๒ ๕ ๕ ๙ วันที่ ๒ เดือน ๕ ปี ๕๙
บันทึกการเดินทางกาลครั้งหนึ่งเพิ่งนึกเขียน
สำหรับบทความต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต
ขออนุญาตบันทึกและ public เผื่อใครสนใจอ่านเล่นในวันว่าง ๆ
3
2
1
เส้นทางสายเหล็กกล้า
ก้าวแรก
มันก็แปลกดีนะกับการตัดสินใจในครั้งนี้ มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกว่าครั้งไหน อาจเป็นเพราะนี่คือครั้งแรก หรือเพราะว่าอะไรกันนะที่ทำให้เกิดความคิดนี้ รถไฟออกจากจุดตัดสินใจ ณ สถานีหัวลำโพง ความตั้งใจเดิมคิดว่าเราจะเดินทางครั้งนี้ด้วยรถไฟฟรี แต่เสี้ยววินาทีของความรู้สึกหนึ่งที่วิ่งเข้ามาในหัว ก็เปลี่ยนใจนำกระดาษใบสีแดงที่คนในประเทศนี้ให้มูลค่า ไปแลกเป็นตั๋วกระดาษสีขาวตัวอักษรสีเขียวใบหนึ่ง เสมือนว่าเราได้อำนาจสิทธิขาดว่าตลอดการเดินทางในครั้งนี้ "ที่นั่งตรงนี้เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว" หากเป็นตั๋วฟรีแล้วหละก็ นั่นหมายความว่าเราอาจจะต้องแบกหน้าไปหาที่นั่งเนียน ๆ และเมื่อใดที่เจ้าของตัวจริงเขามาเราก็ต้องลุกยื่นคืนสิทธิแก่ผู้นั้นไป หรือไม่ก็คงจะต้องยืนกันไปอย่างนี้ตลอดทาง
เพื่อนใหม่
ประสบการณ์ใหม่อาจเกิดขึ้นทันทีเพียงเราเริ่มก้าวออกจากจุดเดิมที่เคยยืน เพื่อนใหม่ความรู้ใหม่ สิ่งใหม่ ๆ มีอยู่รอบตัว การออกเดินทางในครั้งนี้ถ้าหากเปรียบเทียบเป็นหนังสักเรื่องหนึ่ง ในช่วงตอนต้นนี้ก็คงจะตั้งชื่อเรื่องว่า "มากับพระ" ระหว่างทางมีพระภิกษุท่านหนึ่งย่างเท้าก้าวขึ้นมาบนขบวนรถไฟเดียวกัน เราช่วยเอาสัมภาระของท่านขึ้นวางด้านบนที่อยู่เหนือศีรษะ ท่านจึงเอ่ยขอบคุณและทักทายถามไถ่การสนทนาเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็พอรู้ถึงประวัติความเป็นมาพอสังเขป ว่าท่านชื่อ "กุ้ง"บวชมาแล้ว 4 พรรษา และก็ได้ฟังธรรมเทศนาสนุก ๆ มาหนึ่งกัณฑ์เรื่องราวครั้งสมัยพุทธกาลก็นับเป็นความรู้ใหม่ที่ได้จากเพื่อนใหม่แปลกหน้าฆ่าเวลาไป จริง ๆ แล้วหลวงพี่ท่านมีจุดมุ่งหมายจะลงไปยังสุไหงโก-ลกแต่พอรู้ถึงจุดหมายปลายทางของเราหลวงพี่ก็เกิดจิตศรัทธาเปลี่ยนใจอยากไปกับเราด้วย ปกติคนในพื้นที่ย่อมรู้จักสถานที่ดีกว่าคนต่างพื้นที่ บุรุษผมหยิกอีกท่านก้าวเท้าขึ้นมาพร้อมสำเนียงทองแดงบ่งบอกถึงภูมิภาคที่อาศัยได้ชัดเจน นั่งลงบนเบาะตรงข้ามเพื่อนร่วมขบวนผู้ที่มาใหม่นี้มีชื่อว่า " รี่ " เป็นคนปัตตานี การสนทนากับชายแปลกหน้าคนใหม่ก็ถูกเริ่มขึ้น เรื่องราวต่าง ๆ ถูกหยิบยกขึ้นมาอยู่ในบทสนทนา
