เมื่อต้องส่งคุณพ่อวัย 70+ไปผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ เท่ากับ…ส่งไปตาย !!??

สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขออนุญาตแทนตัวเองว่าเรานะคะ เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ที่พาคุณพ่อซึ่งอายุค่อนข้างมากบวกกับมีโรคแทรกซ้อนเยอะเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ เนื่องจากมีหินปูนเกาะที่ลิ้นหัวใจมากเกินไป ซึ่ง ณ เวลานั้นมันเป็นช่วงเวลาที่เครียด อึดอัด และตัดสินใจค่อนข้างยากมากๆๆๆๆ เหตุผลก็ตามหัวกระทู้เลยค่ะ 

วินาทีนั้นเราทำได้เพียงหวังว่าการตัดสินใจของเรา... จะไม่ใช่การหยิบยื่นความตาย!! ให้กับคุณพ่อของเราเอง... 

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ปัจจุบันเราทำธุรกิจส่วนตัวขายส่งเสื้อผ้าเด็กอยู่ที่โบ๊เบ๊ ส่วนคุณพ่อเราอยู่ที่ต่างจังหวัด ช่วงที่เกิดเรื่องเป็นช่วงปลายปีที่แล้ว (2563) คุณพ่อเราอายุ 73 ปี ก่อนหน้านี้สุขภาพโดยรวมของคุณพ่อค่อนข้างแข็งแรงแต่ในช่วงหลัง ๆ คุณพ่อเริ่มมีปัญหาเรื่องปอด วัณโรค เพราะสูบบุหรี่และดื่มเหล้าเยอะ 
อาการเริ่มแรกของคุณพ่อเลยคือรับประทานอาหารไม่ได้แล้วก็ร่างกายอ่อนแรงมาก จนต้องเข้าโรงพยาบาล (ตามสิทธิการรักษาที่ต่างจังหวัด)ซึ่งคุณหมอตรวจเจอภาวะไตทำงานผิดปกติ แล้วก็มีภาวะน้ำท่วมปอดและถุงลมโป่งพองค่ะ ก็เข้าใจว่าเป็นเพราะสมัยก่อนคุณพ่อสูบบุหรี่กับดื่มเหล้าเยอะก็คิดว่ารักษาตามอาการที่ว่านี้ตามกระบวนการไป

ผ่านไปได้ไม่นานคุณหมอโทรก็มาให้ไปหาด่วน!!! เราก็ตกใจคิดว่าทำไมโทรตามด่วนขนาดนั้น ก็รีบขับรถไปที่โรงพยาบาลทันทีคุณหมอบอกว่าคุณพ่อมีอาการเยอะมากและค่อนข้างหนักหลายอย่าง และที่สำคัญก็คือคุณหมอตรวจพบหินปูนเกาะหัวใจมากเกินไป!!จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจว่ามันหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?

คุณหมอก็ถามว่าจะส่งคุณพ่อผ่าตัดมั้ยลองปรึกษาญาติพี่น้องดูเพราะคุณพ่อมีอาการรุนแรงมากเราก็ตกใจมาก ...แต่ที่ช็อกยิ่งกว่านั้น !!! คุณหมอบอกว่าจะดีกว่ามั้ยถ้าให้เขาอยู่ไปอย่างนี้จะมีอายุยืนกว่า ถ้าผ่าเลยก็มีสิทธิ์เสี่ยงนะ คุณพ่ออาจจะไม่ได้กลับมา...เท่านั้นแหละค่ะ เราก็อึ้งไปเลย!!หันไปมองพ่อก็น้ำตาไหลนี่อาการพ่อเราหนักแล้วนะ แล้วเราทำอะไรไม่ได้แล้วเหรอ?จะปล่อยให้เขาอยู่เฉย ๆ หมดลมหายใจไปเองอย่างนั้นเหรอ? หรือถ้าเราส่งเขาไปผ่าตัดเหมือนเราส่งเขาไปตายเหรอ!!??ตอนนั้นหมอยังย้ำอีกว่าถ้าปล่อยเขาไว้ เขาอาจมีอายุที่ยืนนานกว่า แต่ก็อาจจะไปเลย...เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ณ เวลานี้สิ่งที่เราเห็นคือพ่อดูทรมานมาก นั่งไม่ได้ นอนไม่ได้ คือดูแล้วก็คงจะอยู่ได้ไม่กี่วัน แล้วเราจะปล่อยไว้แบบนี้เหรอ? พ่อทรมานนะ!!อารมณ์ตอนนั้นเครียดมากค่ะ คือมันมืดทุกด้านเลย ประมาณว่าจะปล่อยก็รอความตาย จะส่งไปผ่าตัดก็เสี่ยงส่งไปตาย โอ๊ยน้ำตาไหล คือไม่มีทางเลยเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนเราคงรู้สึกแย่และรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่นอน

