หลังจากจัดการล้างถ้วยล้างชามในห้องครัว ฉันเดินไปเปิดประตูกระจกบานใหญ่ในห้องนั่งเล่น ลมทะเลในตอนเช้า เย็นฉ่ำพัดหวือเข้ามาในห้อง ฉันมองท้องฟ้าสีฟ้าใส ไร้เมฆ และทะเลสีฟ้าอมเขียวที่สวยงาม ฉันยืนนิ่งดื่มด่ำบรรยากาศตรงนี้ ก่อนที่จะเดินออกไปยังหาดทราย ทรายละเอียดที่รองรับเท้าเปล่าของฉันอ่อนนุ่ม น้ำทะเลเย็นๆ สาดซัดเข้าฝั่ง มากระทบเท้าของฉัน นำพาความปลอดโปร่งมาให้
นี่เป็นครั้งแรกในช่วงเวลาสี่ห้าวันที่ผ่านมา ที่ฉันได้อยู่คนเดียวตามลำพัง ฉันจึงนึกย้อนไปยังวันนั้น วันที่เปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของฉัน ถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมฉันถึงยอมตกลงจดทะเบียนสมรสกับเขา หรืออาจเป็นเพราะเหตุการณ์ในคืนนั้น หรือเป็นเพราะฉันอยากเอาชนะ ผกากรองกับพิชิตชัย ฉันถึงได้ตกกระไดพลอยโจน กลายมาเป็นคุณนายผู้พันหมอ อย่างที่จ่าพร้อยแต่งตั้งให้ฉัน
แต่สำหรับจักรินทร์ ทำไมเขาถึงยอมเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายให้กับฉัน หรือเพราะด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของเขา เขาจึงต้องการแสดงความรับผิดชอบ หรือเขามีเหตุผลอื่นกันแน่ อย่างเช่น ความรัก
... หึ.. ความรักเหรอ... ช่างกล้าคิดนะยะ...ยัยหมอก...
ฉันนึกขำตัวเองนักที่คิดเข้าข้างตัวเองว่า ที่เขาแต่งงานกับฉันก็เพราะความรัก เพราะฉันไม่เชื่อว่า คนเราจะรักกันได้เร็วขนาดนั้นเลยหรือ นี่มันไม่ใช่นิยาย! แต่จะเป็นเพราะอะไร ฉันเองก็ยังคิดไม่ออก แต่ก่อนที่จะฉันทำอะไรได้นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
"จ้า.. คุณนายบานชื่น ว่าอย่างไรจ๊ะ" ฉันกรอกเสียงทักทายผู้เป็นแม่
"ไม่ว่าอย่างไร แค่โทรมาถามว่าหมอกกับคุณจักร ขับรถกลับบ้านเมื่อวันก่อนเป็นอย่างไรบ้าง อีกอย่างก็จะโทรมาบอกว่า ฟ้าใสออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ"
"หรือจ๊ะ ดีจังเลย คราวนี้คุณยายคนใหม่ก็จะได้เลี้ยงหลานอย่างสมใจ" ฉันเอ่ยหยอกเย้า คุณยายคนใหม่ที่มีท่าทางเห่อหลานเป็นหนักหนา ก่อนที่จะเอ่ยต่อไปว่า
"เออ... นี่แม่... หมอกจะบอกว่า หมอกต้องย้ายไปอยู่ที่เกาะหน้า กับคุณจักรนะจ๊ะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จะได้กลับไปเยี่ยม แม่กับพ่อ และก็ฟ้าใส"