เตี๋ยวราดรี
ยามตะวันบ่ายคล้อย ชื่อสถานีแสดงผ่านป้ายหินสลักว่า “ราชบุรี” มาพร้อมกับสำเนียงของผู้คนที่ติดเหน่อนิด ๆ “ก๋วยเตี๋ยวรถไฟ 10 บาทจ้า 10 บาท” เสียงเจื้อยแจ้วของแม่ค้าพ่อค้าที่ขึ้นมาขายของบนขบวนรถไฟเมื่อจอดเทียบชานชาลายังคงดังโขมงโฉงเฉงเหมือนเคย วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ดูไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมยังคงทำให้เรารู้สึกว่าน่ารักทุกครั้งที่ได้พบเจอ จะว่าไปทุกครั้งที่มีโอกาสได้เดินทางโดยรถไฟสายใต้ สิ่งที่แทบจะพลาดไม่ได้ก็ก๋วยเตี๋ยวบนรถไฟของจังหวัดราชบุรีนี่แหละราคาเพียง 10 บาทแม้จะน้อยไปนิดตามราคา แต่ถ้าพูดถึงหากได้ลิ้มลองรสชาติแล้วก็ไม่น้อยตามปริมาณเลย
ศรัทธา
ความมืดเริ่มย่างกายเข้ามาแทนที่ เมื่อมองผ่านช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกไปยังข้างทาง ท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนสีทอแสงเป็นสีส้มอมชมพูฉายกราดสาดส่องไปทั่วท้องนภา ในไม่ช้าพระอาทิตย์กำลังจะจากไป บ้างเรียกท้องฟ้าแบบนี้ว่า “Vanilla Sky” เบื้องหน้าภิกษุ ข้างภิกษุคือหนุ่มรี่ ข้างเรานี้เป็นหนุ่มร่างใหญ่สมาชิกใหม่ที่มาจากทุ่งสง รถไฟขบวน 37 โบกี้ 6 บรรจุคนเต็มทุกที่นั่ง มีทั้งไทยพุทธ มุสลิม สตรีหลายคนคลุมฮิญาบบ่งบอกถึงรากฐานสิ่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และยังมีชาวต่างชาติอีกหลายคน เดาได้จากเสียงสนทนาโต้ตอบกันที่ดังชัดเจนว่านั่นไม่ใช้ภาษาไทย หากจะมองให้ดีบนรถไฟขบวนนี้แตกต่างมากมายหลากหลายอารยะเสียเหลือเกิน ชายวัยฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ผิวเข้มคล้ำไว้หนวดเครานั่งอยู่ทางเบาะตรงข้ามด้านซ้ายมือ พอตกเย็นก็ผุดลุกขึ้นนั่งคุกเข่าลงบนเบาะและปฏิบัติศาสนกิจของเขาโดยมิได้อายหรือกังวลว่าใครจะมองอย่างไร จับสังเกตุได้ถึงความตกใจของหญิงสาวสองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา เเต่ในขณะเดียวกันเราก็คิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นอันที่จริงก็ไม่ได้ผิดหรือไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด เขาคงเพียงต้องการแสดงความภักดีต่อศาสดาที่เขาเคารพ ศาสนกิจถูกดำเนินไปด้วยความสงบและทุกอย่างก็จบลงอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน
อัตตา
