(0) Ep.4 2017 ลงไปให้ใต้กว่าเดิม
ครั้งหนึ่งหลังจากดูหนัง Into the wild จบบางครั้งภาพยนต์ก็เป็นอินสปายให้ปถุชนอย่างเราที่เข้าถึงอารมณ์อะไรบางอย่างและทำตามอย่างบ้าคลั่ง วันนั้นเป็นวันคล้ายเกิดตัดสินใจเก็บกระเป๋า และหยิบแบงค์เทา ๆ ไป 2 ใบ เราจะเดินทางลงใต้ไปไหว้หลวงปู่ทวดเพียงลำพัง ตามบทความที่เคยเขียนไว้เมื่อนานมาแล้ว “
ลุยเดี่ยว ปัตตานี” แต่รอบนี้เราไม่ได้ไปคนเดียวเพราะพี่ที่ทำงานเขาชวนเที่ยวเราก็เช่นเคยตอบรับไปด้วยอย่างง่ายดาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้“ปล.บทความนี้ได้ร่างดราฟไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2560 เลยนำมาบรรจุใน Series กระทู้ของ pantip นี้ได้พอดี ดังนั้นเพื่อให้คงความเป็นตัวเองไว้ในแบบวันนั้น จะพยายามไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการเขียนใดๆ”
(๑) เส้นทางสายเหล็กกล้า 171
เดินทางจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่รักยิ่ง มุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟบางซื่อใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งชั่วโมง นาฬิกาบอกเวลา 12.30 น. กระเป๋าเป้สัมภาระถูกยัดลงที่กระโปรงหลังรถ Taxi คำถามตามเคย “ไปเที่ยวไหนกันครับ เพื่อเป็นการตัดปัญหาที่จะมีคำถามอีกมากมายตามมา แม้จะผิดศีลข้อ 4 ก็ตาม “ไปนครศรีธรรมราชครับ” ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างที่คิดไว้ไม่น่าจะมีคำถามใดถามต่อ แต่ก็นะ “วันนี้วันจันทร์ ไม่ทำงานเหรอครับ”
(๒) ตู้นอนที่ 28
สำหรับรถไฟแล้ว ผมเคยทำตั้งแต่นั่งมองจนกระทั่งใช้บริการทั้งรถไฟฟรี ชั้น3 ชั้น2 แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกสำหรับตู้นอน จินตนาการไม่อาจหยุดยั้งภาพรถไฟแบบตู้นอนที่เข้ามาในหัวอย่างมากมาย แต่ความจริงแล้วดีกว่าที่คิดแฮะ “นั่งมองกัน นอนสองชั้น” น่าจะเห็นภาพขึ้นหรือป่าว กระจกบานใหญ่ทำให้เห็นทิวทัศน์ข้างทาง แต่อย่างเดียวที่ยังไม่คุ้นชินคือเสียงของล้อที่บดกับทางเหล็กที่อยู่กับพื้น อีกทั้งสายลมที่มากระแทกหน้า และความเหนียวตัวที่เคยสัมผัสนั้นหายไป
(๓) คนตรงข้าม
จะมีกี่ครั้งที่ลืมตาตื่นนอนตอนเช้าแล้วไม่เห็นเพดานคอนโด ห้องเช่า เเต่เช้านี้เมื่อมองไปทางด้านซ้ายมือ ข้างทางเขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้และทิวเขา นาข้าวสีเขียวและธรรมชาติที่สวยงาม แต่วันดีๆ แบบนี้จะต้องผ่านไปอย่างรวดเร็ว เกิดสงสารน้องแปลกหน้าที่นั่งมาด้วยกัน (จนตอนนี้ยังไม่รู้จักชื่อเลยด้วยซ้ำ) เพราะน้องเขาตีตั๋วนอนชั้นบนมาซึ่งด้านบนมันจะไม่เห็นวิวทิวทัศน์อะไรเลย เพราะคงเป็นคนดีมากเกินไป (ชมตัวเอง) เลยสลัดทิ้งความสวยงามแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาเก็บเตียง เพื่อให้น้องเขาลงมานั่งเห็นวิวแบบเราบ้าง