"เออ.. แม่รู้แล้ว" คนปลายสายเอ่ยเสียงเรียบ อย่างที่ไม่มีอาการตกใจใดๆ ต่างจากฉันที่แปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
"ห๊ะ.. แม่รู้ได้อย่างไร" ฉันถามผู้เป็นมารดากลับอย่างรวดเร็วจนเสียงหลง
"อ้าว..ก็วันนั้นที่พ่อพาคุณจักร ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ ที่หายกันเป็นวันๆ ... จำได้ไหม... คุณจักรเขาบอกกับพ่อไว้ เชิงว่าเป็นการขออนุญาต ว่าเขาจะพาหมอกไปอยู่กับเขาที่เกาะหน้า เกาะนอก อะไรนี่แหละ เพราะเขาทำงานอยู่ที่นั่น เลยไม่อยากทิ้งให้หมอกอยู่ที่กรุงเทพคนเดียว" คุณนายบานชื่นหยุดหายใจชั่วครู่ ก่อนที่จะเอ่ยต่อไปว่า
"พ่อเขาเห็นว่าเราทั้งสองจดทะเบียนสมรสแล้ว ก็เลยบอกคุณจักรว่า ก็ตามแต่ที่เราทั้งสองคนจะสะดวก พ่อกับแม่ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่พ่อเขา เอ่ยปากฝากฝังหมอก ให้คุณจักรเขาดูแล ก็เราน่ะ มันดื้อ ซ่า แสบ ไม่มีใครเหมือน"
"อ้าวแล้วพ่อกับแม่ไม่ห่วงหมอกหรือไงว่าหมอกจะเป็นชาวเกาะได้หรือเปล่า ถึงปล่อยให้คุณจักรพาหมอกไปเป็นชาวเกาะ" ฉันถามคุณนายบานชื่นกลับ
"อ้าวแล้วเราจะมาฟุดฟัด กับแม่ทำไม ก็หมอกไม่รู้มาก่อนหรือว่า คุณจักรเขาทำงานอยู่ที่เกาะอะไรนั่น มีแฟนทำงานที่เกาะ พออยู่ด้วยกันแล้ว จะให้ไปอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ไปอยู่ที่เกาะ นี่เป็นแฟนกันประสาอะไร ไม่ได้คุยกันก่อนที่จะจูงมือกันไปจดทะเบียนสมรสหรือไง... "
...เอาแล้วยังหมอก...หาเรื่อง... โดนคุณนายบานชื่นด่าซะงั้น...
"เออ.. นี่แม่นึกขึ้นมาได้ว่า แม่ก็ยังไม่ได้ถามเลยว่า หมอกคบกับคุณจักรเขามานานหรือยัง เพราะแม่ไม่เคยได้ยิน หมอกพูดถึงคุณจักรมาก่อนเลย"
"เอ่อแม่... แค่นี้ก่อนนะ ตอนนี้สัญญาณโทรศัพท์เริ่มไม่เสถียร แล้วล่ะแม่... แม่... หมอก..." ฉันแกล้งตัดสายแม่ เพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของท่านอย่างไรดี
... เอาล่ะสิยัยหมอก... นี่แกจะบอกแม่ว่ายังไง.. แกจะบอกว่า แกเมาแอ๋ จนไปหลับนอนกับผู้ชายแปลกหน้า จนต้องพาตัวเอง มาเจอกับเรื่องบ้าๆ แบบนี้หรือ...
... ฉันคงบอกความจริงกับแม่ไม่ได้หรอก เพราะว่าถ้าฉันบอกความจริงไป พ่อแม่ของฉันจะเสียใจ และผิดหวังในตัวฉันขนาดไหน... เอาวะ.. เมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว.. ฉันคงถอยหลังไม่ได้..
