จากที่ดูไทม์ไลน์ในแต่ละวัน จุดเสี่ยงส่วนมากจะเป็นสถานบันเทิง ร้านค้า หรือสถานที่ต่างๆ แต่ไม่มีไทม์ไลน์แจ้งว่าผู้ติดเชื้อพักอยู่ในหมู่บ้านอะไร (ในเขตเมืองที่เป็นหมู่บ้านจัดสรร)
เรามองว่าหมู่บ้านจัดสรร คอนโด ก็เป็นพื้นที่เสี่ยงพอๆ กับการออกนอกบ้านเหมือนกัน เพราะสถานที่เหล่านี้มีพื้นที่สาธารณะที่ใช้ร่วมกัน เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนต และสนามเด็กเล่น
และแต่ละหมู่บ้านมีหลายหลังคา จำนวนผู้อยู่อาศัยมีทุกวัย จะบอกว่าให้อยู่แต่บ้าน แล้วหากไทม์ไลน์ไม่มีการแจ้งชื่อหมู่บ้านหรือชื่อสถานที่พักของผู้ติดเชื้อโควิด ผู้พักอาศัยก็ไม่มีใครรู้ว่าในชุมชนของตนเองมีผู้ติดเชื้อโควิดหรือไม่ ถ้าจะบอกว่าอย่าเดินออกนอกบ้าน มันก็ทำได้ แต่เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เจ้าหน้าที่ส่งของบริษัทเอกชน คือคนเดียวกัน แล้วขับรถวนส่งรอบหมู่บ้าน หรือพนักงานส่งอาหาร Delivery ก็คนเดียวกัน
ยกตัวอย่าง เช่น กรณีของเรา บ้านที่เราพักเป็นบ้านแฝด เมื่ออาทิตย์ก่อนมี รถตู้จากโรงพยาบาลมารับผู้ชายข้างบ้าน ซึ่งวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ เราอยู่บ้าน เราก็เห็น ตอนแรกเราก็คิดว่ามีใครป่วยเป็นอะไรในซอย เราก็ยืนดู รถตู้มาจอดตรงหน้าบ้านแฝดที่คู่กับเรา และมีเจ้าหน้าที่ลงมาเปิดประตูรถ เราก็เอะใจ ว่าข้างบ้านเป็นอะไร สักพักก็เห็นผู้ชายข้างบ้านใส่แมสและหิ้วของเดินขึ้นรถตู้ไป แต่ที่สิ่งเราสงสัยวันนั้นคือ ไม่มีเจ้าหน้าที่มาพยุงตัวผู้ป่วย และชุดเจ้าหน้าที่ที่มารับก็แตกต่างจากตอนที่เราให้มารับสามีของเราตอนที่เขาป่วย
จนเวลาผ่านไปครบ 1 สัปดาห์ ผู้ชายข้างบ้านก็ยังไม่กลับมา เราเห็นแค่ภรรยาและลูกๆ ของเขาอยู่บ้านทุกวัน ประตูรั้วปิดตลอด จากปกติคือภรรยาของเขาจะขับรถพาลูกๆ ออกไปข้างนอกตลอด ตอนนั้นเราก็เริ่มสงสัยว่า หรือว่าสามีของเขาไปพื้นที่เสี่ยงมา เลยเรียกรถพยาบาลมาเพื่อรับไปกักตัวที่โรงพยาบาล
สำหรับภรรยาของเขาก็มีการสั่งของออนไลน์และมีรถมาส่งของหน้าบ้าน และมีสั่งอาหารแบบ Delivery ให้มาส่งหน้าบ้านตลอดในช่วงที่สามีไม่อยู่
ความสงสัยของการเป็นเพื่อนบ้านที่รั้วติดกันก็ยังคงมีอยู่ และพยายามคิดว่าเขาคงไม่ติดมั้ง จริงๆ เราเพิ่งกลับมาอยู่บ้านช่วงที่ลูกปิดเทอม เลยได้เห็นว่ามีรถคันไหนวิ่งเข้า-ออกในซอยตลอด และอาทิตย์ที่แล้วเราก็เห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาภรรยาของเขาที่บ้าน แต่ก็เป็นปกติที่มีคนเข้า-ออกบ้านเขา