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ด้วยความที่เราต้องการทางเลือกอื่นที่คิดว่าจะเป็นผลดีกับคุณพ่อมากที่สุด เลยตัดสินใจลองติดต่อไปโรงพยาบาลอีกที่หนึ่ง แต่ที่นี่ก็เข้าถึงคุณหมอค่อนข้างยาก ต้องนัดไว้ล่วงหน้านานมาก ถ้าคุณพ่อจะได้คิวผ่าตัดต้องนัดประมาณ 3 -4 เดือนเลย ซึ่งในเคสของคุณพ่อก็รอไม่ได้ เพราะทุกวินาทีหมายถึงความเป็นความตายของพ่อเรา 

หลังจากนั้นเราพยายามสอบถามไปอีกหลายที่ก็ได้รับคำตอบที่ทำให้เรายังตัดสินใจไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลาที่ต้องรอนานเกินไปเรื่องของโอกาสที่จะได้เจอหมอใหญ่ ๆ ก็ยากมากเรื่องของความมั่นใจที่หมอก็ให้เราไม่ได้เลยการันตีไม่ได้เลยว่าคุณพ่อจะปลอดภัย ยิ่งเวลาผ่านไปเราก็ยิ่งรู้สึกไม่หลงเหลือความมั่นใจเลย เวลาที่พ่อนอนอยู่เราก็จะไปแอบยืนดู น้ำตามันก็ไหลเอง ก็พยายามไม่ให้แกเห็น เรายืนดูเป็นชั่วโมงว่าแกนอนแล้วยัง? หายใจอยู่มั้ย? เป็นช่วงเวลาที่บีบหัวใจมากค่ะ

เราปรึกษาหลายคนมาก จนกระทั่งมีเพื่อน(รุ่นพี่)เราคนนึงส่งประวัติอาจารย์หมอท่านหนึ่งมาให้ (เราขอบคุณเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ของเรามากๆ)ชื่ออาจารย์หมอทวีศักดิ์ โชติวัฒนพงษ์ เพื่อนบอกว่าเป็นอาจารย์หมอหัวใจมือหนึ่งของประเทศไทยในด้านนี้เลย ประสบการณ์เยอะ เราก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นรีบตัดสินใจไปหาเลย เรียกว่าอะไรที่พอจะเป็นความหวังเราเข้าไปหาหมด

โรงพยาบาลที่คุณหมอออกตรวจอยู่ เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว-บางกะปิ เราก็ติดต่อเข้าไปเพื่อทำนัด(ซึ่งได้คิวเร็วมาก)เมื่อได้พบอาจารย์หมอ ได้คุยปรึกษา ความรู้สึกเราเปลี่ยนเลยค่ะ มีความมั่นใจขึ้นมาว่าพ่อเราต้องรอดอย่างแน่นอนซึ่งนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการตัดสินใจของเราเลย ก็คือ “ความมั่นใจ” นี่แหละค่ะ อาจารย์หมอให้ความมั่นใจและความสบายใจ พร้อมอธิบายรายละเอียดต่างๆให้เราฟัง ทุกอย่างที่เราสงสัย อาจารย์หมอก็ตอบจนคลายความสงสัยเราได้ทั้งหมด ซึ่งอาจารย์หมอแนะนำว่าคุณพ่อควรได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
หลังจากนั้นเรากลับบ้านไปคิดคืนนึงก่อนตัดสินใจเลยว่าเป็นไงเป็นกัน เราจะส่งพ่อมาผ่าตัดที่นี่แน่นอน!!จึงแจ้งทางทางโรงพยาบาลไป อีก 1 – 2วัน หมอก็นัดผ่าด่วนให้เลยค่ะ ทุกอย่างรวดเร็วมาก