"สวัสดีค่ะบอส" เสียงกรีดร้องของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง ปลุกฉันตื่นภวังค์
"บอส มีอะไรเรื่องด่วนหรือคะ ถึงได้โทรหาหมอก"
"นี่คุณหมอก ผมเข้าใจว่าคุณยังอยู่ในระหว่างการลาพักร้อน" เสียงคุณมนตรีเจ้านาย บริษัทที่ฉันทำงานอยู่ตอบกลับมาโดยเร็ว
"แต่ผมมีเรื่องด่วนที่อยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับรีสอร์ตของคุณชาญชัย ที่แก้วสุดาเขาโอนไปให้คุณทำ คุณช่วยหาให้ผมได้ไหม"
"ได้ค่ะ แต่ขอเวลาหน่อยนะคะ เพราะหมอกเพิ่งจะย้ายบ้านเมื่อวานค่ะ ข้าวของยังอยู่ในกล่องอยู่เลยค่ะ"
"อ้าวแล้วนี่คุณย้ายไปอยู่ที่ไหน คอนโดคุณมันก็อยู่ใกล้ที่ทำงานที่สุดแล้วนี่"
"เอ่อคือว่า หมอกย้ายตามสามีค่ะ"
คุณมนตรีร้องเสียงหลง ดังทะลุโทรศัพท์มือถือจนฉันต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากใบหูตัวเอง เมื่อบอกว่าฉันแต่งงานแล้ว และตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน
"คุณหมอกผมขอแสดงความยินดีด้วยนะ ที่คุณแต่งงานแล้ว แต่ว่าคุณย้ายไปอยู่ไกลขนาดนั้น แล้วเรื่องงานคุณจะว่ายังไง แล้วทำอะไร ทำไมไม่ปรึกษากันบ้าง"
"เอ่อ หมอกขอโทษค่ะ แต่ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นรวดเร็วมากค่ะ แต่หมอกจะขอความกรุณาบอสนะคะ หมอกขอทำงานนอกสถานที่สักระยะนะคะ"
"เรื่องนั้นผมขอคิดดูก่อนนะ แต่ว่าคุณต้องส่งเอกสารที่ผมต้องการมาให้ผมไม่เกินเที่ยง เข้าใจไหม" เสียงห้าวของผู้จัดการและเจ้าของบริษัทพีอาร์ มาร์เก็ตติ้งรายใหญ่ของเมืองไทย สั่งชัดถ้อยชัดคำก่อนที่จะตัดสายไป
... ตายแล้วไอ้หมอกเอ๋ย เรื่องที่บ้านก็ยังแก้ไม่ได้ ตอนนี้แกหาเรื่องจะตกงานแล้วไหมล่ะ...
เพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลา และเสี่ยงต่อการโดนไล่ออก ฉันรีบรุดไปยังห้องเก็บของ ที่เป็นห้องขนาดปานกลางไม่ใหญ่ไม่เล็ก ที่เป็นเรือนไม้ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชานระเบียงหลังบ้านเท่าไหร่นัก
ภายในห้องบรรจุกล่องมากมาย ที่มีทั้งทำด้วยกระดาษ และพลาสติก ผสมปนกันไป แต่จัดรวมไว้อย่างมีระเบียบ กล่องสัมภาระของฉันจะอยู่บนสุดเนื่องจากว่า เพิ่งจะนำมาเก็บที่ห้องนี้เมื่อวานนี้เอง ดังนั้น แค่เพียงยี่สิบนาทีที่ฉันก็พบ รายละเอียดเกี่ยวกับรีสอร์ตของคุณชาญชัย
ฉันหยิบเอกสารที่ต้องการออกจากกล่องแล้ว พยายามที่จะนำกล่องกระดาษใบนั้นเก็บเข้าที่ แต่มือเจ้ากรรมดันไปปัด กล่องกระดาษอีกใบตกลงพื้น ข้าวของในกล่องหล่นกระจัดกระจาย
"ตายแล้ว ซุ่มซ่ามจริงเรา มีอะไรแตกหักบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้" ฉันบ่นพึมพำ