รถไฟชั้น 3 ประเภทรถด่วนพิเศษ (กรุงเทพ - สุไหงโก-ลก) ยังคงเคลื่อนมุ่งพุ่งไปยังจุดหมาย และด้วยความที่เป็นชั้น 3 ราคาประหยัด การที่จะเหยียดขาหรืองีบนอนหลับก็คงไม่สะดวกสบายมากนัก ในยามราตรีที่เข้ามาเสียงของผู้คนที่เคยจอแจนั้นเงียบลงไปแล้ว เหลือเพียงเสียงล้อเหล็กของรถไฟที่วิ่งหมุนบดลงกับราง ผสมกับเสียงลมที่ปะทะขบวนพัดลู่พุ่งแสกกระแทกหน้าผ่านหน้าต่างทำให้เริ่มรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว แต่ก็นั้นแหละรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอกับสิ่งใดเมื่อเราเลือกเองก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น แต่คิดในแง่บวกนี่แหละคือเสน่ห์ของเส้นทางนี้ที่หาไม่ได้จากเส้นทางอื่น
เช้าวันใหม่อะไร ๆ ก็เปลี่ยนแปลง เมื่อสะดุ้งตื่นพบว่าพระกุ้งเพื่อนร่วมทางเกิดเปลี่ยนใจไม่ได้ไปกับเราแล้ว เพราะติดธุระที่จังหวัดนครศรีธรรมราชจำเป็นต้องลงก่อน สองสาวเมื่อเย็นก็ได้ลงไปแล้วที่สุราษฎร์ธานี และหนุ่มทุ่งสงก็กำลังลุกเดิน
จากไป ทุกอย่างมีเริ่มต้นมีจุดจบ เมื่อพบก็มีจากเหลือไว้เพียงเศษซากของความทรงจำ และในไม่ช้าทุกอย่างก็กลับมาสู่จุดเริ่มต้น "ตนเอง"
ลุงขี้เต๊ะ
ช่วงเช้าอากาศค่อนข้างเย็นสองข้างทางเริ่มเห็นเป็นสีเขียวรางๆ บ้างแล้ว เสียงนกกาเหว่าดังสะท้อนภูเขาดังเว้า ๆ ผสมกับกับเสียงนกกระจิบดังเพราะพริ้งเพลินหู หากคุณเคยจิบกาแฟตอนเศร้าที่ไหนว่าเด็ด ถ้าได้มาลองกาแฟบนรถไฟชุดละ 20 บาทนี้ มันก็พอทำให้ใจเหงา ๆ อุ่นขึ้นมาบ้างอย่างบอกไม่ถูก "สถานีพัทลุง ที่นี่สถานีพัทลุง" เพลง ลัง ของมาลีวันน่าก็ดังแว่วเข้ามาอยู่ในหัวทันทีที่ได้ยินเสียงประกาศนี้ เมื่อรถไฟจอดสนิทผู้คนเริ่มเดินขึ้นลงขวักไขว่และความวุ่นวายนั้นมาพร้อมกับผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งในชุดขาวพร้อมนาฬิกาเรือนทองที่ข้อมือ ผมสีขาวที่มากกว่าสีดำบ่งบอกว่าได้ล่วงเลยจากวัยหนุ่มมาสักระยะนึงแล้ว แต่ท่าทางยังคงดูภูมิฐานอย่างเห็นได้ชัด เดินมุ่งตรงมานั่งยังที่ที่เคยเป็นของชายที่ปฏิบัติศาสนกิจเมื่อเย็นวาน หลังจากที่เขาได้หายตัวไปจากรถไฟตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อยู่ ๆ ลุงแกก็ชวนคุณป้าที่นั่งอยู่เบาะข้าง ๆ เราคุย คำพูดทีเล่นทีจริงมีอยู่ในบทสนทนานั้นราวกับหมาหยอกไก่ ประเด็นคือ เรากำลังพูดคุยกับป้าที่กล่าวถึงอยู่ แกชื่อป้านิด ขึ้นมาพัทลุงเพื่อมาหาน้องชายซึ่งเป็นหมออยู่ที่นี่ แต่ลุงขี้เต๊ะผู้มาใหม่ก็แทรกกลางระหว่างบทสนทนาของเราชวนป้าไปคุยเอาดื้อ ๆ เราก็ได้แต่มองแล้วก็ขำ เอา ๆ ยอมใจคนแก่
