มีหลายท่านสงสัยในลักษณะของพระนิพพาน
จึงขออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ พอสังเขป ดังนี้
นิพพาน คือจิตที่ไม่ยึดกับโลกหรือขันธ์5แล้ว
วางแล้วซึ่งขันธ์5 เปรียบเหมือนบุคคลผู้วางภาระ วางของหนักลงหมดแล้ว
ซึ่งจิตที่ถึงนิพพานแล้วหรือยังไม่ถึงนิพพานก็ตาม มีลักษณะพื้นฐานหรือองค์ประกอบ 4 อย่าง คือ
1.เอโก เป็นธาตุรู้ สามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้
2.อเคโห จิตไม่มีที่อยู่ที่แน่นอน เปลี่ยนที่อยู่ไปตามเหตุปัจจัย
3.ปภัสโร มีความสว่างไสวในตัวเอง
4.อมตโย จิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย สูญสลาย
ถามว่า เมื่อเข้านิพพานแล้ว สามารถทำอะไรได้เหมือนมนุษย์เทวดาอินทร์พรหม
ตอบว่า ได้ถ้าจะทำ แต่ว่าเมื่อจิตวางโลกวางขันธ์แล้วก็คงไม่มายุ่งเกี่ยวหรือสร้างสังขารต่างๆอีกแล้ว
เปรียบเหมือนบุคคลที่เคยแบกของหนักคงไม่คิดที่จะยกขึ้นมาให้หนักเปล่าๆ
หรือเปรียบกับบุคคลผู้ไม่คิดที่จะไปข้องเกี่ยวกับกองขี้ กองมูตรของเหม็นเน่าที่ออกมาได้แล้ว
หรือเปรียบเหมือนบุคคลผู้รู้ชัดแล้วว่าฟองน้ำที่ผุดขึ้นแล้วต้องแตกดับไปอยู่อย่างนั้น ก็คงไม่คิดที่จะไปประครองฟองน้ำนั่นไม่ให้แตกดับ
เช่นกันกับจิตที่วางโลกได้แล้ว ย่อมไม่มีความหวั่นไหวต่อโลกและขันธ์เลย
ถามว่า แล้วทำไมไม่มาช่วยคน
ตอบว่า ท่านรู้แจ้งซึ่งกรรมและผลของกรรม อยู่ที่ตัวใครตัวมันสร้างเอง ทำเอง ถ้าใครสะสมมาไม่พอ ถึงอยากช่วยก็ช่วยไม่ได้ (เช่น พระพุทธเจ้าก็ช่วยพระเทวทัติไม่ได้) และโลกในแต่ละยุคก็มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดอยู่แล้ว จิตนิพพานจึงไม่หวั่นไหวต่อโลกเลย
อาจจะมีบางกรณีที่มีกรรมร่วมกัน ท่านอาจมาปรากฏหรือมาอนุโมทนาในบางครั้ง
แล้วอยู่อย่างไร
ตอบว่า จิตที่ถึงนิพพานแล้วจะเสวยวิมุติสุขอยู่อย่างนั้น ด้วยองค์ประกอบของจิต 4อย่าง จึงมีการรับรู้ถึงวิมุติสุขได้ และจิตที่หลุดพ้นจากอำนาจกิเลสตัณหาแล้ว จึงเป็นอิสระและทรงตัวอยู่กับวิมุติสุขได้ตลอดไป
ถามว่าวิมุติสุขเป็นอย่างไร
ตอบว่า ต้องไปเข้าเองแล้วหละครับ
นิพพาน เป็นอย่างไร
จึงขออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ พอสังเขป ดังนี้
นิพพาน คือจิตที่ไม่ยึดกับโลกหรือขันธ์5แล้ว
วางแล้วซึ่งขันธ์5 เปรียบเหมือนบุคคลผู้วางภาระ วางของหนักลงหมดแล้ว
ซึ่งจิตที่ถึงนิพพานแล้วหรือยังไม่ถึงนิพพานก็ตาม มีลักษณะพื้นฐานหรือองค์ประกอบ 4 อย่าง คือ
1.เอโก เป็นธาตุรู้ สามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้
2.อเคโห จิตไม่มีที่อยู่ที่แน่นอน เปลี่ยนที่อยู่ไปตามเหตุปัจจัย
3.ปภัสโร มีความสว่างไสวในตัวเอง
4.อมตโย จิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย สูญสลาย
ถามว่า เมื่อเข้านิพพานแล้ว สามารถทำอะไรได้เหมือนมนุษย์เทวดาอินทร์พรหม
ตอบว่า ได้ถ้าจะทำ แต่ว่าเมื่อจิตวางโลกวางขันธ์แล้วก็คงไม่มายุ่งเกี่ยวหรือสร้างสังขารต่างๆอีกแล้ว
เปรียบเหมือนบุคคลที่เคยแบกของหนักคงไม่คิดที่จะยกขึ้นมาให้หนักเปล่าๆ
หรือเปรียบกับบุคคลผู้ไม่คิดที่จะไปข้องเกี่ยวกับกองขี้ กองมูตรของเหม็นเน่าที่ออกมาได้แล้ว
หรือเปรียบเหมือนบุคคลผู้รู้ชัดแล้วว่าฟองน้ำที่ผุดขึ้นแล้วต้องแตกดับไปอยู่อย่างนั้น ก็คงไม่คิดที่จะไปประครองฟองน้ำนั่นไม่ให้แตกดับ
เช่นกันกับจิตที่วางโลกได้แล้ว ย่อมไม่มีความหวั่นไหวต่อโลกและขันธ์เลย
ถามว่า แล้วทำไมไม่มาช่วยคน
ตอบว่า ท่านรู้แจ้งซึ่งกรรมและผลของกรรม อยู่ที่ตัวใครตัวมันสร้างเอง ทำเอง ถ้าใครสะสมมาไม่พอ ถึงอยากช่วยก็ช่วยไม่ได้ (เช่น พระพุทธเจ้าก็ช่วยพระเทวทัติไม่ได้) และโลกในแต่ละยุคก็มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดอยู่แล้ว จิตนิพพานจึงไม่หวั่นไหวต่อโลกเลย
อาจจะมีบางกรณีที่มีกรรมร่วมกัน ท่านอาจมาปรากฏหรือมาอนุโมทนาในบางครั้ง
แล้วอยู่อย่างไร
ตอบว่า จิตที่ถึงนิพพานแล้วจะเสวยวิมุติสุขอยู่อย่างนั้น ด้วยองค์ประกอบของจิต 4อย่าง จึงมีการรับรู้ถึงวิมุติสุขได้ และจิตที่หลุดพ้นจากอำนาจกิเลสตัณหาแล้ว จึงเป็นอิสระและทรงตัวอยู่กับวิมุติสุขได้ตลอดไป
ตอบว่า ต้องไปเข้าเองแล้วหละครับ