สวัสดีค่ะ ชื่อกี้นะคะ พอดีช่วงนี้ COVID กลับมาระบาดหนักเลยทำงานอยู่บ้าน เห็นเพื่อนๆออกกำลังกาย ทำอาหารที่บ้านกันเยอะเลยออยากมาแชร์ประบการณ์ (อันยาวนาน) จากการลองผิดลองถูก ของการลดความอ้วน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆไม่มากก็น้อยค่ะ จะพยายามรวบให้เป็นตอนสั้นๆจะได้กระชับๆนะคะ
*ไม่ใช้อาหารเสริมหรือยาลดน้ำหนักใดๆนะคะ จะพยายามหารูปมาให้น้า วิดิโอเพิ่มเติม อินสตาแกรม @kiekiekieee ค่า
แบ่งเป็นตอนๆเพื่อความอ่านง่าย
ตอนที่ 1: อ้วนครั้งแรก ช็อคๆ เห้ยทำไมเราอ้วน
ตอนที่ 2: ลดน้ำหนักครั้งแรก
ตอนที่ 3: ผอมแล้วกลับไปอ้วนใหม่ (ใหญ่กว่าเดิม)
ตอนที่ 4: อ้วนแล้วกลับมาผอมใหม่ + Eating Disorder (เล็กกว่าเดิม)
ตอนที่ 5: Binge Eating Disorder + พบแพทย์ + รักษา
ตอนที่ 6: กว่าจะเจอวิธีที่ใช่ (และถูกต้อง) - ปัจจุบัน
ตอนที่ 1: อ้วนครั้งแรก ช็อคๆ เห้ยทำไมเราอ้วน
ขอเกริ่นก่อนว่า ด้วยความโชคดี กี้เกิดมาสูงผอมและค่อนข้างอ้วนยากค่ะ (ความเชื่อตอน 18 ค่ะ ตอนนี้ 26 ไม่คิดงี้แล้ว 555555)
กินยังไงมันก็ไม่อ้วนค่ะ ชะล่าใจมาก ไปอยู่อเมริกาประมาณ 4 เดือน ความตื่นตาตื่นใจ เห้ยทำไมอาหารเค้าไซส์ใหญ่กว่าบ้านเราเยอะ จากกินต้องห่อกลับ กลายเป็นเกือบหมด หลังๆคือกินหมด กินดึก กินทุกอย่าง แปะ ภาพคร่าวๆเพื่ออรรถรสค่ะ 555555
พอกลับไทยมาทุกคนทักว่าอ้วนขึ้น ดำขึ้น (คนไทยอะแม่ 5555 แงนะ) เราอ้วนขึ้นประมาณ 6 กิโล จากประมาณ 52 (สูง 172ค่า) มาเป็น 58 กว่าๆ คือมันก็ไม่ได้อ้วนมาก มันแค่อ้วนขึ้น ตอนนั้นรับไม่ได้แต่ก็ไม่คิดจะลด เพราะรู้สึกมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
ตอนที่ 2: ลดน้ำหนักครั้งแรก
หลังจากกลับไทยมาได้ประมาณ 3 เดือน เราเลิกกับแฟนค่ะ อกหักครั้งแรก เจ็บเสมอ 555555 เลยตัดสินใจว่า เอาหน่อยว่ะ จะสวยให้เสียดาย (ความคิดวัย 19 ค่ะ 55555) เลยตัดสินใจออกกำลังกาย + กินคลีน ไม่ได้มีความรู้เลยค่ะ เข้าใจแค่เราดูแคลบนหน้าจอลู่วิ่ง จักรยาน แล้วก็กินของที่ไม่แปรรูป จะทำให้ผอมลง เราเลยวิ่งวันละประมาณ 1ชั่วโมงกว่า เล่นคลิปหน้าท้องตามยูทูป แล้วก็ชกมวย 3-4 วันต่ออาทิตย์ อาหารส่วนใหญ่จะประมาณนี้ค่ะ (ไปเซฟจากเฟสปีเก่าๆมาค่า)