ตื่นเต้น
9:00 น. รถไฟเข้าชานชาลาชุมทางหาดใหญ่ รถจอดอยู่นานพอสมควรเพื่อหลบทางให้รถไฟอีกขบวนผ่านไปก่อน มีการตรวจตั๋วอีกครั้งโดยเจ้าหน้าที่รถไฟในชุดสีกากี ผู้โดยสารในขบวนเริ่มบางตาลงเพราะได้ทยอยลงตามจุดหมายของตนไปบ้างแล้ว ก่อนเข้าสถานีจะนะ นาทีตื่นเต้นก็เกิดขึ้น พี่ทหารในชุดเครื่องแบบลายพรางท่าทางองอาจคนแรกปรากฏกายพร้อมปืน M16 อยู่กลางขบวนรถไฟและไม่ถึงหนึ่งอึดใจก็มีมาเพิ่มอีกเกือบ 10 นาย ประกาศขอตรวจกระเป๋าของผู้โดยสารทุกใบอย่างแข็งขัน ในสถานการณ์ที่รู้สึกตึงเครียดใบหน้าของพี่ทหารยังพอมีรอยยิ้มที่เป็นมิตรทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อรู้ว่านี่เป็นเพียงการตรวจตามปกติเพื่อความปลอดภัยก็โล่งใจ ตอนแรกก็คิดว่า “นั่งไง เอาแล้ว” เกือบได้ตื่นเต้นแล้ว
ความหวัง
เวลา 11:00 น. รถไฟเข้าจอดเทียบชานชาลาโคกโพธิ์ หรือสถานีรถไฟปัตตานี ถึงสักทีสินะสถานีที่หมาย ที่นี่สินะจังหวัดปัตตานี ตึกรามบ้านเรือนที่นี่ก็ไม่ได้แปลกตาไปกว่าที่คิด ผู้คนก็ดูไม่ได้น่ากลัวอย่างจินตนาการ ต่างก็ยังดำเนินวิถีชีวิตเป็นปกติอย่างจังหวัดอื่นที่เห็นได้ทั่วไป ขณะที่เรายังยืนเงอะงะหาหนทางอยู่ ลุงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาสอบถามถึงวัตถุประสงค์ของการมาอาจจะเพราะเห็นได้ชัดว่าเป็นคนต่างถิ่น พร้อมทั้งหยิบยื่นข้อเสนอที่จะพาเราไปยังที่หมายด้วยการตีเป็นมูลค่าในราคา 600 บาท เราเองก็ไม่เคยมาที่นี่แถมยังแบ็คแพ็คมาด้วย เงินติดตัวมาก็มีไม่เยอะเลยปฏิเสธไปก่อน ความหวังที่จะไปยังจุดหมายปลายทางอย่างที่ตั้งใจเริ่มยากขึ้นเข้าไปทุกที อุปสรรคใด ๆ ไม่อาจหยุดยั้งหากจิตใจเรานั้นยังคงเข้มแข็ง เหมือนฟ้าประทานความหวังมาให้ได้ถูกจังหวะในขณะที่ความหวังเหมือนกำลังจะริบหรี่ ป้าแม่บ้านท่าทางใจดีประจำสถานีได้ก้าวเข้ามาพร้อมกับอธิบายวิธีการเดินทางไปยังที่หมายที่เป็นความตั้งใจของการมาในครั้งนี้นั่นคือ การได้มากราบนมัสการหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ จังหวัดปัตตานี และแนะนำให้ไปให้ไปไหว้ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในเมืองก่อนเพราะไหน ๆ ก็มาแล้วจะได้ไม่เสียเที่ยว แล้วค่อยต่อรถจากในเมืองไปยังวัดช้างให้ต่อไป พร้อมเน้นย้ำกับเราว่า "30 บาทเท่านั้นนะหนู ถ้าเกินกว่านี้อย่าไป" "ความไม่รู้อาจนำไปสู่การเสียรู้"
[CR] ลุยเดี่ยว ปัตตานี