จนเราได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดและกลับมา เราก็ยังไม่เห็นว่าสามีของเขากลับมา แต่มีป้ายจากสาธารณสุขมาปิดหน้าบ้าน จนเราทราบจากคนรู้จักว่าเขาติดเชื้อ ในหมู่บ้านมี 2 ซอย ที่ติด เราก็ตกใจนะ แต่สิ่งที่เราสงสัยคือทำไมโครงการหมู่บ้านไม่แจ้งลูกบ้านว่ามีผู้ติดเชื้อในหมู่บ้าน จะทำเป็นเอกสารใส่ตู้จดหมายก็ได้ เพื่อให้ลูกบ้านระมัดระวังตนเอง เพราะสิ่งที่เรารู้คือไม่ได้มาจากทางโครงการแจ้ง และสมาชิกหลายๆ หลังคาก็ไม่มีใครรู้ ก็ยังคงวิ่งเล่นกันตามถนนเหมือนเดิม มีทั้งคนแก่ และเด็กๆ เพราะทุกคนคิดว่าในหมู่บ้านตนเองปลอดภัย เนื่องจากไม่ปรากฎชื่อในไทม์ไลน์ว่าเป็นพื้นที่เสี่ยง (ก่อนที่รถจากโรงพยาบาลจะมารับผู้ชายข้างบ้านไป ตัวผู้ชายเขาจะออกกำลังกายในถนนของหมู่บ้านตลอด)
สำหรับตัวเราปกติเรากับข้างบ้านไม่ค่อยคุยกัน จะมีทักทายกันแค่สวัสดี เพราะเขาเป็นต่างชาติที่มาเช่าบ้านอยู่แบบเป็นครอบครัว ตอนนี้ก็คงต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น แต่เห็นใจคนเก็บขยะของหมู่บ้าน เพราะต้องเก็บขยะให้ทุกบ้าน จนไม่กล้าเก็บบ้านเหล่านั้น เพราะไม่มั่นใจเรื่องการสัมผัสเชื้อ
ตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าเขาติดทั้งครอบครัว หรือติดแค่สามีแค่นั้น (หรือสามีไม่ได้ติด แต่ป้ายที่มาติดหน้าบ้านคืออะไร) เพราะไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจน เพื่อนบ้านที่รั้วติดกันแบบเราจะได้ทำตัวถูกว่าจะต้องระวังตนเองแค่ไหน
สงสัยว่าทำไมไม่ค่อยเห็นมีการแจ้งไทม์ไลน์เป็นสถานที่พักของผู้ติดเชื้อโควิด
เรามองว่าหมู่บ้านจัดสรร คอนโด ก็เป็นพื้นที่เสี่ยงพอๆ กับการออกนอกบ้านเหมือนกัน เพราะสถานที่เหล่านี้มีพื้นที่สาธารณะที่ใช้ร่วมกัน เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนต และสนามเด็กเล่น
และแต่ละหมู่บ้านมีหลายหลังคา จำนวนผู้อยู่อาศัยมีทุกวัย จะบอกว่าให้อยู่แต่บ้าน แล้วหากไทม์ไลน์ไม่มีการแจ้งชื่อหมู่บ้านหรือชื่อสถานที่พักของผู้ติดเชื้อโควิด ผู้พักอาศัยก็ไม่มีใครรู้ว่าในชุมชนของตนเองมีผู้ติดเชื้อโควิดหรือไม่ ถ้าจะบอกว่าอย่าเดินออกนอกบ้าน มันก็ทำได้ แต่เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เจ้าหน้าที่ส่งของบริษัทเอกชน คือคนเดียวกัน แล้วขับรถวนส่งรอบหมู่บ้าน หรือพนักงานส่งอาหาร Delivery ก็คนเดียวกัน
ยกตัวอย่าง เช่น กรณีของเรา บ้านที่เราพักเป็นบ้านแฝด เมื่ออาทิตย์ก่อนมี รถตู้จากโรงพยาบาลมารับผู้ชายข้างบ้าน ซึ่งวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ เราอยู่บ้าน เราก็เห็น ตอนแรกเราก็คิดว่ามีใครป่วยเป็นอะไรในซอย เราก็ยืนดู รถตู้มาจอดตรงหน้าบ้านแฝดที่คู่กับเรา และมีเจ้าหน้าที่ลงมาเปิดประตูรถ เราก็เอะใจ ว่าข้างบ้านเป็นอะไร สักพักก็เห็นผู้ชายข้างบ้านใส่แมสและหิ้วของเดินขึ้นรถตู้ไป แต่ที่สิ่งเราสงสัยวันนั้นคือ ไม่มีเจ้าหน้าที่มาพยุงตัวผู้ป่วย และชุดเจ้าหน้าที่ที่มารับก็แตกต่างจากตอนที่เราให้มารับสามีของเราตอนที่เขาป่วย