ประมาณ สองเดือนครึ่งน้ำหนักก็ลดไปประมาณเท่าเดิมค่ะ ถือว่าไม่ทรมานเลย (ออกกำลังไม่ทรมาน แต่อกหักทรมานมากค่ะ 55555)
ตอนที่ 3: ผอมแล้วกลับไปอ้วนใหม่ (ใหญ่กว่าเดิม)
หลังจากกลับไปผอมเท่าๆเดิม ต่อมากี้ย้ายไปเรียนที่สวีเดนประมาณครึ่งปีค่ะ ตลอดช่วงที่อยู่คือมันตื่นตาตื่นใจกับของกินมากค่ะ + ช่วงไหนมีวันหยุดเราก็ซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวอย่างเดียว เที่ยวมันมาคู่กับกิน + อากาศตอนที่ไปเป็นหน้าหนาวค่ะ -16 องศา วันๆแทบไม่ขยับตัวเลย ขึ้นรถ ขึ้นซับเวย์อย่างเดียว
ตอนนั้นเราติดไอติมมากๆ ของหวาน เบเกอรี่ ชอบทุกอย่าง ออกกำลังกายแต่น้อยมาก ถ้าเทียบกับสิ่งที่กิน ไปค่ะ หาภาพไม่เจอ แต่คือด้านซ้ายอันนี้ค่า
สรุปคือตลอด 6 เดือนน้ำหนักขึ้นประมาณ 10 โลนิดๆ กลับไทยมา พ่อแม่ก็ช็อคตั้งแต่เดินออกมาจากเกทสนามบิน คราวนี้คืออ้วนจริงแบบตัวเราเองก็รู้ เดินแล้วขาเบียด ตั้งใจว่า เอาล่ะ กลับไทยแล้ว No excuse ต้องลดได้แล้ว
ตอนที่ 4: อ้วนแล้วกลับมาผอมใหม่ + Eating Disorder (เล็กกว่าเดิม)
เป็นช่วงที่อยู่ปี 4 ที่จุฬา กลับมาอย่างแรกคือไปสมัครฟิตเนสแห่งหนึ่งในพารากอน เพราะคือไม่ไหวแล้ว 5555555 แล้วก็ค่อยๆกลับมากินคลีน ซื้ออาหารคลีนกล่องตามร้านอาหารคลีน คุณแม่ก็อยากให้ลูกผอม ทำอาหารต้ม นึ่ง ผัดน้ำให้ ทุกวันเราเล่นคลาสยกเวท1ชั่วโมง คาร์ดิโอ1ชั่วโมง ทำแบบนี้ทุกวันประมาณ 4 เดือนก็เริ่มผอมลงแบบคนทัก มันเริ่มฮึกเหิม เราก็ยิ่งเพิ่มปริมาณการออกกำลังกายมากขึ้น เลือกกินมากขึ้น บางวันวิ่ง3ชั่วโมง เล่นอย่างอื่นอีก รวมๆ 4 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเลิกเรียนกี่โมงเราก็จะแบ่งเวลาออกกำลัง 3-4ชั่วโมงเสมอ อาจจะแบ่งเช้าเย็น หรือรวบตอนเย็น จนผ่านไปประมาณครึ่งปี เราผอมลองมากๆ แล้วเราเริ่มรู้สึกตัวว่าสุขภาพจิตไม่ปกติ
เราไม่อยากกินอาหารนอกบ้าน ถ้าไปกินข้าวกับที่บ้าน เพื่อน แฟน จะต้องสั่งอาหารแยก ไม่กินของอ้วน ถ้าเผลอกินของอ้วนจะไปวิ่งแก้กรรม2ชั่วโมงเพิ่มจากการออกกำลังกายปกติ (2 ชั่วโมง) เรามีเรื่องกิน ออกกำลังกาย ผอม อ้วนในหัวตลอดเวลา ทั้งๆที่ตอนนั้นเราน้ำหนักแค่ประมาณ 51 คือผอมกว่าตอนแรกอีก ตอนนั้นเริ่มประจำเดือนขาด ผอมร่วง เล็บบาง (อวสารการทำเล็บเจล เพราะหน้าเล็บมันบางมาก) มันแย่ถึงขั้นหน้ามืดตอนเก็บเพลทในยิมทำเพลทตกใส่โทรศัพท์แตก