(๔) คนดีชอบแก้ไข..ไก่หาดใหญ่ขอแก้ตัว
09.00 น.รถไฟหัวเสียจอดเปลี่ยนที่ชุมทางหาดใหญ่พอดี ถ้าพูดถึงหาดใหญ่คุณคิดถึงอะไร ?...ถ้าเป็นผมก็คงนึกถึง ซอยตัว U (แค่ผ่านไปเฉยๆ) และอีกอย่างคงจะไม่พูดถึงไม่ได้เพราะมีอยู่เกือบทุกที่นั้นก็คือ “ไก่ทอดหาดใหญ่” นานมาแล้วที่ได้มาที่นี่และเคยมาลิ้มรสแบบ original แต่ปรากฏว่าร้านที่กินมันไม่อร่อยอย่างที่คิด มาครั้งนี้เลยคิดว่าเอาน่าจะลองให้มันชัดเจนไปเลยเพื่อย้ำเตือนในความจริง และหญิงสาววัย 40 ก็ได้นำสิ่งที่ต้องการมาพร้อมกับเสียงแจ๋วๆ เรียกลูกค้า ก็เลยจัดมา 2 น่อง กับอีก 1 สะโพก ข้าวเหนียว 3 ห่อ ราคา 120 บาท เราสามคนถึงกับมองหน้ากันเลยทีเดียว แต่ด้วยว่าความหิวมันทำให้ต้องไปต่อเลยบรรเลงจัดการฟาดให้เรียบ และก็พบว่า.... “รอดตัวไปเจ้าไก่ทอดหาดใหญ่”
(๕) Fast hole
ครั้งสุดท้ายที่คุณขึ้นรถไฟคือเมื่อไหร่....ผมว่านอกจากจะประหยัดกว่าเครื่องบิน ปลอดภัยกว่ารถทัวร์ ได้ความชิกชิวตามแบบฉบับวัยรุ่น วัยทำงาน วัยอะไรก็แล้วแต่ ถึงแม้จะมีคนพูดในแง่ลบ ต่างๆ นาๆ ผมก็ยังชอบนั่งรถไฟ เพราะมันมีอะไรให้ตื่นเต้นตลอด การเดินทางที่แสนยาวนานนั้นคงนึกถึงว่าครั้งสุดท้ายที่คุณได้ทำธุระหนักในห้องน้ำเมื่อไหร่ถ้าเป็นผมจะทำทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน เพราะเมื่อคุณย่างขาขึ้นบนรถไฟคุณจะมีสิทธิเลือกห้อง สุขา สุโข แบบยองๆ หรือแบบชักโครกก็มี (แล้วผมก็นึกขึ้นต่อไปอีกว่าทำไมมันถึงเรียกชักโครก ผมได้คำตอบตอนขึ้นรถไฟขบวนนี้ และจะ Remember ไว้เลยผมคิดว่ามันมาจากเสียง คุณคิดเหมือนกันหรือป่าว เพราะเวลาเรากดน้ำมันจะดังโครกคราก...
(๖) เพื่อนใหม่
คุณเคยต้องเริ่มคุยกับคนที่คุณไม่เคยรู้จักเลยบ่อยแค่ไหน ต้องเริ่มผูกมิตรหรือทำความรู้จักกับคนอื่นบ่อย ๆ บ้างหรือป่าว... ไม่ช้ารถไฟก็ถึงชานชาลา ป้ายตัวใหญ่เด่นชัด “สถานียะลา” ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่นับถือศาสนาอิสลามดูได้จากการแต่งตัวของหญิงและชาย ภายในสถานีมีเครื่องแสกนคล้ายกับในห้างและมีทหารยืนอยู่เป็นจุดๆ ถือว่าครั้งนี้มายังไม่เจอทหารชุดลาดตระเวนบนรถไฟเข้าตรวจเหมือนครั้งที่แล้วที่ผมมาปัตตานีคนเดียว ซึ่งมีเหตุการณ์ให้น่าจดจำเลยทีเดียว
เพื่อนใหม่ที่รู้จักจะเรียกว่าเพื่อนก็คงจะไม่ได้เพราะเขาเป็นเพื่อนของรุ่นพี่ก็ต้องเรียกพี่นั้นแหละ พี่ฟา ชื่อของหญิงสาวผู้พบกันใหม่และเป็นคนพื้นที่ยะลา ในแผนการจะเป็นผู้เดินทางไปตามหาหมอกแห่งขุนเขาฆูนุงซิลีปัสด้วยกัน แต่พี่เขาติดธุระด่วนเลยอาสาไปแค่ส่งพวกเราที่รถตู้ที่จะไปแทน (แต่เดียวพี่เขาจะมามีส่วนสำคัญในจังหวัดถัดไป)