ฉันรีบจัดการรวบรวมข้าวของนั้นเข้ากล่องตามเดิม เหลือเพียงแต่สิ่งสุดท้ายที่สะดุดตาฉันมากที่สุดคือ ซองจดหมายหลายสิบฉบับที่มัดรวมกันด้วยหนังยางเส้นใหญ่ ที่หล่นออกจากกล่องกระดาษ ตกลงพื้นใกล้ๆ
ฉันที่ปกติแล้ว ฉันก็ไม่ได้ชอบยุ่งวุ่นวายข้าวของส่วนตัวของใคร แต่ตาฉันเหลือบไปเห็นหน้าซอง ที่มีชื่อผู้รับเขียนเป็นภาษาอังกฤษ จ่าหน้าซองถึง คุณจักรินทร์ ราชสีหะกรมม์ ส่วนผู้ส่งก็คือ คุณอรุณฉาย วิลัยศีรกาญจน์
-----
ถึงพี่ชายที่รัก
ขอบคุณมากนะคะที่พี่ชายส่ง Snow Globe Santa Clous มาให้ น้องได้รับแล้ว น้องชอบมากค่ะ ช่วงนี้ที่นั่นคงหนาวมากใช่ไหมคะ รักษาดูแลสุขภาพด้วย ไม่ทราบว่าพี่จักรได้รับผ้าพันคอที่น้องส่งไปให้หรือยังคะ น้องถักเองกับมือเลย น้องเลือกใช้ไหมพรมสีน้ำเงินกับสีขาว สีที่พี่ชอบไงคะ ถึงตอนนี้ น้องสงสารพี่ชายของน้องจัง ที่ช่วงเทศกาลคริสต์มาส เพื่อนๆ คนอื่นได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านและครอบครัวของเขา แต่พี่ต้องอยู่ที่หอพักที่มหาวิทยาลัยตามลำพัง แต่น้องขอให้อดทนอีกหน่อยนะคะ กลางปีหน้าพี่ก็จบวิชาการแพทย์แล้ว และน้องก็นับวันรอวันที่พี่ชาย จะได้มาอยู่ใกล้น้องอีก ถึงแม้ว่าพอกลับมา พี่ก็ต้องเข้าไปเรียนวิชาการทหาร ที่คุณลุงจะติดต่อวิทยาลัยทหารให้พี่จักรไว้แล้ว แต่ก็เป็นวิทยาลัยที่เมืองไทยไม่ใช่ที่อเมริกา แค่นี้น้องก็พอใจค่ะ เพราะเราจะไม่ต้องห่างจากกันข้ามขอบฟ้าอย่างนี้อีก แต่ไม่ว่าพี่จักรจะอยู่ที่ไหน ขอให้พี่จำไว้เสมอว่า หัวใจของน้องติดตามพี่ไปที่นั่นเสมอ และรอคอยวันที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน
รักและคิดถึงทุกลมหายใจ
อรุณฉาย วิลัยศีรกาญจน์
-------
เล่ห์รักหัวใจ ตกกระไดพลอยโจน ตอนที่ 11
นี่เป็นครั้งแรกในช่วงเวลาสี่ห้าวันที่ผ่านมา ที่ฉันได้อยู่คนเดียวตามลำพัง ฉันจึงนึกย้อนไปยังวันนั้น วันที่เปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของฉัน ถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมฉันถึงยอมตกลงจดทะเบียนสมรสกับเขา หรืออาจเป็นเพราะเหตุการณ์ในคืนนั้น หรือเป็นเพราะฉันอยากเอาชนะ ผกากรองกับพิชิตชัย ฉันถึงได้ตกกระไดพลอยโจน กลายมาเป็นคุณนายผู้พันหมอ อย่างที่จ่าพร้อยแต่งตั้งให้ฉัน
แต่สำหรับจักรินทร์ ทำไมเขาถึงยอมเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายให้กับฉัน หรือเพราะด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของเขา เขาจึงต้องการแสดงความรับผิดชอบ หรือเขามีเหตุผลอื่นกันแน่ อย่างเช่น ความรัก
... หึ.. ความรักเหรอ... ช่างกล้าคิดนะยะ...ยัยหมอก...