ตอนที่ 5: Binge Eating Disorder + พบแพทย์ + รักษา
หลังจากยิ่งอดๆไปประมาณ 3 เดือน เราเริ่มรู้สึกหิวตลอดเวลา แลกินเยอะขึ้น มันทำให้เราเครียดมากเพราะเรากลัวว่าจะกลับไปอ้วนอีก ยิ่งเครียด กลายเป็นยิ่งกิน จนกลายเป็นหยุดไม่ได้ เราอิ่มแล้วแต่ก็ยังกินเข้าไปเรื่อยๆ เป็นแบบนี้ประมาณ 3 เดือน ก่อนสถานการณ์เลวร้ายลง คือหยุดไม่ได้แบบจริงๆ เราสามารถกินข้าว 3 จาน ต่อด้วยขนมปังทั้งแถว เนยถั่วกินเล่นๆทั้งกระปุก ชานมหวาน 100% (ไม่หวานน้อยจ้า หวานร้อย55555) โดนัท 4-5ชิ้น เป็นแบบนี้นานมากค่ะ รวมๆทั้งหมดน่าจะ เกือบ 10 เดือนได้ จนสุดท้ายตัดสินใจไปหาจิตแพทย์ (โรงพยาบาบจิตเวชแถวบางนาค่ะ) คุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นซึมเศร้ากับ Eating disorder แล้วจัดยามาให้ แต่เรารู้ว่ายามันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
แล้วเราก็มาถึงจุดที่เราหนักที่สุดในชีวิต เราหนัก 75 กิโล น้ำหนักค่อยๆเพิ่มจากช่วงที่ต่ำสุด ประมาณเกือบ 20 โล ภายในเวลาประมาณปีนิดๆ ถ้านับจากตอนที่ผอมที่สุด
ตอนที่ 6: กว่าจะเจอวิธีที่ใช่ (และถูกต้อง) - ปัจจุบัน
หลังจากพบหมอเราก็ยังไม่หาย และตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปรักษาต่อแต่จะรักษาตัวเอง ความบังเอิญคือช่วงนั้นงานเรายุ่งมากพอดี ยุ่งแบบเราเหนื่อยไม่อยากออกกำลังกายตอนหลังเลิก เราไม่ค่อยคิดเรื่องกิน มีอะไรกินได้ก็กิน ข้าวแกง ฟาสท์ฟู้ด กินข้าวปกติที่บ้านกับเพื่อน ผ่านไปประมาณ 3 เดือน เราผอมลงไปเองประมาณ 4-5 กิโล เราแบบเอ๊ะ มันเกิดอะไรขึ้น พอมาคิดๆดูคือเราหยุด Binge ไปเอง การหยุด Binge คือเราตัดแคลอรี่ส่วนเกินวันละ 2000 แคล ที่นั่งกินขนมปังเป็นแถวๆ เลย์สองสามห่อ ชานม เราตัดออกไปเองจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป
เราตัดสินใจว่าครั้งนี้จะใจเย็นๆและจะไม่ทำลายสุขภาพตัวเองอีก เรากลับมาเริ่มออกกำลังกาย เวท&คาร์ดิโอวันละประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มจากสัปดาห์ละ 3-4 วัน (พอกลับมาใหม่มันเหนื่อยอ่ะ 55555) กับเริ่มกลับมาเลือกกินมากขึ้น ลดของทอด ของมัน ของหวานแต่ก็ยังกินบ้าง ทำให้เราไม่มีตบะแตกอีกเลย (หรือน้อยมากๆ) ผ่านไปประมาณ ครึ่งปี น้ำหนักเราลดเรามาเหลือประมาณ 64-65 แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ เราแข็งแรงขึ้น มีกล้ามเนื้อมากขึ้น สภาพจิตใจปกติ ได้กินทุกอย่างที่อยากกิน ทั้งของทีชอบ & ของที่ดีกับสุขภาพ เรามีความสุขในการออกกำลังกาย เป้าหมายไม่ใช่การลดน้ำหนักอีกต่อไปแต่คือการเป็นคนที่แข็งแรงขึ้น
ปัจจุบันเราผ่านจากการลดน้ำหนักครั้งสุดท้ายมาเกือบๆ3ปีแล้ว เราแข็งแรงขึ้นทุกๆปี น้ำหนักไม่เหวี่ยงขึ้นลงเป็นสิบๆกิโลอีกเลย
สุดท้ายนี้ กี้อยากให้กำลังใจทุกๆคนที่กำลังเริ่มต้นดูแลสุขภาพ จากการผ่านการลองผิดลองถูกมา กี้ว่า สุดท้ายแล้วมันจะวนกลับมาที่ ‘การออกกำลังกายสม่ำเสมอ + ทานอาหารอย่างมีสติ’ หาวิธีการออกกำลังกายที่เราชอบ ทำไปได้นาน เลือกทานอาหารแบบที่เราจะกินไปได้ตลอด กี้เคยพยายามลอง IF, คีโต มังสวิรัติ แต่รู้ว่ามันทำให้ชีวิตเรายาก ไม่เห็นตัวเองยังทำแบบนี้ในอีก 2-3 หรือ 10ปีก็เลยเลิก ในแง่ของผลลัพธ์ การลดน้ำหนักมันคือ Cal in < Cal out จะกินยังไง ถ้ากินเกินที่ใช้ มันก็อ้วนอยู่ดี
ฝากไอจีออกกำลังกาย @kiekiekieee เผื่อจะ motivate เพื่อนๆได้บ้างค่า
มหากาพย์ลดความอ้วนเกือบ6ปี จากอ้วนมาผอม กลับไปอ้วน พบจิตแพทย์ จนหาย
*ไม่ใช้อาหารเสริมหรือยาลดน้ำหนักใดๆนะคะ จะพยายามหารูปมาให้น้า วิดิโอเพิ่มเติม อินสตาแกรม @kiekiekieee ค่า
แบ่งเป็นตอนๆเพื่อความอ่านง่าย
ตอนที่ 1: อ้วนครั้งแรก ช็อคๆ เห้ยทำไมเราอ้วน
ตอนที่ 2: ลดน้ำหนักครั้งแรก
ตอนที่ 3: ผอมแล้วกลับไปอ้วนใหม่ (ใหญ่กว่าเดิม)
ตอนที่ 4: อ้วนแล้วกลับมาผอมใหม่ + Eating Disorder (เล็กกว่าเดิม)
ตอนที่ 5: Binge Eating Disorder + พบแพทย์ + รักษา
ตอนที่ 6: กว่าจะเจอวิธีที่ใช่ (และถูกต้อง) - ปัจจุบัน
ตอนที่ 1: อ้วนครั้งแรก ช็อคๆ เห้ยทำไมเราอ้วน
ขอเกริ่นก่อนว่า ด้วยความโชคดี กี้เกิดมาสูงผอมและค่อนข้างอ้วนยากค่ะ (ความเชื่อตอน 18 ค่ะ ตอนนี้ 26 ไม่คิดงี้แล้ว 555555)
กินยังไงมันก็ไม่อ้วนค่ะ ชะล่าใจมาก ไปอยู่อเมริกาประมาณ 4 เดือน ความตื่นตาตื่นใจ เห้ยทำไมอาหารเค้าไซส์ใหญ่กว่าบ้านเราเยอะ จากกินต้องห่อกลับ กลายเป็นเกือบหมด หลังๆคือกินหมด กินดึก กินทุกอย่าง แปะ ภาพคร่าวๆเพื่ออรรถรสค่ะ 555555