(
๗) เรื่องระทึก ๑๐๐ โค้ง ๑,๐๐๐ เลี้ยว
ขึ้นรถตู้จากยะลามุ่งสู่ กม. 28 เขาฆูนุงซิลีปัต กม. 28 คือจุดที่ห่างจาก อำเภอเบตง 28 กิโลเมตร โดยปกติคนที่นี่เขาจะเรียกสถานที่ที่จะไปโดยใช้หลักการนับระยะห่างจากอำเภอเบตง โดยจุดหมายของเรานั้นก็จะลงที่ กม. 28 นี้แหละ แต่จะให้แคบกว่านี้คือ เราจะไปหาคนที่จะพาเราขึ้นเขาต่อ เขารออยู่ที่ร้าน pizza กม. 28 รถตู้โดยสารแบบประจำทาง ราคา 120 บาทต่างเริ่มมีผู้มาจับจองพื้นที่ของตัวเอง หลังจากจ่ายค่าตั๋วเสร็จภายในรถมีผู้คนหลากหลายทั้ง ไทยพุทธ มุสลิม พระภิกษุ คนแก่ ยันเด็กน้อย รถออกจากคิวรถตู้ประมาณ 14.00 น. แต่ต้องวิ่งไปรอรับคนที่จองทางโทรศัพท์ไว้ อีกเกือบครึ่งชั่วโมง สายแน่ๆ เวลาที่เราต้องขึ้นเขาประมาณ 16.00 น
หนำซ้ำรถมุ่งตรงไปยังปั๊มน้ำมันเพื่อเติมแก๊ส ผมนั่งอยู่ที่เบาะแถวก่อนหลังสุดตรงทางเดิน ทางซ้ายมือเป็นพระภิกษุ ด้านขวาเป็นพี่ที่มาด้วยกัน ด้านหลังเป็นชายวัยกลางคนและลูกสาวสองคน (ชายที่เราต้องไปรอแกเกือบครึ่งชั่วโมงนั้นแหละ) ในขณะนั้นอยู่ดี ๆ ก็มีกลิ่นแก๊สซึ่งคาดว่าเกิดจากที่ตอนเติมแล้วมีกลิ่นเข้ามาในรถ พระภิกษุก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง แก๊สรั่ว แก๊สรั่ว !!! คนในรถต่างตื่นตระหนกมองหน้ากัน ผมหละนึกทันทีว่าท่านจีวรจะปลิวก่อนเสียแล้ว โชคดีที่กลิ่นนั้นก็ค่อย ๆ หายไปทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ...
(๘) มาพักผ่อนจริงๆ นะ
คุณคิดว่าการพักผ่อนคืออะไร... การนอนอยู่ที่ห้องตากแอร์เย็นๆ ดูหนังฟังเพลง เดินเที่ยวในห้างสรรพสินค้า การไปนอนโรงแรมหรู อยู่ริมสระว่ายน้ำ ผมเองก็อยากทำอย่างนั้นเช่นกัน แต่ก็นั้นแหละการพักผ่อนของแต่ละคนก็แตกต่างกันตามสไตล์ เวลา 16.40 น. รถพี่ที่ติดต่อไว้ที่ร้านพิซซ่ามาส่งยังที่หมาย “เดี่ยวน้องต้องต่อรถ 4x4 และเดินเท้าต่อขึ้นไปบนยอดเขานะครับระยะทางประมาณ 500 เมตรเอง” อ้าวเฮ้ย !!! ไม่เหมือนที่เข้าใจนี้หว่า... ผมถึงกับมองหน้าพี่ที่มาด้วยกันคือเข้าใจว่ารถจอดก็ถึงเลย แบบที่อ่านมาใน pantip พี่เขาก็ถึงกับหัวเราะ "อันนั้นมันอีกเขานึงครับน้อง" ส่วนที่นี่ก็ดูทะเลหมอกได้แต่จะต้องเดินเท้าครับ... ภาพอันแสนสบายของผมดับวูบเลย แต่ก็ไม่ได้อะไรเพราะการพักผ่อนก็แบบนี้แหละ
(๙) ทวีคูณ