๒ ๕ ๕ ๙ วันที่ ๒ เดือน ๕ ปี ๕๙
บันทึกการเดินทางกาลครั้งหนึ่งเพิ่งนึกเขียน
สำหรับบทความต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต
ขออนุญาตบันทึกและ public เผื่อใครสนใจอ่านเล่นในวันว่าง ๆ
3
2
1
เส้นทางสายเหล็กกล้า
ก้าวแรก
มันก็แปลกดีนะกับการตัดสินใจในครั้งนี้ มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกว่าครั้งไหน อาจเป็นเพราะนี่คือครั้งแรก หรือเพราะว่าอะไรกันนะที่ทำให้เกิดความคิดนี้ รถไฟออกจากจุดตัดสินใจ ณ สถานีหัวลำโพง ความตั้งใจเดิมคิดว่าเราจะเดินทางครั้งนี้ด้วยรถไฟฟรี แต่เสี้ยววินาทีของความรู้สึกหนึ่งที่วิ่งเข้ามาในหัว ก็เปลี่ยนใจนำกระดาษใบสีแดงที่คนในประเทศนี้ให้มูลค่า ไปแลกเป็นตั๋วกระดาษสีขาวตัวอักษรสีเขียวใบหนึ่ง เสมือนว่าเราได้อำนาจสิทธิขาดว่าตลอดการเดินทางในครั้งนี้ "ที่นั่งตรงนี้เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว" หากเป็นตั๋วฟรีแล้วหละก็ นั่นหมายความว่าเราอาจจะต้องแบกหน้าไปหาที่นั่งเนียน ๆ และเมื่อใดที่เจ้าของตัวจริงเขามาเราก็ต้องลุกยื่นคืนสิทธิแก่ผู้นั้นไป หรือไม่ก็คงจะต้องยืนกันไปอย่างนี้ตลอดทาง
เพื่อนใหม่
ประสบการณ์ใหม่อาจเกิดขึ้นทันทีเพียงเราเริ่มก้าวออกจากจุดเดิมที่เคยยืน เพื่อนใหม่ความรู้ใหม่ สิ่งใหม่ ๆ มีอยู่รอบตัว การออกเดินทางในครั้งนี้ถ้าหากเปรียบเทียบเป็นหนังสักเรื่องหนึ่ง ในช่วงตอนต้นนี้ก็คงจะตั้งชื่อเรื่องว่า "มากับพระ" ระหว่างทางมีพระภิกษุท่านหนึ่งย่างเท้าก้าวขึ้นมาบนขบวนรถไฟเดียวกัน เราช่วยเอาสัมภาระของท่านขึ้นวางด้านบนที่อยู่เหนือศีรษะ ท่านจึงเอ่ยขอบคุณและทักทายถามไถ่การสนทนาเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็พอรู้ถึงประวัติความเป็นมาพอสังเขป ว่าท่านชื่อ "กุ้ง"บวชมาแล้ว 4 พรรษา และก็ได้ฟังธรรมเทศนาสนุก ๆ มาหนึ่งกัณฑ์เรื่องราวครั้งสมัยพุทธกาลก็นับเป็นความรู้ใหม่ที่ได้จากเพื่อนใหม่แปลกหน้าฆ่าเวลาไป จริง ๆ แล้วหลวงพี่ท่านมีจุดมุ่งหมายจะลงไปยังสุไหงโก-ลกแต่พอรู้ถึงจุดหมายปลายทางของเราหลวงพี่ก็เกิดจิตศรัทธาเปลี่ยนใจอยากไปกับเราด้วย ปกติคนในพื้นที่ย่อมรู้จักสถานที่ดีกว่าคนต่างพื้นที่ บุรุษผมหยิกอีกท่านก้าวเท้าขึ้นมาพร้อมสำเนียงทองแดงบ่งบอกถึงภูมิภาคที่อาศัยได้ชัดเจน นั่งลงบนเบาะตรงข้ามเพื่อนร่วมขบวนผู้ที่มาใหม่นี้มีชื่อว่า " รี่ " เป็นคนปัตตานี การสนทนากับชายแปลกหน้าคนใหม่ก็ถูกเริ่มขึ้น เรื่องราวต่าง ๆ ถูกหยิบยกขึ้นมาอยู่ในบทสนทนา