พอกลับไทยมาทุกคนทักว่าอ้วนขึ้น ดำขึ้น (คนไทยอะแม่ 5555 แงนะ) เราอ้วนขึ้นประมาณ 6 กิโล จากประมาณ 52 (สูง 172ค่า) มาเป็น 58 กว่าๆ คือมันก็ไม่ได้อ้วนมาก มันแค่อ้วนขึ้น ตอนนั้นรับไม่ได้แต่ก็ไม่คิดจะลด เพราะรู้สึกมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
ตอนที่ 2: ลดน้ำหนักครั้งแรก
หลังจากกลับไทยมาได้ประมาณ 3 เดือน เราเลิกกับแฟนค่ะ อกหักครั้งแรก เจ็บเสมอ 555555 เลยตัดสินใจว่า เอาหน่อยว่ะ จะสวยให้เสียดาย (ความคิดวัย 19 ค่ะ 55555) เลยตัดสินใจออกกำลังกาย + กินคลีน ไม่ได้มีความรู้เลยค่ะ เข้าใจแค่เราดูแคลบนหน้าจอลู่วิ่ง จักรยาน แล้วก็กินของที่ไม่แปรรูป จะทำให้ผอมลง เราเลยวิ่งวันละประมาณ 1ชั่วโมงกว่า เล่นคลิปหน้าท้องตามยูทูป แล้วก็ชกมวย 3-4 วันต่ออาทิตย์ อาหารส่วนใหญ่จะประมาณนี้ค่ะ (ไปเซฟจากเฟสปีเก่าๆมาค่า)
ประมาณ สองเดือนครึ่งน้ำหนักก็ลดไปประมาณเท่าเดิมค่ะ ถือว่าไม่ทรมานเลย (ออกกำลังไม่ทรมาน แต่อกหักทรมานมากค่ะ 55555)
ตอนที่ 3: ผอมแล้วกลับไปอ้วนใหม่ (ใหญ่กว่าเดิม)
หลังจากกลับไปผอมเท่าๆเดิม ต่อมากี้ย้ายไปเรียนที่สวีเดนประมาณครึ่งปีค่ะ ตลอดช่วงที่อยู่คือมันตื่นตาตื่นใจกับของกินมากค่ะ + ช่วงไหนมีวันหยุดเราก็ซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวอย่างเดียว เที่ยวมันมาคู่กับกิน + อากาศตอนที่ไปเป็นหน้าหนาวค่ะ -16 องศา วันๆแทบไม่ขยับตัวเลย ขึ้นรถ ขึ้นซับเวย์อย่างเดียว
ตอนนั้นเราติดไอติมมากๆ ของหวาน เบเกอรี่ ชอบทุกอย่าง ออกกำลังกายแต่น้อยมาก ถ้าเทียบกับสิ่งที่กิน ไปค่ะ หาภาพไม่เจอ แต่คือด้านซ้ายอันนี้ค่า
สรุปคือตลอด 6 เดือนน้ำหนักขึ้นประมาณ 10 โลนิดๆ กลับไทยมา พ่อแม่ก็ช็อคตั้งแต่เดินออกมาจากเกทสนามบิน คราวนี้คืออ้วนจริงแบบตัวเราเองก็รู้ เดินแล้วขาเบียด ตั้งใจว่า เอาล่ะ กลับไทยแล้ว No excuse ต้องลดได้แล้ว
ตอนที่ 4: อ้วนแล้วกลับมาผอมใหม่ + Eating Disorder (เล็กกว่าเดิม)