ข่าวร้ายอีกข่าวก็มาทันที รถ 4x4 ที่จะพาขึ้นไปไม่สามารถไปได้แล้ว เนื่องจากฝนตกหนักทางมันลื่นเกินไป จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ไซค์ยางตะขาบจะพาเราโลดแล่นไปบนทางดินลูกรังที่กว้างไม่เกิน 3 เมตร ข้างขวามือเป็นภูเขาสูงทางซ้ายมือเป็นเหว...ใช่ครับเหวลึกไปจนสุดสายตา ทำได้แค่นั่งเกร็งกันจนปวดแขน รถวิ่งไปข้างหน้าบางจุดยังไปต่อด้วยพละกำลังขาที่แข็งแรงของพี่คนนำทางประคองรถให้ไม่ล้มตกไปเบื้องล่าง
พื้นเปียกเฉอะแฉะเป็นหลุมน้ำขังสีกาแฟลัดเลาะไปตามไหลเขา ไปกันจนถึงทางที่รถไม่สามารถจะเข้าไปต่อได้และต้องเดินเท้าต่อ แสงแดดที่อ่อนลงบอกว่าเวลา 18.00 น. (ตามนาฬิกาที่ข้อมือ) 3 นักพิชิต กับ 2 ผู้นำทางพากันเดินเท้ากันต่อไปยังทางเบื้องหน้า เขาสูงชันท่ามกลางสายฝนที่ตกซ้ำเหมือนให้ช้ำใจยิ่งทำให้เดินยากเข้าไปใหญ่ ลำพังธรรมดาก็เดินยากมากอยู่แล้ว ด้วยความเหนื่อยล้าจากการนั่งรถไฟมากว่า 20 ชั่วโมง และเส้นทางคดเคี้ยวบนรถตู้กว่าจะมาถึง เราได้แต่บอกกับตัวเองว่า “อีกไม่นานก็ถึง อีกไม่นานก็ถึง เพราะยังไงก็ยังมีปลายทาง” การเดินทางแข่งขันกับแสงของพระอาทิตย์ที่กำลังหมดไปเรื่อยๆ ได้แต่ถามกลับตัวเองว่า “นี้คือมาพักผ่อนใช่ไหม”
(๑๐) พุธที่ 11 ตุลาคม 2560 “นกหรือไม่นก”
คุณเคยโทษนั่นโทษนี่เวลาที่อะไรไม่ดั่งใจนึกหรือป่าว โทษฟ้า โทษฝน โทษลม โทษนก... หลังจากที่เมื่อคืนไปคล้องช้างเผือกบนท้องฟ้าที่ยอดเขามาแล้วซึ่งเมฆค่อนข้างเยอะ (โทษอีกแล้ว) ก็เป็นอันว่าได้แค่ช้างน้อยมาแทน เช้านี้ก็เป็นอีกความหวังหนึ่งที่เราจะไปจับเมฆและหมอก ณ ยอดเขาฆูนุงซิลีปัส เวลา 5.30 น. เปิดเต็นท์ออกมา ตัวอยู่ท่ามกลางสายหมอกหนาเสียงน้ำหยดกระทบหลังคาผ้าใบเหมือนฝนตก พื้นที่บริเวณที่กางเต็นท์ถูกห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ เนื่องจากเมื่อคืนมาถึงก็ฟ้ามืดไปแล้วจึงไม่เห็นสถานที่ เพราะที่นี่ไม่มีไฟฟ้าและไมีมีน้ำประปา ทางเดินที่เราจะขึ้นไปในเช้านี้ชันกว่า 70 องศาได้ (ดีนะเมื่อคืนไม่ได้ขึ้นไป) เป็นหินชันพอให้จับปีนป่ายไปได้แต่สองข้างทางนี้เป็นหุบเหวลงไป แต่ด้วยความหนาของหมอกก็พอจะทำให้เราพอจะมองไม่เหวจึงไม่เสียวมาก
การรอคอยมันช่างแสนนานเสียจริง สำหรับคนที่รอก็น่าจะรู้ดีหมอกยังคงหนาต่อไปไหนหละทะเลหมอกที่เป็นปุยนุ่น มีเพียงนกตัวน้อยที่บินว่อนในเวหา เสมือนมันกำลังเย้ยหยันเรา “เจ้าพวกมานุด นก นก นก แน่” ถ้าหากเป็นคุณจะทำไง ถอดใจหรือเอาหินปาเจ้านกดี แต่ในทันทีที่สายลมพัดผ่านแสงจากพระอาทิตย์ฉายสีส้มขึ้นบนขอบฟ้า...เราก็ยังไม่เจอปุยนุ่นที่รอคอย...แต่ทันทีที่เงยหน้าอีกครั้งลมหนึ่งวูบพัดหมอกที่ฟุ้งกระจายหายไป คงเหลือเพียงไว้แต่ทะเลหมอกที่เป็นปุยนุ่นรอบตัว 360 องศา ในห่วงเวลานั้นแทบอยากจะโกนให้ลั่นฟ้าว่า ฮึฮึ ข้าไม่นกนะเว้ย !!!