ฉันนึกขำตัวเองนักที่คิดเข้าข้างตัวเองว่า ที่เขาแต่งงานกับฉันก็เพราะความรัก เพราะฉันไม่เชื่อว่า คนเราจะรักกันได้เร็วขนาดนั้นเลยหรือ นี่มันไม่ใช่นิยาย! แต่จะเป็นเพราะอะไร ฉันเองก็ยังคิดไม่ออก แต่ก่อนที่จะฉันทำอะไรได้นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
"จ้า.. คุณนายบานชื่น ว่าอย่างไรจ๊ะ" ฉันกรอกเสียงทักทายผู้เป็นแม่
"ไม่ว่าอย่างไร แค่โทรมาถามว่าหมอกกับคุณจักร ขับรถกลับบ้านเมื่อวันก่อนเป็นอย่างไรบ้าง อีกอย่างก็จะโทรมาบอกว่า ฟ้าใสออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ"
"หรือจ๊ะ ดีจังเลย คราวนี้คุณยายคนใหม่ก็จะได้เลี้ยงหลานอย่างสมใจ" ฉันเอ่ยหยอกเย้า คุณยายคนใหม่ที่มีท่าทางเห่อหลานเป็นหนักหนา ก่อนที่จะเอ่ยต่อไปว่า
"เออ... นี่แม่... หมอกจะบอกว่า หมอกต้องย้ายไปอยู่ที่เกาะหน้า กับคุณจักรนะจ๊ะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จะได้กลับไปเยี่ยม แม่กับพ่อ และก็ฟ้าใส"
"เออ.. แม่รู้แล้ว" คนปลายสายเอ่ยเสียงเรียบ อย่างที่ไม่มีอาการตกใจใดๆ ต่างจากฉันที่แปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
"ห๊ะ.. แม่รู้ได้อย่างไร" ฉันถามผู้เป็นมารดากลับอย่างรวดเร็วจนเสียงหลง
"อ้าว..ก็วันนั้นที่พ่อพาคุณจักร ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ ที่หายกันเป็นวันๆ ... จำได้ไหม... คุณจักรเขาบอกกับพ่อไว้ เชิงว่าเป็นการขออนุญาต ว่าเขาจะพาหมอกไปอยู่กับเขาที่เกาะหน้า เกาะนอก อะไรนี่แหละ เพราะเขาทำงานอยู่ที่นั่น เลยไม่อยากทิ้งให้หมอกอยู่ที่กรุงเทพคนเดียว" คุณนายบานชื่นหยุดหายใจชั่วครู่ ก่อนที่จะเอ่ยต่อไปว่า
"พ่อเขาเห็นว่าเราทั้งสองจดทะเบียนสมรสแล้ว ก็เลยบอกคุณจักรว่า ก็ตามแต่ที่เราทั้งสองคนจะสะดวก พ่อกับแม่ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่พ่อเขา เอ่ยปากฝากฝังหมอก ให้คุณจักรเขาดูแล ก็เราน่ะ มันดื้อ ซ่า แสบ ไม่มีใครเหมือน"
"อ้าวแล้วพ่อกับแม่ไม่ห่วงหมอกหรือไงว่าหมอกจะเป็นชาวเกาะได้หรือเปล่า ถึงปล่อยให้คุณจักรพาหมอกไปเป็นชาวเกาะ" ฉันถามคุณนายบานชื่นกลับ
"อ้าวแล้วเราจะมาฟุดฟัด กับแม่ทำไม ก็หมอกไม่รู้มาก่อนหรือว่า คุณจักรเขาทำงานอยู่ที่เกาะอะไรนั่น มีแฟนทำงานที่เกาะ พออยู่ด้วยกันแล้ว จะให้ไปอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ไปอยู่ที่เกาะ นี่เป็นแฟนกันประสาอะไร ไม่ได้คุยกันก่อนที่จะจูงมือกันไปจดทะเบียนสมรสหรือไง... "
...เอาแล้วยังหมอก...หาเรื่อง... โดนคุณนายบานชื่นด่าซะงั้น...
