล เราดีใจมาก ก็เลยเอาไปคุยกับเพื่อน แต่ก็มีเพื่อนต่างห้องคนหนึ่งนางได้ยิน ซึ่งนางไม่ค่อยชอบเราอยู่แล้ว นางก็พูดว่า
"ก็ได้แค่นี้แหละ ลดต่อไปไม่ได้หรอก"
พอได้ยินเราก็ยิ่งฮึดขึ้นอีก พอช่วงปิดเทอมเราเลยวิ่งทั้งเช้าทั้งเย็น ช่วงเช้า40นาที ตอนเย็นอีก40นาที แล้วก็ออกกำลังกายแบบคาดิโอหนักๆตามยูทูปอีก รวมๆแล้ววันหนึ่งเราออกกำลังกายประมาณ 2ชั่วโมงได้บวกกับคุมอาหารเข้มกว่าเดิม ข้าว1ทัพพี กับไข่ต้ม1ฟอง เมนูจะวนลูปอยู่แค่นี้ ตอนเย็นก็กินโยเกิร์ต
fat 0%
แต่เหมือนวันหนึ่งมันถึงจุดอิ่มตัว น้ำหนักเราเริ่มคงที่ (ช่วงนั้นหนัก 49 กิโล) หลายคนเริ่มทักว่าผอมแล้ว หุ่นดีแล้ว เราก็ยิ่งดีใจที่มีคนชม แต่ในความคิดของเราเรายังไม่พอใจในรูปร่างนี้เลย อยากผอมลงกว่านี้ อยากลีนกว่านี้
ตอนนั้นเราก็ยังทำเหมือนเดิม วิ่งเช้า-เย็น ออกกำลังกายตามยูทูป ทุกวัน ย้ำว่า ทุกวัน! เลยนะคะ แต่เพิ่มเติมคือเราทานข้าวมื้อละครึ่งทัพพี กินแต่ไข่ต้ม ไม่ทานของทอด ของแปรรูปอะไรเลย เมนูผัดก็ต้องผัดกับน้ำอย่างเดียวไม่ใส่น้ำมัน แต่ก็มีอาการข้างเคียงคือค่อนข้างอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย
แล้วพอกินน้อย+ออกกำลังกายหนัก มันไม่แปลกเลยค่ะที่น้ำหนักจะลดลง ตอนนั้นพีคที่สุดคือเราน้ำหนัก 42 เราดีใจมาก ยังมีแพลนว่าจะทำต่อไปอีก ในหัวเรายังไม่รู้ว่าจะหยุดตอนไหน แต่มันรู้สึกว่ายังไม่พอ
อยากให้หน้าท้องแบนกว่านี้ เอวเล็กกว่านี้
ไหปลาร้าที่มันโผล่อยู่แล้ว เราก็อยากให้มันชัดกว่านี้อีก
คนรอบข้างเริ่มทักว่าผอมไปแล้วนะ ผอมจนน่ากลัว ตอนนั้นแม่บอกว่าเรา ตัวเหลืองซีด ผิวแห้ง ผมสาก ไม่เรียบลื่นมีน้ำหนักเหมือนเมื่อก่อน แต่เวลาเรามองตัวเองในกระจกเรากลับไม่พบสิ่งผิดปกติเหล่านั้นเลย เรากลับอยากให้มันผอมกว่านี้อีก
เพอร์เฟ็กต์กว่านี้อีก
ตอนนั้นคือเราแบบ อะไรวะ?