[CR] บันทึกไม่ลับฉบับ public ใต้สุดเเดนสยาม เบตง - ฆูนุงซิลีปัส - ยะลา - ปัตตานี
ครั้งหนึ่งหลังจากดูหนัง Into the wild จบบางครั้งภาพยนต์ก็เป็นอินสปายให้ปถุชนอย่างเราที่เข้าถึงอารมณ์อะไรบางอย่างและทำตามอย่างบ้าคลั่ง วันนั้นเป็นวันคล้ายเกิดตัดสินใจเก็บกระเป๋า และหยิบแบงค์เทา ๆ ไป 2 ใบ เราจะเดินทางลงใต้ไปไหว้หลวงปู่ทวดเพียงลำพัง ตามบทความที่เคยเขียนไว้เมื่อนานมาแล้ว “ลุยเดี่ยว ปัตตานี” แต่รอบนี้เราไม่ได้ไปคนเดียวเพราะพี่ที่ทำงานเขาชวนเที่ยวเราก็เช่นเคยตอบรับไปด้วยอย่างง่ายดาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(๑) เส้นทางสายเหล็กกล้า 171
เดินทางจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่รักยิ่ง มุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟบางซื่อใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งชั่วโมง นาฬิกาบอกเวลา 12.30 น. กระเป๋าเป้สัมภาระถูกยัดลงที่กระโปรงหลังรถ Taxi คำถามตามเคย “ไปเที่ยวไหนกันครับ เพื่อเป็นการตัดปัญหาที่จะมีคำถามอีกมากมายตามมา แม้จะผิดศีลข้อ 4 ก็ตาม “ไปนครศรีธรรมราชครับ” ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างที่คิดไว้ไม่น่าจะมีคำถามใดถามต่อ แต่ก็นะ “วันนี้วันจันทร์ ไม่ทำงานเหรอครับ”
(๒) ตู้นอนที่ 28
สำหรับรถไฟแล้ว ผมเคยทำตั้งแต่นั่งมองจนกระทั่งใช้บริการทั้งรถไฟฟรี ชั้น3 ชั้น2 แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกสำหรับตู้นอน จินตนาการไม่อาจหยุดยั้งภาพรถไฟแบบตู้นอนที่เข้ามาในหัวอย่างมากมาย แต่ความจริงแล้วดีกว่าที่คิดแฮะ “นั่งมองกัน นอนสองชั้น” น่าจะเห็นภาพขึ้นหรือป่าว กระจกบานใหญ่ทำให้เห็นทิวทัศน์ข้างทาง แต่อย่างเดียวที่ยังไม่คุ้นชินคือเสียงของล้อที่บดกับทางเหล็กที่อยู่กับพื้น อีกทั้งสายลมที่มากระแทกหน้า และความเหนียวตัวที่เคยสัมผัสนั้นหายไป
(๓) คนตรงข้าม