เตี๋ยวราดรี
ยามตะวันบ่ายคล้อย ชื่อสถานีแสดงผ่านป้ายหินสลักว่า “ราชบุรี” มาพร้อมกับสำเนียงของผู้คนที่ติดเหน่อนิด ๆ “ก๋วยเตี๋ยวรถไฟ 10 บาทจ้า 10 บาท” เสียงเจื้อยแจ้วของแม่ค้าพ่อค้าที่ขึ้นมาขายของบนขบวนรถไฟเมื่อจอดเทียบชานชาลายังคงดังโขมงโฉงเฉงเหมือนเคย วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ดูไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมยังคงทำให้เรารู้สึกว่าน่ารักทุกครั้งที่ได้พบเจอ จะว่าไปทุกครั้งที่มีโอกาสได้เดินทางโดยรถไฟสายใต้ สิ่งที่แทบจะพลาดไม่ได้ก็ก๋วยเตี๋ยวบนรถไฟของจังหวัดราชบุรีนี่แหละราคาเพียง 10 บาทแม้จะน้อยไปนิดตามราคา แต่ถ้าพูดถึงหากได้ลิ้มลองรสชาติแล้วก็ไม่น้อยตามปริมาณเลย
ศรัทธา
ความมืดเริ่มย่างกายเข้ามาแทนที่ เมื่อมองผ่านช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกไปยังข้างทาง ท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนสีทอแสงเป็นสีส้มอมชมพูฉายกราดสาดส่องไปทั่วท้องนภา ในไม่ช้าพระอาทิตย์กำลังจะจากไป บ้างเรียกท้องฟ้าแบบนี้ว่า “Vanilla Sky” เบื้องหน้าภิกษุ ข้างภิกษุคือหนุ่มรี่ ข้างเรานี้เป็นหนุ่มร่างใหญ่สมาชิกใหม่ที่มาจากทุ่งสง รถไฟขบวน 37 โบกี้ 6 บรรจุคนเต็มทุกที่นั่ง มีทั้งไทยพุทธ มุสลิม สตรีหลายคนคลุมฮิญาบบ่งบอกถึงรากฐานสิ่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และยังมีชาวต่างชาติอีกหลายคน เดาได้จากเสียงสนทนาโต้ตอบกันที่ดังชัดเจนว่านั่นไม่ใช้ภาษาไทย หากจะมองให้ดีบนรถไฟขบวนนี้แตกต่างมากมายหลากหลายอารยะเสียเหลือเกิน ชายวัยฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ผิวเข้มคล้ำไว้หนวดเครานั่งอยู่ทางเบาะตรงข้ามด้านซ้ายมือ พอตกเย็นก็ผุดลุกขึ้นนั่งคุกเข่าลงบนเบาะและปฏิบัติศาสนกิจของเขาโดยมิได้อายหรือกังวลว่าใครจะมองอย่างไร จับสังเกตุได้ถึงความตกใจของหญิงสาวสองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา เเต่ในขณะเดียวกันเราก็คิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นอันที่จริงก็ไม่ได้ผิดหรือไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด เขาคงเพียงต้องการแสดงความภักดีต่อศาสดาที่เขาเคารพ ศาสนกิจถูกดำเนินไปด้วยความสงบและทุกอย่างก็จบลงอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน
อัตตา
