JJNY : 4in1 "ก้าวไกล"จี้เปิดเผยแผนฉีดวัคซีน│ส.ภัตตาคารไทยขอเพิ่มการช่วยเหลือ│ส.คลินิกเอกชนวอนเยียวยา│น้าหมูโพสต์ฟาดรบ.

"ก้าวไกล" จี้ เปิดเผยแผนฉีดวัคซีน หลัง รพ.หลายแห่งประกาศเลื่อนการฉีด
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_6438089
 
 
“ก้าวไกล” จี้ เปิดเผยแผนฉีดวัคซีน หลัง รพ.หลายแห่งประกาศเลื่อนการฉีด ซัด “อนุทิน” เล่นใหญ่แต่ไม่มีความชัดเจน ไม่รู้ว่าวัคซีนป้องกันโควิดหรือป้องกันคนด่ากันแน่
 
เมื่อเวลา 13.10 น. วันที่ 6 มิ.ย. ที่พรรคก้าวไกล น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงสาธารณสุขได้มีประกาศออกมาว่า ในวันที่ 7 มิ.ย. จะมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ฉีดให้ประชาชน ว่า ตนได้รับแจ้งจากประชาชนใน จ.นครปฐม และอีกหลายๆ จังหวัดว่า การฉีดวัคซีนที่ได้นัดไว้ในวันที่ 8-10 มิ.ย. และวันอื่นๆ หลังจากนั้นถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะโรงพยาบาลได้รับการจัดสรรวัคซีนแอสตราเซเนกาไม่เพียงพอ
 
เช่น จ.นครปฐมได้รับการจัดสรรวัคซีนมาทั้งหมด 12,020 โดส แบ่งเป็น แอสตราเซเนกา 7,500 โดส และซิโนแวก 4,020 โดส แต่เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. หลายรพ. เช่น ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก รพ.พุทธมณฑล รพ.สามพราน ได้ประกาศเลื่อนนัดการฉีดวัคซีนเพราะมีวัคซีนเพียงพอสำหรับการฉีดแค่วันที่ 7 มิ.ย.เท่านั้น ในขณะเดียวกันก็มีโรงพยาบาลบางแห่งประกาศเลื่อนนัดการฉีดวัคซีน แต่วันถัดมากลับประกาศว่ามีวัคซีนเพียงพอ นี่เป็นการสร้างความสับสนให้ประชาชนอย่างมาก
 
น.ส.สุทธวรรณ กล่าวต่อว่า สำหรับกรุงเทพมหานคร จากรายละเอียดการจัดสรรวัคซีน 35,000 ขวด คิดเป็นประมาณ 350,000 โดส เมื่อดูจากยอดผู้ลงทะเบียนจองวัคซีนผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อม ในวันที่ 7 มิ.ย.-13 มิ.ย. พบว่าน่าจะเพียงพอ แต่ก็มีบางส่วน เช่น รพ.ในเครือบางปะกอก และรพ.ปิยเวช ที่มีประกาศเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไป ซึ่งมีคนลงทะเบียนกับรพ.ทั้งหมด 39,430 คน แต่วัคซีนที่ได้รับการจัดสรรมาก็ไม่เพียงพอ
 
“นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวในวันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่าไม่มีการเลื่อนการฉีดวัคซีน และไม่เคยคิดที่จะเลื่อน แต่สิ่งที่นายอนุทินไม่ได้บอกคือหลังวันที่ 7 มิ.ย.วัคซีนจะไม่เพียงพอ นี่เป็นการทำงานแบบผักชีโรยหน้า เล่นใหญ่แต่ไม่มีความชัดเจน ไม่ทราบว่านี่เป็นวัคซีนป้องกันโควิดหรือวัคซีนป้องกันคนด่ากันแน่” น.ส.สุทธวรรณ กล่าว
 
น.ส.สุทธวรรณ กล่าวต่อว่า รัฐบาลต้องพูดความจริงว่าตอนนี้มีปัญหาอะไร ติดขัดที่ตรงไหน ควรจะสื่อสารอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา ต้องทำให้ประชาชนมั่นใจให้ได้ ที่บอกว่าจะทยอยจัดส่งวัคซีนทุกสัปดาห์หมายความว่าการจัดส่งวัคซีน 1 ครั้ง ต้องเพียงพอต่อการฉีด 7 วัน ไม่ใช่ฉีด 1 วันแล้วหยุดไป 6 วัน แบบนี้ไม่เรียกว่าต่อเนื่อง ถ้าเป็นเช่นนี้ตอนลงทะเบียนไม่ควรให้ประชาชนจองทุกวันเป็นการหลอกให้พวกเขามีความหวัง ถ้ารู้ว่าวัคซีนไม่เพียงพอตั้งแต่แรกทำไมถึงยังประกาศว่าพร้อมฉีดไม่เลื่อนแน่นอน ตอนลงทะเบียนผ่านแอปฯหมอพร้อมตนมั่นใจว่าหมอทุกคนพร้อมปฏิการแน่นอน แต่คนที่ไม่พร้อมคือรัฐบาล ตนเห็นใจบุคลากรทางการแพทย์เป็นอย่างมากที่เจ้ากระทรวงเปลี่ยนนโยบายรายวันเช่นนี้
 