จะมีกี่ครั้งที่ลืมตาตื่นนอนตอนเช้าแล้วไม่เห็นเพดานคอนโด ห้องเช่า เเต่เช้านี้เมื่อมองไปทางด้านซ้ายมือ ข้างทางเขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้และทิวเขา นาข้าวสีเขียวและธรรมชาติที่สวยงาม แต่วันดีๆ แบบนี้จะต้องผ่านไปอย่างรวดเร็ว เกิดสงสารน้องแปลกหน้าที่นั่งมาด้วยกัน (จนตอนนี้ยังไม่รู้จักชื่อเลยด้วยซ้ำ) เพราะน้องเขาตีตั๋วนอนชั้นบนมาซึ่งด้านบนมันจะไม่เห็นวิวทิวทัศน์อะไรเลย เพราะคงเป็นคนดีมากเกินไป (ชมตัวเอง) เลยสลัดทิ้งความสวยงามแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาเก็บเตียง เพื่อให้น้องเขาลงมานั่งเห็นวิวแบบเราบ้าง
(๔) คนดีชอบแก้ไข..ไก่หาดใหญ่ขอแก้ตัว
09.00 น.รถไฟหัวเสียจอดเปลี่ยนที่ชุมทางหาดใหญ่พอดี ถ้าพูดถึงหาดใหญ่คุณคิดถึงอะไร ?...ถ้าเป็นผมก็คงนึกถึง ซอยตัว U (แค่ผ่านไปเฉยๆ) และอีกอย่างคงจะไม่พูดถึงไม่ได้เพราะมีอยู่เกือบทุกที่นั้นก็คือ “ไก่ทอดหาดใหญ่” นานมาแล้วที่ได้มาที่นี่และเคยมาลิ้มรสแบบ original แต่ปรากฏว่าร้านที่กินมันไม่อร่อยอย่างที่คิด มาครั้งนี้เลยคิดว่าเอาน่าจะลองให้มันชัดเจนไปเลยเพื่อย้ำเตือนในความจริง และหญิงสาววัย 40 ก็ได้นำสิ่งที่ต้องการมาพร้อมกับเสียงแจ๋วๆ เรียกลูกค้า ก็เลยจัดมา 2 น่อง กับอีก 1 สะโพก ข้าวเหนียว 3 ห่อ ราคา 120 บาท เราสามคนถึงกับมองหน้ากันเลยทีเดียว แต่ด้วยว่าความหิวมันทำให้ต้องไปต่อเลยบรรเลงจัดการฟาดให้เรียบ และก็พบว่า.... “รอดตัวไปเจ้าไก่ทอดหาดใหญ่”
(๕) Fast hole
ครั้งสุดท้ายที่คุณขึ้นรถไฟคือเมื่อไหร่....ผมว่านอกจากจะประหยัดกว่าเครื่องบิน ปลอดภัยกว่ารถทัวร์ ได้ความชิกชิวตามแบบฉบับวัยรุ่น วัยทำงาน วัยอะไรก็แล้วแต่ ถึงแม้จะมีคนพูดในแง่ลบ ต่างๆ นาๆ ผมก็ยังชอบนั่งรถไฟ เพราะมันมีอะไรให้ตื่นเต้นตลอด การเดินทางที่แสนยาวนานนั้นคงนึกถึงว่าครั้งสุดท้ายที่คุณได้ทำธุระหนักในห้องน้ำเมื่อไหร่ถ้าเป็นผมจะทำทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน เพราะเมื่อคุณย่างขาขึ้นบนรถไฟคุณจะมีสิทธิเลือกห้อง สุขา สุโข แบบยองๆ หรือแบบชักโครกก็มี (แล้วผมก็นึกขึ้นต่อไปอีกว่าทำไมมันถึงเรียกชักโครก ผมได้คำตอบตอนขึ้นรถไฟขบวนนี้ และจะ Remember ไว้เลยผมคิดว่ามันมาจากเสียง คุณคิดเหมือนกันหรือป่าว เพราะเวลาเรากดน้ำมันจะดังโครกคราก...