รถไฟชั้น 3 ประเภทรถด่วนพิเศษ (กรุงเทพ - สุไหงโก-ลก) ยังคงเคลื่อนมุ่งพุ่งไปยังจุดหมาย และด้วยความที่เป็นชั้น 3 ราคาประหยัด การที่จะเหยียดขาหรืองีบนอนหลับก็คงไม่สะดวกสบายมากนัก ในยามราตรีที่เข้ามาเสียงของผู้คนที่เคยจอแจนั้นเงียบลงไปแล้ว เหลือเพียงเสียงล้อเหล็กของรถไฟที่วิ่งหมุนบดลงกับราง ผสมกับเสียงลมที่ปะทะขบวนพัดลู่พุ่งแสกกระแทกหน้าผ่านหน้าต่างทำให้เริ่มรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว แต่ก็นั้นแหละรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอกับสิ่งใดเมื่อเราเลือกเองก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น แต่คิดในแง่บวกนี่แหละคือเสน่ห์ของเส้นทางนี้ที่หาไม่ได้จากเส้นทางอื่น
เช้าวันใหม่อะไร ๆ ก็เปลี่ยนแปลง เมื่อสะดุ้งตื่นพบว่าพระกุ้งเพื่อนร่วมทางเกิดเปลี่ยนใจไม่ได้ไปกับเราแล้ว เพราะติดธุระที่จังหวัดนครศรีธรรมราชจำเป็นต้องลงก่อน สองสาวเมื่อเย็นก็ได้ลงไปแล้วที่สุราษฎร์ธานี และหนุ่มทุ่งสงก็กำลังลุกเดิน
จากไป ทุกอย่างมีเริ่มต้นมีจุดจบ เมื่อพบก็มีจากเหลือไว้เพียงเศษซากของความทรงจำ และในไม่ช้าทุกอย่างก็กลับมาสู่จุดเริ่มต้น "ตนเอง"
ลุงขี้เต๊ะ
ช่วงเช้าอากาศค่อนข้างเย็นสองข้างทางเริ่มเห็นเป็นสีเขียวรางๆ บ้างแล้ว เสียงนกกาเหว่าดังสะท้อนภูเขาดังเว้า ๆ ผสมกับกับเสียงนกกระจิบดังเพราะพริ้งเพลินหู หากคุณเคยจิบกาแฟตอนเศร้าที่ไหนว่าเด็ด ถ้าได้มาลองกาแฟบนรถไฟชุดละ 20 บาทนี้ มันก็พอทำให้ใจเหงา ๆ อุ่นขึ้นมาบ้างอย่างบอกไม่ถูก "สถานีพัทลุง ที่นี่สถานีพัทลุง" เพลง ลัง ของมาลีวันน่าก็ดังแว่วเข้ามาอยู่ในหัวทันทีที่ได้ยินเสียงประกาศนี้ เมื่อรถไฟจอดสนิทผู้คนเริ่มเดินขึ้นลงขวักไขว่และความวุ่นวายนั้นมาพร้อมกับผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งในชุดขาวพร้อมนาฬิกาเรือนทองที่ข้อมือ ผมสีขาวที่มากกว่าสีดำบ่งบอกว่าได้ล่วงเลยจากวัยหนุ่มมาสักระยะนึงแล้ว แต่ท่าทางยังคงดูภูมิฐานอย่างเห็นได้ชัด เดินมุ่งตรงมานั่งยังที่ที่เคยเป็นของชายที่ปฏิบัติศาสนกิจเมื่อเย็นวาน หลังจากที่เขาได้หายตัวไปจากรถไฟตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อยู่ ๆ ลุงแกก็ชวนคุณป้าที่นั่งอยู่เบาะข้าง ๆ เราคุย คำพูดทีเล่นทีจริงมีอยู่ในบทสนทนานั้นราวกับหมาหยอกไก่ ประเด็นคือ เรากำลังพูดคุยกับป้าที่กล่าวถึงอยู่ แกชื่อป้านิด ขึ้นมาพัทลุงเพื่อมาหาน้องชายซึ่งเป็นหมออยู่ที่นี่ แต่ลุงขี้เต๊ะผู้มาใหม่ก็แทรกกลางระหว่างบทสนทนาของเราชวนป้าไปคุยเอาดื้อ ๆ เราก็ได้แต่มองแล้วก็ขำ เอา ๆ ยอมใจคนแก่
