เรื่องสั้นวันละเรื่อง : ในสายหมอก

ยามอรุณรุ่งอากาศหนาวยังคงอยู่ ภายนอกหน้าต่าง มีละอองหมอกหนาทึบสีขาว ม้วนตัวโอบล้อมขุนเขาสีเขียวขจีตรงหน้า บดบังแสงสีทองจากฟากฟ้าไม่ให้สาดลงมายังพื้นดิน ความรู้สึกเปลี่ยวเหงา วนเวียนเข้ามาในใจตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทันรู้

เหล่านกน้อยที่เคยแวะมาเยี่ยมเยือน ส่งเสียงเสนาะยามเช้า หายไปไหนหนอ?

ความเงียบ! เงียบเสียจนได้ยินเสียงเต้นของจุดชีพจรข้างหู ตุ๊บ... ตุ๊บ...ตุ๊บ... เป็นจังหวะสม่ำเสมอ สัญญาณการยังคงอยู่ของชีวิต

ฉันนอนลืมตานิ่งอยู่บนเตียงริมหน้าต่าง ถอนหายใจหนักๆ ปล่อยความรู้สึกนั้นให้พรั่งพรูออกไป

 ละอองความเหงาถูกส่งออกไป เกาะติดเป็นฝ้ามัวที่กระจกตรงหน้า ไม่นานก็ระเหยหายไปในอากาศ ความเงาใสของกระจกกลับคืนมา

มองออกไปยังคงเห็นสายหมอกขาว ลอยเอื่อยๆ ราวกับจะรออะไรบางอย่างจากขุนเขา

ถึงเวลาต้องลุกขึ้นแล้วสินะ จะนอนนิ่งอยู่แบบนี้คงไม่ได้

อดีตที่ผ่านเลยไปไม่อาจหวนกลับคืน ขอเพียงเก็บทุกเสี้ยววินาทีของความทรงจำที่ดีไว้...ก็เพียงพอ

ฉันสะบัดผ้านวมผืนหนา ที่โอบอุ้มความอบอุ่นไว้ให้ฉันตลอดคืนหนาวเหน็บ 

ฉับพลันไอเย็นสอดแทรกเข้ามากระทบผิวกาย เย็นเยียบถึงหัวใจ

.................

เดิมที บ้านไม้กลางหุบเขาเขียวขจีและสายหมอกหนาหลังนี้ไม่ใช่ของฉัน

ฉันได้พาตัวเองเข้ามาเป็นผู้อาศัย จากคำเชื้อเชิญอย่างเต็มใจยิ่งของเจ้าของบ้านมาหลายปีแล้ว อยู่มานานจนคุ้นเคยกับทุกสรรพสิ่งเทียบเท่าเจ้าของบ้านหรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำ

บ้านที่เคยเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น พี่เคยนั่งอยู่ตรงนั้น เก้าอี้นวมตัวโปรดจิบกาแฟ ควันกรุ่นสีขาว ม้วนตัวลอยขึ้นสู่เบื้องสูงพากลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว ฉันนอนขดอยู่ในผ้านวมหนาผืนนั้น มองพี่ทำงานอย่างไม่รู้เบื่อ

"ไม่เคยเห็นคนหรือไง"

พี่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เสียงห้วนกระด้างขัดกับดวงหน้ายิ้มละไม

"คนน่ะเคย แต่คนขี้เกียจโกนหนวดน่ะไม่เคย"

ฉันตอบกลั้วเสียงหัวเราะ

พี่ยกมือขึ้นลูบคางแล้วก้มหน้าทำงานต่อ

ความทรงจำบางอย่างผ่านเข้ามาราวกับเป็นหนังสั้น ที่ฉายวนซ้ำไม่รู้จบ

บางครั้งก็เจ็บแปลบ ราวหนามแหลมทิ่มกระทบใจ

ที่โต๊ะไม้ริมระเบียง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องผ่านลอดพุ่มไม้เลื้อยดอกสีม่วงอ่อน

ฉันไม่รู้จักว่าคือต้นอะไร รู้เพียงว่าดอกเล็กๆ นั่น สวยงามและหอมเหลือเกิน

อาหารเช้าง่ายๆ บนโต๊ะ ขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอก อยู่บ้านกลางหุบเขาแบบนี้จะมีอะไรได้มากมายไปกว่านี้ แต่เพียงแค่นี้ฉันก็มีความสุขเสียเหลือเกิน  เพราะผู้ร่วมโต๊ะคือ พี่

กินกันไปเงียบๆ ไร้เสียงพูดคุย มีเพียงสำเนียงธรรมชาติ นกน้อยสารพัดชนิดผลัดกันมาส่งเสียงขับกล่อม บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรักและความเข้าใจ

ระลอกความทรงจำแทรกเข้ามาในโสตประสาทอีกคราหนึ่ง

สองมือที่โอบกันและกัน มือใหญ่แข็งกระด้างและมือเล็กเรียวบาง วางแนบกับพื้นมอสส์สีเขียวที่นุ่มเย็นราวกับพรมชั้นดี

สองร่างเจ้าของมือ นอนเคียงคู่กันมองท้องฟ้าสีคราม หมู่เมฆขาวเป็นปุยที่เคลื่อนคล้อยไปตามสายลมยามบ่าย เสียงสายน้ำไหลกระทบโขดหิน เป็นจังหวะไม่ขาดสาย...

คิดถึงเหลือเกิน โขดหินริมน้ำตก และเจ้าของมือใหญ่แข็งกระด้างนั้น

ฉันถอนหายใจหนักๆ อีกครั้งคงต้องลุกขึ้นเสียที ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชีวิตต้องก้าวต่อไป

ดูจะเหงาเหลือเกินนะ เจ้าสายหมอกหนา จะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้...

กระท่อมไม้ หุบเขาและสายหมอก 

ทันใดนั้น เสียงบางเสียงลอยตามสายลมแผ่วเบา ค่อยๆ ดังชัดขึ้นกระทบโสตประสาท...

 กลายเป็นเสียงแผดร้องดังก้องไปทั่วบ้านไม้ในสายหมอก บดบังความเงียบสงบยามเช้าเสียสิ้น

ฉันรีบทะลึ่งพรวดลุกขึ้น ไม่สนใจกับไอเย็นรอบกาย อุ้มต้นกำเนิดเสียงขึ้นมาแนบอก

"ลูกตื่นแล้วหรือ?"

พี่เดินเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟควันกรุ่น ส่งกลิ่นหอมทั่วบ้านดังเช่นทุกเช้า

พร้อมรอยยิ้มกว้างทักทายฉันและส่งรอยยิ้มนั้นเลยไปยังทารกน้อยในอ้อมกอด 

ฉันส่งยิ้มเพลียๆ ไปยังร่างสูงนั้นแทนคำตอบ

หมดเวลาพร่ำเพ้อ...เวลาแห่งความสงบได้หมดลงแล้ว ต่อไปนี้คือเวลาแห่งความเป็นจริง...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่