(๖) เพื่อนใหม่
คุณเคยต้องเริ่มคุยกับคนที่คุณไม่เคยรู้จักเลยบ่อยแค่ไหน ต้องเริ่มผูกมิตรหรือทำความรู้จักกับคนอื่นบ่อย ๆ บ้างหรือป่าว... ไม่ช้ารถไฟก็ถึงชานชาลา ป้ายตัวใหญ่เด่นชัด “สถานียะลา” ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่นับถือศาสนาอิสลามดูได้จากการแต่งตัวของหญิงและชาย ภายในสถานีมีเครื่องแสกนคล้ายกับในห้างและมีทหารยืนอยู่เป็นจุดๆ ถือว่าครั้งนี้มายังไม่เจอทหารชุดลาดตระเวนบนรถไฟเข้าตรวจเหมือนครั้งที่แล้วที่ผมมาปัตตานีคนเดียว ซึ่งมีเหตุการณ์ให้น่าจดจำเลยทีเดียว
เพื่อนใหม่ที่รู้จักจะเรียกว่าเพื่อนก็คงจะไม่ได้เพราะเขาเป็นเพื่อนของรุ่นพี่ก็ต้องเรียกพี่นั้นแหละ พี่ฟา ชื่อของหญิงสาวผู้พบกันใหม่และเป็นคนพื้นที่ยะลา ในแผนการจะเป็นผู้เดินทางไปตามหาหมอกแห่งขุนเขาฆูนุงซิลีปัสด้วยกัน แต่พี่เขาติดธุระด่วนเลยอาสาไปแค่ส่งพวกเราที่รถตู้ที่จะไปแทน (แต่เดียวพี่เขาจะมามีส่วนสำคัญในจังหวัดถัดไป)
(๗) เรื่องระทึก ๑๐๐ โค้ง ๑,๐๐๐ เลี้ยว
ขึ้นรถตู้จากยะลามุ่งสู่ กม. 28 เขาฆูนุงซิลีปัต กม. 28 คือจุดที่ห่างจาก อำเภอเบตง 28 กิโลเมตร โดยปกติคนที่นี่เขาจะเรียกสถานที่ที่จะไปโดยใช้หลักการนับระยะห่างจากอำเภอเบตง โดยจุดหมายของเรานั้นก็จะลงที่ กม. 28 นี้แหละ แต่จะให้แคบกว่านี้คือ เราจะไปหาคนที่จะพาเราขึ้นเขาต่อ เขารออยู่ที่ร้าน pizza กม. 28 รถตู้โดยสารแบบประจำทาง ราคา 120 บาทต่างเริ่มมีผู้มาจับจองพื้นที่ของตัวเอง หลังจากจ่ายค่าตั๋วเสร็จภายในรถมีผู้คนหลากหลายทั้ง ไทยพุทธ มุสลิม พระภิกษุ คนแก่ ยันเด็กน้อย รถออกจากคิวรถตู้ประมาณ 14.00 น. แต่ต้องวิ่งไปรอรับคนที่จองทางโทรศัพท์ไว้ อีกเกือบครึ่งชั่วโมง สายแน่ๆ เวลาที่เราต้องขึ้นเขาประมาณ 16.00 น
หนำซ้ำรถมุ่งตรงไปยังปั๊มน้ำมันเพื่อเติมแก๊ส ผมนั่งอยู่ที่เบาะแถวก่อนหลังสุดตรงทางเดิน ทางซ้ายมือเป็นพระภิกษุ ด้านขวาเป็นพี่ที่มาด้วยกัน ด้านหลังเป็นชายวัยกลางคนและลูกสาวสองคน (ชายที่เราต้องไปรอแกเกือบครึ่งชั่วโมงนั้นแหละ) ในขณะนั้นอยู่ดี ๆ ก็มีกลิ่นแก๊สซึ่งคาดว่าเกิดจากที่ตอนเติมแล้วมีกลิ่นเข้ามาในรถ พระภิกษุก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง แก๊สรั่ว แก๊สรั่ว !!! คนในรถต่างตื่นตระหนกมองหน้ากัน ผมหละนึกทันทีว่าท่านจีวรจะปลิวก่อนเสียแล้ว โชคดีที่กลิ่นนั้นก็ค่อย ๆ หายไปทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ...