ในส่วนของพ่อ ช่วงนั้นเราก็ไม่ได้บอกรายละเอียดต่าง ๆ ตอนที่คุณหมอ(โรงพยาบาลแรก)คุยกับเราก็ไม่ได้บอกพ่อว่าเป็นอะไรบ้าง ได้แต่นั่งมองเราอยู่ไกล ๆ ไม่รู้เรื่องว่ามันอันตรายขนาดไหน เราบอกพ่อแค่ว่าเป็นลิ้นหัวใจและมีหลายโรค เราบอกพ่อให้สู้ให้กำลังใจ แล้วก็บอกแค่ว่าพ่อต้องผ่าตัดนะ พ่อต้องกิน พ่อต้องสตรองนะ พ่อต้องทำอะไรที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงนะ พ่ออายุเยอะและมีหลายโรคถ้าผ่าตัดแล้วจะแข็งแรงและหายดีซึ่งใจจริงพ่อเขาเองก็ไม่ได้อยากมาที่กรุงเทพฯ แกอยากไปโรงพยาบาลที่รัฐส่งไป แต่เหมือนเราไปชิงตัวมา!! ตัวเขาเองก็ห่วงลูกและรู้ว่าค่าใช้จ่ายมันเยอะก็เลยไม่อยากไป แต่เราตัดสินใจแล้วว่าเลือกความปลอดภัยดีกว่าไม่ทำอะไรเลย และเราก็เชื่อมั่นในตัวอาจารย์หมอมากกว่าจะนั่งกังวลเรื่องนี้อีกอย่างเราศึกษาข้อมูลของคุณหมอจากในอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นลิ้งการให้สัมภาษณ์ ให้ความรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดลิ้นหัวใจเคสการผ่าตัดทุกเคสประสบการณ์ของอาจารย์หมอที่สูงมาก ๆบวกกับเวลาเราเข้าไปคุยกับอาจารย์หมอแล้วมันรู้สึกปลดล็อกทุกสิ่งปลดล็อกความเครียดจริง ๆ นะคะ

สุดท้ายเมื่อคุณพ่อตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดซึ่งเราก็บอกตลอดว่าพ่อต้องช่วยลูกด้วยนะ พ่อต้องเข้มแข็งไม่ต้องกลัวนะ ลูกจะอยู่ข้างพ่อตรงนี้ จะสู้ไปด้วยกันซึ่งเราเองก็ถามอาจารย์หมอนะว่าเคสนี้ยากมั้ยอาจารย์หมอก็บอกเลยว่าไม่ง่ายแต่ก็ให้ความมั่นใจกับเรา บอกว่าจะเซฟคุณพ่อให้มากที่สุดเพราะร่างกายคุณพ่อค่อนข้าง Sensitive ด้วย 
1.อายุมาก 
2.พ่อมีหลายโรค 
ต้องระวังและวางแผนให้รอบคอบมากแล้วก็ใช้ยาและเคมีให้น้อยที่สุดทุกอย่างจำกัดหมดแต่อาจารย์หมอจะช่วยเซฟให้ทุกทางเลยโดยคาดว่าจะใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 4-6 ชั่วโมง

ในระหว่างที่คุณพ่อผ่าตัดคือนั่งลุ้นตลอดเลยค่ะว่าจะเป็นยังไงเวลาผ่านไปประมาณ 3 ชั่วโมงพยาบาลเปิดประตูออกมาถามหาญาติเราก็ตกใจ!! คุณพ่อเป็นอะไรไหม? แต่เปล่าค่ะ คำตอบคือคุณพ่อผ่าตัดเสร็จแล้ว สีหน้าพยาบาลก็ไม่ได้มีอะไรเคร่งเครียดยิ้มแย้มออกมาเราก็มีความสบายใจขึ้นมาอีกระดับหนึ่งจนกระทั่งทางอาจารย์หมอออกมาแล้วบอกว่าปลอดภัยการผ่าตัดดีเกินคาด ใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้นญาติพี่น้องทุกคนที่รอลุ้นกันอยู่หน้าห้องกระโดดกอดคอร้องไห้ดีใจกันเลยค่ะทีนี้(ส่วนตัวเราเองเชื่อใจหมอ 100% อยู่แล้ว ตอนนั้นอยากกระโดดเข้าไปกอดหมอเลยล่ะค่ะ แต่ก็ไม่กล้า555)อาจารย์หมอบอกว่าเป็นเคสที่ยากมากแต่ก็ผ่านมาได้ แล้วตัวคุณพ่อเองก็ตอบสนองดี ใจสู้มาก คือเขาก็พยายามไม่โวยวาย ไม่ร้อง คุณหมอให้ทำอะไรก็ทำให้ความร่วมมือในการรักษาดีมากเราเองก็โล่งใจและดีใจมากๆๆๆ

