คิสยังจำได้ดี วันที่คิสรู้จักกับพี่แพท ผู้ชายสันโดษคนนี้ไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลย
เค้าดูนิ่งเฉยและเย็นชา แต่คิสก็เชื่อในสัญชาติญาณตัวเองว่าคิสอ่านผู้ชายคนนี้ไม่ผิดแน่
เค้าเป็นคนอบอุ่นลึกๆ ไม่มีใครรู้จักผู้ชายคนนี้เท่ากับคิสหรอก
พี่แพทเคยพูดกับคิสตั้งแต่แรกๆว่า "ปกติพี่ก็กินคนเดียว ทำอะไรคนเดียว"
นั่นทำให้ช่วงเวลาเกือบ 3 เดือนที่ผ่านมา เราสองคนมักไปกินอาหารด้วยกันที่ร้านแบบ a la carte เสมอ
แน่นอนว่าเราต่างคนต่างกิน แยกจานกัน ไม่เคยก้าวล่วงอาณาเขตจานของกันและกันมาก่อน
อำนาจอธิปไตยในเขตการกินของเราแยกกันโคตรชัดเจนยิ่งกว่ากำแพงเบอร์ลินซะอีก
คิสบอกพี่แพท ทั้งๆที่คิสก็ไม่ชอบกินอาหารแนวชาบู สุกี้ ปิ้งย่าง ยากินิคุเลยว่า...
...
"ไว้วันนึงเราไปหาอะไรกินแบบอาหารพวกนั้นกันเถอะ"
...
นิ้วคิสชี้ไปที่ร้านสุกี้ดังร้านนึง คิสคิดแค่ว่าการกินอาหารแบบนี้กับมนุษย์ sigma male อย่างพี่แพท น่าจะเป็นปสก.ชีวิตที่ดีทีเดียว
จนกระทั่งวันนี้ พี่แพทพูดขึ้นมาเองว่า "เราไปกินร้านบาร์บีคิวพลาซ่ากันมั๊ยคับ"
ให้ตายสิ เป็นประโยคที่เคลือบไปด้วยความผิดผี พี่แพททำไมถึงชวนคิสไปกินร้านแบบนี้ได้ แต่นั่นก็ดีเหมือนกัน
พี่แพทและคิสเรามักจะชอบกินอาหารคล้ายๆกัน คือกินอาหารเพื่อสุขภาพ และไอร้านนี้นี่มันโคตรจะไม่สุขภาพเอาซะเลย
นั่นทำให้เราสั่งมาแต่กองฝูงผักและสารพัดเห็ด และมีเนื้อมาแค่หนึ่งจานจิ๋วๆ มีเนื้อแค่ 4 ชิ้นเท่านั้นเอง
ใครเห็นก็คงคิดว่าเรานี่งกกันเป็นบ้า ความจริงคือเราสองคนไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์นอกจากเนื้อปลาอยู่แล้ว
คิสสั่งเนื้อจากนี้มา เพราะคิดว่าพี่แพทควรจะมีสารอาหารอะไรบ้างในมื้อเย็น ปกติพี่แพทจะกินมื้อเย็นเยอะ
พี่แพทคีบตะเกียบแบบทุลักทุเล ถึงแม้ว่าจะมีเชื้อสายจีนท่วมตัว แต่นั่นดูเหมือนว่า DNA ไม่ได้สิงอยู่ที่มือแน่ๆ
เค้าค่อยๆคีบกองทัพผักและเห็ดอย่างใจเย็น คิ้วขมวด ดูแล้วเครียดเหมือนมีเคสผ่าท้องกบอยู่ตรงหน้า
คิส "พลาด" ไปแล้วที่พาพี่แพทมาทรมานแบบนี้ ต่อไปเราคงไม่ได้กินแบบนี้กันแล้วละ
พี่แพท "สั่งเนื้อมาแค่นี้เองหรอคับ"
คิส "ค่ะ"
พี่แพท "แล้วไม่กินละคับ"
คิสคีบไปย่างบนเตาแทนคำตอบ เพราะเอาจริงๆก็ไม่รู้ว่าใครจะกินเนื้อชิ้นนี้