ตื่นเต้น
9:00 น. รถไฟเข้าชานชาลาชุมทางหาดใหญ่ รถจอดอยู่นานพอสมควรเพื่อหลบทางให้รถไฟอีกขบวนผ่านไปก่อน มีการตรวจตั๋วอีกครั้งโดยเจ้าหน้าที่รถไฟในชุดสีกากี ผู้โดยสารในขบวนเริ่มบางตาลงเพราะได้ทยอยลงตามจุดหมายของตนไปบ้างแล้ว ก่อนเข้าสถานีจะนะ นาทีตื่นเต้นก็เกิดขึ้น พี่ทหารในชุดเครื่องแบบลายพรางท่าทางองอาจคนแรกปรากฏกายพร้อมปืน M16 อยู่กลางขบวนรถไฟและไม่ถึงหนึ่งอึดใจก็มีมาเพิ่มอีกเกือบ 10 นาย ประกาศขอตรวจกระเป๋าของผู้โดยสารทุกใบอย่างแข็งขัน ในสถานการณ์ที่รู้สึกตึงเครียดใบหน้าของพี่ทหารยังพอมีรอยยิ้มที่เป็นมิตรทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อรู้ว่านี่เป็นเพียงการตรวจตามปกติเพื่อความปลอดภัยก็โล่งใจ ตอนแรกก็คิดว่า “นั่งไง เอาแล้ว” เกือบได้ตื่นเต้นแล้ว
ความหวัง
เวลา 11:00 น. รถไฟเข้าจอดเทียบชานชาลาโคกโพธิ์ หรือสถานีรถไฟปัตตานี ถึงสักทีสินะสถานีที่หมาย ที่นี่สินะจังหวัดปัตตานี ตึกรามบ้านเรือนที่นี่ก็ไม่ได้แปลกตาไปกว่าที่คิด ผู้คนก็ดูไม่ได้น่ากลัวอย่างจินตนาการ ต่างก็ยังดำเนินวิถีชีวิตเป็นปกติอย่างจังหวัดอื่นที่เห็นได้ทั่วไป ขณะที่เรายังยืนเงอะงะหาหนทางอยู่ ลุงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาสอบถามถึงวัตถุประสงค์ของการมาอาจจะเพราะเห็นได้ชัดว่าเป็นคนต่างถิ่น พร้อมทั้งหยิบยื่นข้อเสนอที่จะพาเราไปยังที่หมายด้วยการตีเป็นมูลค่าในราคา 600 บาท เราเองก็ไม่เคยมาที่นี่แถมยังแบ็คแพ็คมาด้วย เงินติดตัวมาก็มีไม่เยอะเลยปฏิเสธไปก่อน ความหวังที่จะไปยังจุดหมายปลายทางอย่างที่ตั้งใจเริ่มยากขึ้นเข้าไปทุกที อุปสรรคใด ๆ ไม่อาจหยุดยั้งหากจิตใจเรานั้นยังคงเข้มแข็ง เหมือนฟ้าประทานความหวังมาให้ได้ถูกจังหวะในขณะที่ความหวังเหมือนกำลังจะริบหรี่ ป้าแม่บ้านท่าทางใจดีประจำสถานีได้ก้าวเข้ามาพร้อมกับอธิบายวิธีการเดินทางไปยังที่หมายที่เป็นความตั้งใจของการมาในครั้งนี้นั่นคือ การได้มากราบนมัสการหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ จังหวัดปัตตานี และแนะนำให้ไปให้ไปไหว้ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในเมืองก่อนเพราะไหน ๆ ก็มาแล้วจะได้ไม่เสียเที่ยว แล้วค่อยต่อรถจากในเมืองไปยังวัดช้างให้ต่อไป พร้อมเน้นย้ำกับเราว่า "30 บาทเท่านั้นนะหนู ถ้าเกินกว่านี้อย่าไป" "ความไม่รู้อาจนำไปสู่การเสียรู้"
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้