หลังจากผ่าตัดแล้วสัมผัสได้เลยว่าคุณพ่อแข็งแรงขึ้น เดินได้ ปั่นจักรยานได้ ฟื้นตัวไวมากค่ะ และหลังจากผ่าตัดมาได้แค่ 3-5 เดือน ระบบร่างกายของคุณพ่อก็เริ่มกลับมาเป็นปกติค่าไต ตับ ปอด ทุกอย่างโอเคหมดเลยตามที่อาจารย์หมอเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ เพราะเมื่อหัวใจกลับมาทำงานได้ตามปกติเลือดก็จะหมุนเวียนได้ดีขึ้นซึ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือจากผิวพรรณที่ดำแห้งกร้าน กลับมาสดใสดูชุ่มชื่นเหมือนคนทั่ว ๆ ไปเลย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ปัจจุบันก็ไปติดตามอาการตามที่อาจารย์หมอนัดทุกครั้ง ซึ่งสุขภาพโดยรวมของคุณพ่อยังคงปกติ ไม่มีอะไรต้องกังวล เราเองก็ดีใจที่ได้ชีวิตคุณพ่อกลับคืนมา เรื่องนี้ทำให้รู้เลยค่ะว่ากำลังใจจากคนใกล้ตัวและความเชื่อมั่นสำคัญมากแค่ไหนกับการตัดสินใจ โดยเฉพาะในเรื่องความเป็นความตายแบบนี้ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นจากหมอ ถ้าอาจารย์หมอไม่ได้ให้ความเชื่อมั่นกับเรา เราก็คงไม่ตัดสินใจให้คุณพ่อเข้ารับการผ่าตัดและอาจจะต้องอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิต

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

อีกเรื่องที่สำคัญคือต้องขอบคุณทางโรงพยาบาลในทุกกระบวนการตั้งแต่ก้าวขาเข้าไปเลย คุณพยาบาล คุณหมอ ฝ่ายต้อนรับ ทุก ๆ คนเลยที่ดูแลกันเป็นอย่างดี แล้วอาจารย์หมอก็น่ารักยิ้มแย้มแจ่มใส ใจดีมากๆอธิบายเข้าใจง่าย อธิบายทุกอย่างที่สงสัย เป็นหมอที่พูดคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจไม่พูดให้เรารู้สึกเครียด ใส่ใจและสวมหมวกใบเดียวกับเรา คืออยากให้คุณพ่อของเราหาย การที่เรารักคน ๆ หนึ่งเราก็อยากให้เขาอยู่กับเรานาน ๆ ยิ่งเจอคนที่สามารถต่ออายุให้ได้เรายิ่งดีใจค่ะ

เชื่อว่าเรื่องราวของเราที่แชร์ไปนี้จะเป็นประโยชน์และเป็นความหวัง รวมทั้งสร้างความมั่นใจกับทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ การผ่าตัดที่มีความเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นเคสอะไรหรือยากแค่ไหนทุกอย่างสามารถมีทางออกที่ดีได้แน่นอน ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะไม่ได้โชคดี ไม่ได้มีจังหวะ หรือมีโอกาสที่ดีเหมือนกับเรา แต่ขออย่าหยุดความพยายามและความหวังนะคะ เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีค่ะในส่วนพวกข้อมูลด้านการแพทย์เราเองอาจไม่ได้มีรายละเอียดมากนัก แต่ถ้าใครมีข้อสงสัยหรือคำถาม ถามมาได้เลยค่ะหรือหลังไมค์มาก็ได้ อะไรที่ตอบได้เราจะตอบให้ อะไรที่เราตอบไม่ได้ถ้ามีโอกาสจะถามคุณหมอแล้วเอามาตอบให้นะคะ.

ดอกไม้   ดอกไม้   ดอกไม้   ดอกไม้   ดอกไม้

(ปล.ของดดราม่าหรือมีประเด็นในเชิงเปรียบเทียบพวกเรื่องโรงพยาบาลรัฐ vs เอกชน,หมอต่างจังหวัด vs กรุงเทพ, สิทธิรัฐ vs เงินสด หรือรวยจนอะไรต่างๆนะคะ รวมทั้งหลังไมค์สอบถามโรงพยาบาลที่เราอาจจะไม่โอเคก่อนหน้านี้ ขออนุญาตไม่ตอบนะคะ เราเข้าใจว่าอาจด้วยข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างทำให้ทางโรงพยาบาลที่เราติดต่อไปก่อนหน้านี้ ไม่สามารถให้การรักษาพ่อของเราได้ ส่วนนี้ขอไม่มีความเห็นค่ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่