เป็นช่วงที่อยู่ปี 4 ที่จุฬา กลับมาอย่างแรกคือไปสมัครฟิตเนสแห่งหนึ่งในพารากอน เพราะคือไม่ไหวแล้ว 5555555 แล้วก็ค่อยๆกลับมากินคลีน ซื้ออาหารคลีนกล่องตามร้านอาหารคลีน คุณแม่ก็อยากให้ลูกผอม ทำอาหารต้ม นึ่ง ผัดน้ำให้ ทุกวันเราเล่นคลาสยกเวท1ชั่วโมง คาร์ดิโอ1ชั่วโมง ทำแบบนี้ทุกวันประมาณ 4 เดือนก็เริ่มผอมลงแบบคนทัก มันเริ่มฮึกเหิม เราก็ยิ่งเพิ่มปริมาณการออกกำลังกายมากขึ้น เลือกกินมากขึ้น บางวันวิ่ง3ชั่วโมง เล่นอย่างอื่นอีก รวมๆ 4 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเลิกเรียนกี่โมงเราก็จะแบ่งเวลาออกกำลัง 3-4ชั่วโมงเสมอ อาจจะแบ่งเช้าเย็น หรือรวบตอนเย็น จนผ่านไปประมาณครึ่งปี เราผอมลองมากๆ แล้วเราเริ่มรู้สึกตัวว่าสุขภาพจิตไม่ปกติ
เราไม่อยากกินอาหารนอกบ้าน ถ้าไปกินข้าวกับที่บ้าน เพื่อน แฟน จะต้องสั่งอาหารแยก ไม่กินของอ้วน ถ้าเผลอกินของอ้วนจะไปวิ่งแก้กรรม2ชั่วโมงเพิ่มจากการออกกำลังกายปกติ (2 ชั่วโมง) เรามีเรื่องกิน ออกกำลังกาย ผอม อ้วนในหัวตลอดเวลา ทั้งๆที่ตอนนั้นเราน้ำหนักแค่ประมาณ 51 คือผอมกว่าตอนแรกอีก ตอนนั้นเริ่มประจำเดือนขาด ผอมร่วง เล็บบาง (อวสารการทำเล็บเจล เพราะหน้าเล็บมันบางมาก) มันแย่ถึงขั้นหน้ามืดตอนเก็บเพลทในยิมทำเพลทตกใส่โทรศัพท์แตก
ตอนที่ 5: Binge Eating Disorder + พบแพทย์ + รักษา
หลังจากยิ่งอดๆไปประมาณ 3 เดือน เราเริ่มรู้สึกหิวตลอดเวลา แลกินเยอะขึ้น มันทำให้เราเครียดมากเพราะเรากลัวว่าจะกลับไปอ้วนอีก ยิ่งเครียด กลายเป็นยิ่งกิน จนกลายเป็นหยุดไม่ได้ เราอิ่มแล้วแต่ก็ยังกินเข้าไปเรื่อยๆ เป็นแบบนี้ประมาณ 3 เดือน ก่อนสถานการณ์เลวร้ายลง คือหยุดไม่ได้แบบจริงๆ เราสามารถกินข้าว 3 จาน ต่อด้วยขนมปังทั้งแถว เนยถั่วกินเล่นๆทั้งกระปุก ชานมหวาน 100% (ไม่หวานน้อยจ้า หวานร้อย55555) โดนัท 4-5ชิ้น เป็นแบบนี้นานมากค่ะ รวมๆทั้งหมดน่าจะ เกือบ 10 เดือนได้ จนสุดท้ายตัดสินใจไปหาจิตแพทย์ (โรงพยาบาบจิตเวชแถวบางนาค่ะ) คุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นซึมเศร้ากับ Eating disorder แล้วจัดยามาให้ แต่เรารู้ว่ายามันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
แล้วเราก็มาถึงจุดที่เราหนักที่สุดในชีวิต เราหนัก 75 กิโล น้ำหนักค่อยๆเพิ่มจากช่วงที่ต่ำสุด ประมาณเกือบ 20 โล ภายในเวลาประมาณปีนิดๆ ถ้านับจากตอนที่ผอมที่สุด
ตอนที่ 6: กว่าจะเจอวิธีที่ใช่ (และถูกต้อง) - ปัจจุบัน