จนเวลาผ่านไปครบ 1 สัปดาห์ ผู้ชายข้างบ้านก็ยังไม่กลับมา เราเห็นแค่ภรรยาและลูกๆ ของเขาอยู่บ้านทุกวัน ประตูรั้วปิดตลอด จากปกติคือภรรยาของเขาจะขับรถพาลูกๆ ออกไปข้างนอกตลอด ตอนนั้นเราก็เริ่มสงสัยว่า หรือว่าสามีของเขาไปพื้นที่เสี่ยงมา เลยเรียกรถพยาบาลมาเพื่อรับไปกักตัวที่โรงพยาบาล
สำหรับภรรยาของเขาก็มีการสั่งของออนไลน์และมีรถมาส่งของหน้าบ้าน และมีสั่งอาหารแบบ Delivery ให้มาส่งหน้าบ้านตลอดในช่วงที่สามีไม่อยู่
ความสงสัยของการเป็นเพื่อนบ้านที่รั้วติดกันก็ยังคงมีอยู่ และพยายามคิดว่าเขาคงไม่ติดมั้ง จริงๆ เราเพิ่งกลับมาอยู่บ้านช่วงที่ลูกปิดเทอม เลยได้เห็นว่ามีรถคันไหนวิ่งเข้า-ออกในซอยตลอด และอาทิตย์ที่แล้วเราก็เห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาภรรยาของเขาที่บ้าน แต่ก็เป็นปกติที่มีคนเข้า-ออกบ้านเขา
จนเราได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดและกลับมา เราก็ยังไม่เห็นว่าสามีของเขากลับมา แต่มีป้ายจากสาธารณสุขมาปิดหน้าบ้าน จนเราทราบจากคนรู้จักว่าเขาติดเชื้อ ในหมู่บ้านมี 2 ซอย ที่ติด เราก็ตกใจนะ แต่สิ่งที่เราสงสัยคือทำไมโครงการหมู่บ้านไม่แจ้งลูกบ้านว่ามีผู้ติดเชื้อในหมู่บ้าน จะทำเป็นเอกสารใส่ตู้จดหมายก็ได้ เพื่อให้ลูกบ้านระมัดระวังตนเอง เพราะสิ่งที่เรารู้คือไม่ได้มาจากทางโครงการแจ้ง และสมาชิกหลายๆ หลังคาก็ไม่มีใครรู้ ก็ยังคงวิ่งเล่นกันตามถนนเหมือนเดิม มีทั้งคนแก่ และเด็กๆ เพราะทุกคนคิดว่าในหมู่บ้านตนเองปลอดภัย เนื่องจากไม่ปรากฎชื่อในไทม์ไลน์ว่าเป็นพื้นที่เสี่ยง (ก่อนที่รถจากโรงพยาบาลจะมารับผู้ชายข้างบ้านไป ตัวผู้ชายเขาจะออกกำลังกายในถนนของหมู่บ้านตลอด)
สำหรับตัวเราปกติเรากับข้างบ้านไม่ค่อยคุยกัน จะมีทักทายกันแค่สวัสดี เพราะเขาเป็นต่างชาติที่มาเช่าบ้านอยู่แบบเป็นครอบครัว ตอนนี้ก็คงต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น แต่เห็นใจคนเก็บขยะของหมู่บ้าน เพราะต้องเก็บขยะให้ทุกบ้าน จนไม่กล้าเก็บบ้านเหล่านั้น เพราะไม่มั่นใจเรื่องการสัมผัสเชื้อ
ตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าเขาติดทั้งครอบครัว หรือติดแค่สามีแค่นั้น (หรือสามีไม่ได้ติด แต่ป้ายที่มาติดหน้าบ้านคืออะไร) เพราะไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจน เพื่อนบ้านที่รั้วติดกันแบบเราจะได้ทำตัวถูกว่าจะต้องระวังตนเองแค่ไหน