พออ้วนก็ว่า พอผอมก็ยังว่าอีก ต้องการอะไร? ที่เราเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้วคือเราเหนื่อยมาก วันๆไม่อยากทำอะไรเลย มันเหมือนไม่มีแรง ไม่อยากเดินไปไหน ไม่อยากทำอะไรเลย
มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่ซื้อไส้กรอกแดงๆที่เขานึ่งขายอะค่ะมาให้เรากินข้าว เราก็บอกว่าไม่กินเพราะมันแปรรูป แต่สุดท้ายก็ต้องกินเพราะวันนั้นแม่ไม่ว่างทำกับข้าว
เราก็กินข้าวครึ่งทัพพี กับไส้กรอก1ไม้ แต่พอกินเสร็จเราก็คิดได้อีกว่ามันแปรรูป กินแล้วมันต้องอ้วน พุงเราต้องออกอีกแน่ๆเลย เราก็ใช้มือล้วงคอตัวเองให้อ้วกออกมา แล้วมันก็ออกมาจริงๆค่ะ พออ้วกแล้วเราก็ค่อยสบายใจขึ้นมานึดนึง
ร่างกายเราเริ่มอ่อนแอลง มีปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย ท้องผูก พออึออกมาก็เป็นก้อนเล็กๆแข็งๆ เหมือนอึกระต่าย ผมร่วงเป็นกระจุกทุกวัน ประจำเดือนไม่มา ปากซีดแห้ง
ร่างกายเราไม่ไหว แต่สมองของเรามันยังคงสั่งว่าให้เราทำต่อไป เราไม่เคยหยุดออกกำลังหรือคุมอาหารเลยแม้แต่วันเดียว
เพราะกลัวอ้วน
พ่อกับแม่เริ่มไม่สบายใจแล้ว แม่ร้องไห้ขอให้เราไปหาหมอ แม่ทนเห็นเราในสภาพแบบนี้ไม่ได้แล้ว เราก็ปฏิเสธบอกว่าไม่ไป ไม่ได้เป็นอะไร เพราะเรารู้ว่าถ้าเราไป หมอต้องให้เรากินเพิ่มแน่ๆ และเราก็ต้องน้ำหนักขึ้น ซึ่งเราไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น
ทุกคืนแม่จะมานอนกับเรา มานอนกอดมาชวนให้เราไปหาหมอ แม่บอกว่าเราเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต เป็นแก้วตาดวงใจ พอแม่เห็นเราเป็นแบบนี้แม่กินไม่ได้นอนไม่หลับ แม่เห็นเราทุกข์แม่ก็ยิ่งทุกข์ยิ่งกว่า เราได้ยินเสียงแม่ร้องไห้สะอื้นทุกคืนเลย
แต่เราก็ทนลูกตื้อไม่ไหวเรา บวกกับตอนนั้นร่างกายเราก็เริ่มไม่ไหวแล้วจริงๆ มันเหนื่อยมาก ก็เลยยอมไปหาหมอ ไปรับการรักษา น้ำหนักขึ้นมาตอนแรกกังวลมาก เครียดสุดๆเวลาน้ำหนักขึ้น เวลาจะกินอะไรทั้งทีก็กลัวเหลือเกิน เราต่อสู้กับตัวเองมาเป็นปีๆกว่าจะดีขึ้น
ประจำเดือนที่หายไปเป็นปีก็กลับมา แบบแปลกๆหน่อย มาเดือนละ2ครั้งบ้าง หรือ 3 เดือนครั้งบ้าง มาแบบกระปริบกระปรอย ผมเริ่มร่วงน้อยลง แต่ยังแห้งสากอยู่
จนทุกวันนี้เรากลับมาเป็นปกติได้ น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เรายังมีการกลัวทานพวกน้ำหวาน ชานมไข่มุก เบเกอรี่ เค้ก ของหวานๆทุกชนิดอยู่
เราผ่านมาได้ต้องขอบคุณตัวเอง และที่สำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ ช่วงหลังเราไปเห็นที่แม่เคยเสิร์ชในกูเกิ้ลในยูทูปเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า โรคAnorexia เยอะมาก แกดาวโหลดคลิป บทความ เบอร์โทรหมอ ไว้เยอะมากๆ
มันทำให้เราได้รู้ ว่าสุดท้ายคนที่รักและใส่ใจเราก็คือพ่อแม่ คนที่รักเรามากที่สุด
สุดท้ายนี้ เราก็อยากเป็นกระบอกเสียงถึงใครที่กำลังมีพฤติกรรมแบบนี้ให้เลิกทำเถอะนะคะ ความเข้มแข็งของจิตใจแต่ละคนไม่เท่ากัน แค่คำพูดที่คุณคิดว่าแค่ล้อเล่น สำหรับเขามันอาจหนักหนาเหมือนโลกทั้งใบหล่นทับมาเลยแหละค่ะ มันเป็นการทำลายความมั่นใจ แล้วคุณก็อาจจะกำลังเป็นฆาตกรที่มีอาวุธสังหารคือคำพูด โดยที่คุณไม่รู้ตัว
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจบนะคะ^_^