“ดิฉันขอเรียกร้องให้รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยแผนการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาและซิโนแวกอย่างชัดเจน และชี้แจงให้ประชาชนทราบว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องหรือไม่” น.ส.สุทธวรรณ กล่าว
 

 
สมาคมภัตตาคารไทย ยื่นหนังสือ รมต.คลัง ขอเพิ่มการช่วยเหลือร้านอาหาร
https://www.matichon.co.th/economy/news_2761730
 
สมาคมภัตตาคารไทย ยื่นหนังสือ รมต.คลัง ขอเพิ่มการช่วยเหลือร้านอาหาร
 
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ยื่นหนังสือถึงนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อขอเพิ่มมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหาร เนื่องจากปัญหาวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 เมื่อช่วงต้นปี 2563 ส่งผลให้ภาครัฐโดย ศบค.ต้องออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดเพื่อป้องกันสวัสดิภาพของประชาชนในประเทศ เช่น มาตรการล็อคดาวน์ ส่งผลให้สถานประกอบการต่างๆ ต้องหยุดกิจการเป็นการชั่วคราว ร้านอาหารก็เป็นหนึ่งในประเภทกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการป้องกันวิด-19 มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2563 จนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียด้านรายได้อย่างมาก
 
โดยตัวเลขผู้ประกอบการร้านอาหารขนาดกลาง-ใหญ่ (200 ตรม.ขึ้นไป) มีจำนวน 150,000 ราย และไมโครเอสเอ็มอี หรือ street food อีก 400,000 ราย ในจำนวนนี้เป็นนิติบุคคล 15,000 ราย ที่เหลือเป็นประเภทบุคคลธรรมดา ธุรกิจร้านอาหารทำรายได้ให้กับประเทศปีละไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาทมาโดยตลอด และเป็นธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง ทั้งเป็นแหล่งจ้างงาน เป็นซัพพลายเชนเชื่อมโยงไปยังผู้ผลิต ผู้ให้บริการประเภทต่างๆ
 
​แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ประกอบการร้านอาหารจำนวนไม่น้อยต้องประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักจนหลายรายต้องปิดกิจการถาวรจากวิกฤตโควิด-19 และมาตรการควบคุมการระบาดของรัฐ เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารส่วนใหญ่มีเงินทุนหมุนเวียนจำกัด และมีเงินทุนสำรองไม่เพียงพอในการประคับประคองธุรกิจในสภาวะวิกฤตที่ไม่มีใครคาดการณ์มาก่อนเช่นนี้ที่กินเวลานานกว่า 1 ปีมาแล้ว เนื่องจากปกติแล้วธุรกิจร้านอาหารจะมีกระแสเงินสดหมุนเวียนเป็นประจำ
 
ดังนั้น เมื่อรายได้ลดลงจากผลกระทบวิกฤตโควิด-19 และมาตรการควบคุมการระบาดของรัฐ ทำให้หลายร้านประสบปัญหาขาดทุนสะสมมาต่อเนื่องกอปรกับที่ผ่านมาร้านอาหารขนาดกลาง และเล็ก เข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือทางการเงินต่างๆ ด้วยติดเงื่อนไขข้อจำกัดของธนาคาร แม้รัฐบาลให้ความช่วยเหลือด้วยการให้กู้เงินผ่านธนาคารออมสิน รายละ 10,000 บาทในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาแต่ก็เป็นจำนวนไม่เพียงพอต่อการหมุนเวียนของกิจการร้านอาหาร และแม้ภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านโครงการคนละครึ่ง เราชนะ ม33 ซึ่งได้ช่วยให้เกิดการหมุนเวียน สร้างรายได้ขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายประจำวันต่างๆ ที่ร้านอาหารต้องแบกรับ ทำให้หลายร้านไม่สามารถแบกภาระต่อไปได้ ก่อให้เกิดปัญหาเลิกจ้างงาน ห่วงโซ่ซัพพลายเชนหยุดลงส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตโดยเฉพาะด้านการเกษตร เกิดภาระหนี้สินครบครัว เกิดNPLกับสถาบันการเงินต่างๆ เกิดปัญหาสังคมตามมา
 
ปัญหาที่ผ่านมาของผู้ประกอบการร้านอาหารขนาดกลางและเล็กที่เข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินของรัฐมาจากสาเหตุหลักๆ ดังนี้ 1.ติดเครดิตบูโร หรือติดเงื่อนไขประวัติหนี้เสีย เช่น เข้าโครงการพักชำระหนี้สถาบันการเงินถือว่าประวัติเสีย 2.สเตตเมนต์ไม่เข้าเงื่อนไขขอสินเชื่อ เนื่องจากบ้างร้านต้องหยุดกิจการทำให้การเดินบัญชีไม่มี 3.หลักทรัพย์ค้ำประกันไม่มีทำให้เข้าถึงเงินหลักล้านยาก (ซึ่งส่วนนี้มี บสย.ช่วยค้ำประกันตลอดที่ผ่านมา) 4.สถาบันการเงินมักจะพิจารณาลูกค้าตัวเองเป็นหลัก และเป็นลูกค้าชั้นดี ซึ่งมีศักยภาพในการประคับประคองกิจการอยู่แล้ว
 