พี่แพทใช้ตะเกียบคีบเนื้อบนเตาสีทองและคีบมาให้ฉันในจาน
ให้ตายสิ นี้มันคือเนื้อชิ้นแรกรึป่าวนะที่พี่แพทคีบให้
ถ้าเป็นคนอื่นทำ คิสก็คงเฉยๆ ไม่ตื่นเต้นแบบนี้ แต่เพราะว่านี่คือเนื้อที่พี่แพทคีบ!! อเมซิ่งไทยแลนด์!! คนแบบพี่แพททำได้ ตี่ดิ๊ด ดี่ดิ๊ด
และพี่แพทก็ทำแบบนั้นกับเนื้ออีก 3 ชิ้นที่น่าสงสารในถาดทั้งหมด คีบ ย่าง ส่งมาให้คิส
คิสมองมันที่เยิ้มปลิ้นออกมาจากเนื้อบางๆ ทำไมมื้อก่อนๆที่กินกันมามันไม่มีฟิลลิ่งนี่ ทำไมมันดี
ทำไมแค่เนื้อชิ้นเล็กๆ ทำให้คิสรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ
คิสนึกถึงวันแรกๆที่เจอพี่แพท พี่แพทไม่ใช่ผู้ชายเลือดเย็น แต่เป็นผู้ชายที่"โคตรผู้ชาย" คือไม่มีความโรแมนติกเจือปนเลยจริงๆ
แต่มื้อนี้เค้าประจงคีบเนื้ออย่างโคตรๆตั้งใจ คิสเชื่อว่าพี่แพทไม่ได้มองว่าคิสแอบยิ้มไปกี่ครั้งในคืนนี้ แต่คิสก็ยังยิ้มอยู่แม้แต่ตอนนี้ที่พิมพ์
พี่แพทบอกว่า "คิสอ้วน" ตั้งแต่เรากินข้าวด้วยกันเกือบทุกมื้อและทุกวัน
((พี่แพทไม่ได้บูลลี่ คิสอ้วนขึ้นจริงๆน่าจะมีอย่างน้อย 3 กิโลก่อนตั้งกระทู้ตามหาพี่แพท))
และก็ยังชวนคิสกินนู่นกินนี่ทุกวัน จนคิสพูดกลับไปขำๆในมื้อนี้ว่า "นี่วางแผนฆ่าใช่ปะ"
พี่แพทยิ้มมุมปากแทนคำตอบ และนั่นก็เกินพอแล้วสำหรับคิส
"บายบายน้อนหมูที่ลงไปนอนในท้องคิส น้อนทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ"
### เมื่อว่าที่สามีวางแผนฆ่าฉันที่ร้าน bar b q พลาซ่า ###
เค้าดูนิ่งเฉยและเย็นชา แต่คิสก็เชื่อในสัญชาติญาณตัวเองว่าคิสอ่านผู้ชายคนนี้ไม่ผิดแน่
เค้าเป็นคนอบอุ่นลึกๆ ไม่มีใครรู้จักผู้ชายคนนี้เท่ากับคิสหรอก
พี่แพทเคยพูดกับคิสตั้งแต่แรกๆว่า "ปกติพี่ก็กินคนเดียว ทำอะไรคนเดียว"
นั่นทำให้ช่วงเวลาเกือบ 3 เดือนที่ผ่านมา เราสองคนมักไปกินอาหารด้วยกันที่ร้านแบบ a la carte เสมอ
แน่นอนว่าเราต่างคนต่างกิน แยกจานกัน ไม่เคยก้าวล่วงอาณาเขตจานของกันและกันมาก่อน
อำนาจอธิปไตยในเขตการกินของเราแยกกันโคตรชัดเจนยิ่งกว่ากำแพงเบอร์ลินซะอีก
คิสบอกพี่แพท ทั้งๆที่คิสก็ไม่ชอบกินอาหารแนวชาบู สุกี้ ปิ้งย่าง ยากินิคุเลยว่า...
...
"ไว้วันนึงเราไปหาอะไรกินแบบอาหารพวกนั้นกันเถอะ"
...