"เออ.. นี่แม่นึกขึ้นมาได้ว่า แม่ก็ยังไม่ได้ถามเลยว่า หมอกคบกับคุณจักรเขามานานหรือยัง เพราะแม่ไม่เคยได้ยิน หมอกพูดถึงคุณจักรมาก่อนเลย"
"เอ่อแม่... แค่นี้ก่อนนะ ตอนนี้สัญญาณโทรศัพท์เริ่มไม่เสถียร แล้วล่ะแม่... แม่... หมอก..." ฉันแกล้งตัดสายแม่ เพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของท่านอย่างไรดี
... เอาล่ะสิยัยหมอก... นี่แกจะบอกแม่ว่ายังไง.. แกจะบอกว่า แกเมาแอ๋ จนไปหลับนอนกับผู้ชายแปลกหน้า จนต้องพาตัวเอง มาเจอกับเรื่องบ้าๆ แบบนี้หรือ...
... ฉันคงบอกความจริงกับแม่ไม่ได้หรอก เพราะว่าถ้าฉันบอกความจริงไป พ่อแม่ของฉันจะเสียใจ และผิดหวังในตัวฉันขนาดไหน... เอาวะ.. เมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว.. ฉันคงถอยหลังไม่ได้..
"สวัสดีค่ะบอส" เสียงกรีดร้องของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง ปลุกฉันตื่นภวังค์
"บอส มีอะไรเรื่องด่วนหรือคะ ถึงได้โทรหาหมอก"
"นี่คุณหมอก ผมเข้าใจว่าคุณยังอยู่ในระหว่างการลาพักร้อน" เสียงคุณมนตรีเจ้านาย บริษัทที่ฉันทำงานอยู่ตอบกลับมาโดยเร็ว
"แต่ผมมีเรื่องด่วนที่อยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับรีสอร์ตของคุณชาญชัย ที่แก้วสุดาเขาโอนไปให้คุณทำ คุณช่วยหาให้ผมได้ไหม"
"ได้ค่ะ แต่ขอเวลาหน่อยนะคะ เพราะหมอกเพิ่งจะย้ายบ้านเมื่อวานค่ะ ข้าวของยังอยู่ในกล่องอยู่เลยค่ะ"
"อ้าวแล้วนี่คุณย้ายไปอยู่ที่ไหน คอนโดคุณมันก็อยู่ใกล้ที่ทำงานที่สุดแล้วนี่"
"เอ่อคือว่า หมอกย้ายตามสามีค่ะ"
คุณมนตรีร้องเสียงหลง ดังทะลุโทรศัพท์มือถือจนฉันต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากใบหูตัวเอง เมื่อบอกว่าฉันแต่งงานแล้ว และตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน
"คุณหมอกผมขอแสดงความยินดีด้วยนะ ที่คุณแต่งงานแล้ว แต่ว่าคุณย้ายไปอยู่ไกลขนาดนั้น แล้วเรื่องงานคุณจะว่ายังไง แล้วทำอะไร ทำไมไม่ปรึกษากันบ้าง"
"เอ่อ หมอกขอโทษค่ะ แต่ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นรวดเร็วมากค่ะ แต่หมอกจะขอความกรุณาบอสนะคะ หมอกขอทำงานนอกสถานที่สักระยะนะคะ"
"เรื่องนั้นผมขอคิดดูก่อนนะ แต่ว่าคุณต้องส่งเอกสารที่ผมต้องการมาให้ผมไม่เกินเที่ยง เข้าใจไหม" เสียงห้าวของผู้จัดการและเจ้าของบริษัทพีอาร์ มาร์เก็ตติ้งรายใหญ่ของเมืองไทย สั่งชัดถ้อยชัดคำก่อนที่จะตัดสายไป
... ตายแล้วไอ้หมอกเอ๋ย เรื่องที่บ้านก็ยังแก้ไม่ได้ ตอนนี้แกหาเรื่องจะตกงานแล้วไหมล่ะ...
เพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลา และเสี่ยงต่อการโดนไล่ออก ฉันรีบรุดไปยังห้องเก็บของ ที่เป็นห้องขนาดปานกลางไม่ใหญ่ไม่เล็ก ที่เป็นเรือนไม้ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชานระเบียงหลังบ้านเท่าไหร่นัก
ภายในห้องบรรจุกล่องมากมาย ที่มีทั้งทำด้วยกระดาษ และพลาสติก ผสมปนกันไป แต่จัดรวมไว้อย่างมีระเบียบ กล่องสัมภาระของฉันจะอยู่บนสุดเนื่องจากว่า เพิ่งจะนำมาเก็บที่ห้องนี้เมื่อวานนี้เอง ดังนั้น แค่เพียงยี่สิบนาทีที่ฉันก็พบ รายละเอียดเกี่ยวกับรีสอร์ตของคุณชาญชัย
ฉันหยิบเอกสารที่ต้องการออกจากกล่องแล้ว พยายามที่จะนำกล่องกระดาษใบนั้นเก็บเข้าที่ แต่มือเจ้ากรรมดันไปปัด กล่องกระดาษอีกใบตกลงพื้น ข้าวของในกล่องหล่นกระจัดกระจาย
"ตายแล้ว ซุ่มซ่ามจริงเรา มีอะไรแตกหักบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้" ฉันบ่นพึมพำ
ฉันรีบจัดการรวบรวมข้าวของนั้นเข้ากล่องตามเดิม เหลือเพียงแต่สิ่งสุดท้ายที่สะดุดตาฉันมากที่สุดคือ ซองจดหมายหลายสิบฉบับที่มัดรวมกันด้วยหนังยางเส้นใหญ่ ที่หล่นออกจากกล่องกระดาษ ตกลงพื้นใกล้ๆ
ฉันที่ปกติแล้ว ฉันก็ไม่ได้ชอบยุ่งวุ่นวายข้าวของส่วนตัวของใคร แต่ตาฉันเหลือบไปเห็นหน้าซอง ที่มีชื่อผู้รับเขียนเป็นภาษาอังกฤษ จ่าหน้าซองถึง คุณจักรินทร์ ราชสีหะกรมม์ ส่วนผู้ส่งก็คือ คุณอรุณฉาย วิลัยศีรกาญจน์
-----
ถึงพี่ชายที่รัก
ขอบคุณมากนะคะที่พี่ชายส่ง Snow Globe Santa Clous มาให้ น้องได้รับแล้ว น้องชอบมากค่ะ ช่วงนี้ที่นั่นคงหนาวมากใช่ไหมคะ รักษาดูแลสุขภาพด้วย ไม่ทราบว่าพี่จักรได้รับผ้าพันคอที่น้องส่งไปให้หรือยังคะ น้องถักเองกับมือเลย น้องเลือกใช้ไหมพรมสีน้ำเงินกับสีขาว สีที่พี่ชอบไงคะ ถึงตอนนี้ น้องสงสารพี่ชายของน้องจัง ที่ช่วงเทศกาลคริสต์มาส เพื่อนๆ คนอื่นได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านและครอบครัวของเขา แต่พี่ต้องอยู่ที่หอพักที่มหาวิทยาลัยตามลำพัง แต่น้องขอให้อดทนอีกหน่อยนะคะ กลางปีหน้าพี่ก็จบวิชาการแพทย์แล้ว และน้องก็นับวันรอวันที่พี่ชาย จะได้มาอยู่ใกล้น้องอีก ถึงแม้ว่าพอกลับมา พี่ก็ต้องเข้าไปเรียนวิชาการทหาร ที่คุณลุงจะติดต่อวิทยาลัยทหารให้พี่จักรไว้แล้ว แต่ก็เป็นวิทยาลัยที่เมืองไทยไม่ใช่ที่อเมริกา แค่นี้น้องก็พอใจค่ะ เพราะเราจะไม่ต้องห่างจากกันข้ามขอบฟ้าอย่างนี้อีก แต่ไม่ว่าพี่จักรจะอยู่ที่ไหน ขอให้พี่จำไว้เสมอว่า หัวใจของน้องติดตามพี่ไปที่นั่นเสมอ และรอคอยวันที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน
รักและคิดถึงทุกลมหายใจ
อรุณฉาย วิลัยศีรกาญจน์
-------