ทั้งนี้ ทราบว่ารัฐบาลมี softloan เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการอยู่ 2 ส่วนคือจาก ธ.ออมสิน 10,000 ล้านบาท และจาก SME Bank 2 โครงการคือ LEL และ extra cash ซึ่งปัจจุบันมีวงเงินเหลือ ประมาณ 3,000 ล้านบาท แต่ผู้ประกอบการร้านอาหารไม่สามารถเข้าถึงวงเงินสินเชื่อทั้ง 2 ส่วนนี้ได้ แม้ว่าในวันที่ 7-20 มิถุนายนนี้ กระทรวงพาณิชย์จะมีการทำการจับคู่ระหว่างสถาบันการเงินกับผู้ประกอบการร้านอาหาร เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน แต่ด้วยเงื่อนไขข้อจำกัดของสถาบันการเงินก็เชื่อว่าจะเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงอีกเช่นกัน จึงมีข้อเสนอขอความอนุเคราะห์มายังท่าน เพื่อให้กระทรวงการคลังพิจารณาช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการร้านอาหารขนาดกลางและเล็กเป็นการเฉพาะให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน หรือมาตรการช่วยเหลือทางการเงินของรัฐได้อย่างทั่วถึง เพื่อให้ยังคงดำเนินกิจการต่อไปได้ ดังนี้
 
ข้อ 1. ออกมาตรการพักชำระต้น-ดอก ธนาคารและไฟแนนซ์ ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี โดยรัฐบาลจ่ายดอกเบี้ยแก่ธนาคารแทนผู้ประกอบการ
 
ข้อ 2. วงเงินเดิมที่ธนาคารของรัฐยังคงมีเหลือ ขอให้ผ่อนปรนเงื่อนไขการขอกู้ต่างๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ความเป็นจริงภายใต้วิกฤตโควิด-19 ให้เอื้อต่อการเข้าถึงผู้ประกอบการร้านอาหารขนาดกลางและเล็กทั้งที่เป็นนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา โดยวัตถุประสงค์การกู้เพื่อ
ข้อ 2.1 ขอวงเงินกู้ให้ผู้ประกอบการร้านอาหารเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายประจำของกิจการช่วง 6-12 เดือนถัดจากนี้ โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำ ผ่อน 3-5 ปี ใช้ บสย.ค้ำประกันโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์จำนอง
ข้อ 2.2 ให้ใช้ฐานการเสียภาษีตามแบบแสดงรายได้ ภงด.90 สำหรับผู้ประกอบการแบบบุคคล และ ภงด.50 สำหรับนิติบุคคลในการพิจารณาปล่อยกู้สินเชื้อดอกเบี้ยต่ำ 30% ของรายได้ในปี 2562 ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีอย่างถูกต้อง
 
ข้อ 3. ขอแบ่งวงเงินตามมาตรการพักทรัพย์พักหนี้จำนวน 2 หมื่นล้าน ให้สิทธิกับผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีสถานประกอบการเป็นของตัวเอง ซึ่งติดจำนอง
กับธนาคารได้แก้ปัญหาหนี้สินและเช่าทำธุรกิจต่อ 5 ปี ซึ่งร้านอาหารจะมีโอกาสฟื้นตัวเร็วกว่าธุรกิจประเภทอื่น
 
ข้อ 4. จัดตั้งกองทุนฟื้นฟูสนับสนุนกิจการร้านอาหาร เพื่อป้องกันการเกิดวิกฤตเช่นนี้ในอนาคตอีก โดยกองทุนนี้มีภาระกิจหลักคือการฟื้นฟู และสนับสนุนกิจการร้านอาหารให้ดำเนินกิจการต่อไปในสถานการณ์วิกฤตต่างๆ เช่น เป็นแหล่งเงินทุนสำรองค่าใช้จ่าย fix cost ต่างๆ เพื่อให้ร้านอาหารยังคงเปิดต่อไปได้ มีการจ้างงาน มีการใช้จ่ายเชื่อมโยงไปยังซัพพลายเชนต่างๆ ลดภาระของภาครัฐลงได้
 
หากกระทรวงการคลังสามารถดำเนินการช่วยเหลือได้ตามนี้ จะเป็นการช่วยต่อลมหายใจให้กับธุรกิจร้านอาหาร ต่อลมหายใจการจ้างงาน ส่งต่อกระแสเงินหมุนเวียนไปยังภาคการเกษตร ภาคบริการ และชุมชน ตามมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่