นิ้วคิสชี้ไปที่ร้านสุกี้ดังร้านนึง คิสคิดแค่ว่าการกินอาหารแบบนี้กับมนุษย์ sigma male อย่างพี่แพท น่าจะเป็นปสก.ชีวิตที่ดีทีเดียว
จนกระทั่งวันนี้ พี่แพทพูดขึ้นมาเองว่า "เราไปกินร้านบาร์บีคิวพลาซ่ากันมั๊ยคับ"
ให้ตายสิ เป็นประโยคที่เคลือบไปด้วยความผิดผี พี่แพททำไมถึงชวนคิสไปกินร้านแบบนี้ได้ แต่นั่นก็ดีเหมือนกัน
พี่แพทและคิสเรามักจะชอบกินอาหารคล้ายๆกัน คือกินอาหารเพื่อสุขภาพ และไอร้านนี้นี่มันโคตรจะไม่สุขภาพเอาซะเลย
นั่นทำให้เราสั่งมาแต่กองฝูงผักและสารพัดเห็ด และมีเนื้อมาแค่หนึ่งจานจิ๋วๆ มีเนื้อแค่ 4 ชิ้นเท่านั้นเอง
ใครเห็นก็คงคิดว่าเรานี่งกกันเป็นบ้า ความจริงคือเราสองคนไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์นอกจากเนื้อปลาอยู่แล้ว
คิสสั่งเนื้อจากนี้มา เพราะคิดว่าพี่แพทควรจะมีสารอาหารอะไรบ้างในมื้อเย็น ปกติพี่แพทจะกินมื้อเย็นเยอะ
พี่แพทคีบตะเกียบแบบทุลักทุเล ถึงแม้ว่าจะมีเชื้อสายจีนท่วมตัว แต่นั่นดูเหมือนว่า DNA ไม่ได้สิงอยู่ที่มือแน่ๆ
เค้าค่อยๆคีบกองทัพผักและเห็ดอย่างใจเย็น คิ้วขมวด ดูแล้วเครียดเหมือนมีเคสผ่าท้องกบอยู่ตรงหน้า
คิส "พลาด" ไปแล้วที่พาพี่แพทมาทรมานแบบนี้ ต่อไปเราคงไม่ได้กินแบบนี้กันแล้วละ
พี่แพท "สั่งเนื้อมาแค่นี้เองหรอคับ"
คิส "ค่ะ"
พี่แพท "แล้วไม่กินละคับ"
คิสคีบไปย่างบนเตาแทนคำตอบ เพราะเอาจริงๆก็ไม่รู้ว่าใครจะกินเนื้อชิ้นนี้
พี่แพทใช้ตะเกียบคีบเนื้อบนเตาสีทองและคีบมาให้ฉันในจาน
ให้ตายสิ นี้มันคือเนื้อชิ้นแรกรึป่าวนะที่พี่แพทคีบให้
ถ้าเป็นคนอื่นทำ คิสก็คงเฉยๆ ไม่ตื่นเต้นแบบนี้ แต่เพราะว่านี่คือเนื้อที่พี่แพทคีบ!! อเมซิ่งไทยแลนด์!! คนแบบพี่แพททำได้ ตี่ดิ๊ด ดี่ดิ๊ด
และพี่แพทก็ทำแบบนั้นกับเนื้ออีก 3 ชิ้นที่น่าสงสารในถาดทั้งหมด คีบ ย่าง ส่งมาให้คิส
คิสมองมันที่เยิ้มปลิ้นออกมาจากเนื้อบางๆ ทำไมมื้อก่อนๆที่กินกันมามันไม่มีฟิลลิ่งนี่ ทำไมมันดี
ทำไมแค่เนื้อชิ้นเล็กๆ ทำให้คิสรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ
คิสนึกถึงวันแรกๆที่เจอพี่แพท พี่แพทไม่ใช่ผู้ชายเลือดเย็น แต่เป็นผู้ชายที่"โคตรผู้ชาย" คือไม่มีความโรแมนติกเจือปนเลยจริงๆ
แต่มื้อนี้เค้าประจงคีบเนื้ออย่างโคตรๆตั้งใจ คิสเชื่อว่าพี่แพทไม่ได้มองว่าคิสแอบยิ้มไปกี่ครั้งในคืนนี้ แต่คิสก็ยังยิ้มอยู่แม้แต่ตอนนี้ที่พิมพ์
พี่แพทบอกว่า "คิสอ้วน" ตั้งแต่เรากินข้าวด้วยกันเกือบทุกมื้อและทุกวัน
((พี่แพทไม่ได้บูลลี่ คิสอ้วนขึ้นจริงๆน่าจะมีอย่างน้อย 3 กิโลก่อนตั้งกระทู้ตามหาพี่แพท))
และก็ยังชวนคิสกินนู่นกินนี่ทุกวัน จนคิสพูดกลับไปขำๆในมื้อนี้ว่า "นี่วางแผนฆ่าใช่ปะ"
พี่แพทยิ้มมุมปากแทนคำตอบ และนั่นก็เกินพอแล้วสำหรับคิส