หลังจากพบหมอเราก็ยังไม่หาย และตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปรักษาต่อแต่จะรักษาตัวเอง ความบังเอิญคือช่วงนั้นงานเรายุ่งมากพอดี ยุ่งแบบเราเหนื่อยไม่อยากออกกำลังกายตอนหลังเลิก เราไม่ค่อยคิดเรื่องกิน มีอะไรกินได้ก็กิน ข้าวแกง ฟาสท์ฟู้ด กินข้าวปกติที่บ้านกับเพื่อน ผ่านไปประมาณ 3 เดือน เราผอมลงไปเองประมาณ 4-5 กิโล เราแบบเอ๊ะ มันเกิดอะไรขึ้น พอมาคิดๆดูคือเราหยุด Binge ไปเอง การหยุด Binge คือเราตัดแคลอรี่ส่วนเกินวันละ 2000 แคล ที่นั่งกินขนมปังเป็นแถวๆ เลย์สองสามห่อ ชานม เราตัดออกไปเองจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป
เราตัดสินใจว่าครั้งนี้จะใจเย็นๆและจะไม่ทำลายสุขภาพตัวเองอีก เรากลับมาเริ่มออกกำลังกาย เวท&คาร์ดิโอวันละประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มจากสัปดาห์ละ 3-4 วัน (พอกลับมาใหม่มันเหนื่อยอ่ะ 55555) กับเริ่มกลับมาเลือกกินมากขึ้น ลดของทอด ของมัน ของหวานแต่ก็ยังกินบ้าง ทำให้เราไม่มีตบะแตกอีกเลย (หรือน้อยมากๆ) ผ่านไปประมาณ ครึ่งปี น้ำหนักเราลดเรามาเหลือประมาณ 64-65 แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ เราแข็งแรงขึ้น มีกล้ามเนื้อมากขึ้น สภาพจิตใจปกติ ได้กินทุกอย่างที่อยากกิน ทั้งของทีชอบ & ของที่ดีกับสุขภาพ เรามีความสุขในการออกกำลังกาย เป้าหมายไม่ใช่การลดน้ำหนักอีกต่อไปแต่คือการเป็นคนที่แข็งแรงขึ้น
ปัจจุบันเราผ่านจากการลดน้ำหนักครั้งสุดท้ายมาเกือบๆ3ปีแล้ว เราแข็งแรงขึ้นทุกๆปี น้ำหนักไม่เหวี่ยงขึ้นลงเป็นสิบๆกิโลอีกเลย
สุดท้ายนี้ กี้อยากให้กำลังใจทุกๆคนที่กำลังเริ่มต้นดูแลสุขภาพ จากการผ่านการลองผิดลองถูกมา กี้ว่า สุดท้ายแล้วมันจะวนกลับมาที่ ‘การออกกำลังกายสม่ำเสมอ + ทานอาหารอย่างมีสติ’ หาวิธีการออกกำลังกายที่เราชอบ ทำไปได้นาน เลือกทานอาหารแบบที่เราจะกินไปได้ตลอด กี้เคยพยายามลอง IF, คีโต มังสวิรัติ แต่รู้ว่ามันทำให้ชีวิตเรายาก ไม่เห็นตัวเองยังทำแบบนี้ในอีก 2-3 หรือ 10ปีก็เลยเลิก ในแง่ของผลลัพธ์ การลดน้ำหนักมันคือ Cal in < Cal out จะกินยังไง ถ้ากินเกินที่ใช้ มันก็อ้วนอยู่ดี
ฝากไอจีออกกำลังกาย @kiekiekieee เผื่อจะ motivate เพื่อนๆได้บ้างค่า