(๘) มาพักผ่อนจริงๆ นะ
คุณคิดว่าการพักผ่อนคืออะไร... การนอนอยู่ที่ห้องตากแอร์เย็นๆ ดูหนังฟังเพลง เดินเที่ยวในห้างสรรพสินค้า การไปนอนโรงแรมหรู อยู่ริมสระว่ายน้ำ ผมเองก็อยากทำอย่างนั้นเช่นกัน แต่ก็นั้นแหละการพักผ่อนของแต่ละคนก็แตกต่างกันตามสไตล์ เวลา 16.40 น. รถพี่ที่ติดต่อไว้ที่ร้านพิซซ่ามาส่งยังที่หมาย “เดี่ยวน้องต้องต่อรถ 4x4 และเดินเท้าต่อขึ้นไปบนยอดเขานะครับระยะทางประมาณ 500 เมตรเอง” อ้าวเฮ้ย !!! ไม่เหมือนที่เข้าใจนี้หว่า... ผมถึงกับมองหน้าพี่ที่มาด้วยกันคือเข้าใจว่ารถจอดก็ถึงเลย แบบที่อ่านมาใน pantip พี่เขาก็ถึงกับหัวเราะ "อันนั้นมันอีกเขานึงครับน้อง" ส่วนที่นี่ก็ดูทะเลหมอกได้แต่จะต้องเดินเท้าครับ... ภาพอันแสนสบายของผมดับวูบเลย แต่ก็ไม่ได้อะไรเพราะการพักผ่อนก็แบบนี้แหละ
ข่าวร้ายอีกข่าวก็มาทันที รถ 4x4 ที่จะพาขึ้นไปไม่สามารถไปได้แล้ว เนื่องจากฝนตกหนักทางมันลื่นเกินไป จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ไซค์ยางตะขาบจะพาเราโลดแล่นไปบนทางดินลูกรังที่กว้างไม่เกิน 3 เมตร ข้างขวามือเป็นภูเขาสูงทางซ้ายมือเป็นเหว...ใช่ครับเหวลึกไปจนสุดสายตา ทำได้แค่นั่งเกร็งกันจนปวดแขน รถวิ่งไปข้างหน้าบางจุดยังไปต่อด้วยพละกำลังขาที่แข็งแรงของพี่คนนำทางประคองรถให้ไม่ล้มตกไปเบื้องล่าง
พื้นเปียกเฉอะแฉะเป็นหลุมน้ำขังสีกาแฟลัดเลาะไปตามไหลเขา ไปกันจนถึงทางที่รถไม่สามารถจะเข้าไปต่อได้และต้องเดินเท้าต่อ แสงแดดที่อ่อนลงบอกว่าเวลา 18.00 น. (ตามนาฬิกาที่ข้อมือ) 3 นักพิชิต กับ 2 ผู้นำทางพากันเดินเท้ากันต่อไปยังทางเบื้องหน้า เขาสูงชันท่ามกลางสายฝนที่ตกซ้ำเหมือนให้ช้ำใจยิ่งทำให้เดินยากเข้าไปใหญ่ ลำพังธรรมดาก็เดินยากมากอยู่แล้ว ด้วยความเหนื่อยล้าจากการนั่งรถไฟมากว่า 20 ชั่วโมง และเส้นทางคดเคี้ยวบนรถตู้กว่าจะมาถึง เราได้แต่บอกกับตัวเองว่า “อีกไม่นานก็ถึง อีกไม่นานก็ถึง เพราะยังไงก็ยังมีปลายทาง” การเดินทางแข่งขันกับแสงของพระอาทิตย์ที่กำลังหมดไปเรื่อยๆ ได้แต่ถามกลับตัวเองว่า “นี้คือมาพักผ่อนใช่ไหม”
(๑๐) พุธที่ 11 ตุลาคม 2560 “นกหรือไม่นก”
คุณเคยโทษนั่นโทษนี่เวลาที่อะไรไม่ดั่งใจนึกหรือป่าว โทษฟ้า โทษฝน โทษลม โทษนก... หลังจากที่เมื่อคืนไปคล้องช้างเผือกบนท้องฟ้าที่ยอดเขามาแล้วซึ่งเมฆค่อนข้างเยอะ (โทษอีกแล้ว) ก็เป็นอันว่าได้แค่ช้างน้อยมาแทน เช้านี้ก็เป็นอีกความหวังหนึ่งที่เราจะไปจับเมฆและหมอก ณ ยอดเขาฆูนุงซิลีปัส เวลา 5.30 น. เปิดเต็นท์ออกมา ตัวอยู่ท่ามกลางสายหมอกหนาเสียงน้ำหยดกระทบหลังคาผ้าใบเหมือนฝนตก พื้นที่บริเวณที่กางเต็นท์ถูกห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ เนื่องจากเมื่อคืนมาถึงก็ฟ้ามืดไปแล้วจึงไม่เห็นสถานที่ เพราะที่นี่ไม่มีไฟฟ้าและไมีมีน้ำประปา ทางเดินที่เราจะขึ้นไปในเช้านี้ชันกว่า 70 องศาได้ (ดีนะเมื่อคืนไม่ได้ขึ้นไป) เป็นหินชันพอให้จับปีนป่ายไปได้แต่สองข้างทางนี้เป็นหุบเหวลงไป แต่ด้วยความหนาของหมอกก็พอจะทำให้เราพอจะมองไม่เหวจึงไม่เสียวมาก
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้