๕
พิชญ์พงศ์นั่งรออยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าคนที่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำจะกลับมาสักที เขาจึงสั่งเครื่องดื่มสำหรับตัวเองและสั่งเมนูที่หญิงสาวเคยบอกว่าชื่นชอบเป็นพิเศษมาไว้รอ ระหว่างนี้ก็หวนนึกไปถึงเหตุการณ์ในคืนวันแต่งงานของเพื่อนรัก
ปากหยักยกยิ้มอย่างนึกขัน เมื่อนึกถึงสีหน้าราวกับเห็นผีของหญิงสาว เธอคงจะตกใจไม่น้อยที่เขาไม่ใช่คนที่เธอวาดฝันไว้ ถึงได้รีบผลุนผลันออกไปแบบนั้น ไม่รู้ป่านนี้แอบชิ่งหนีไปหรือยัง
“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนาน พอดีเพื่อนโทร.เข้ามาปรึกษาปัญหานิดหน่อย เลยคุยเพลินไปหน่อยน่ะค่ะ” ปาณฑรากล่าวขอโทษขอโพยขณะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม
เสียงใสๆ ที่ดังขึ้นเรียกให้พิชญ์พงศ์หลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
“ไม่เป็นไรครับ” บอกน้ำเสียงสุภาพ พร้อมเลื่อนแก้วชาเขียวไปให้หญิงสาว “จำได้ว่าคุณแป้งเคยบอกว่าชอบดื่มชาเขียว ผมเลยสั่งไว้ให้น่ะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวทำตาโตอย่างดีใจพร้อมยื่นมือไปรับแก้วชาเขียวจากเขา
“เอ๊ะ ของคุณเมนูอะไรคะ น่าอร่อยจัง ขอฉันลองชิมหน่อยได้ไหมคะ” ไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาตมือบางก็ยื่นไปแย่งแก้วในมือของเขามาถือไว้ ก่อนจะชะงักนิดหนึ่งเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“ต้องถ่ายรูปอัปลงเฟซบุ๊กก่อนสิ” หญิงสาวพึมพำก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วตั้งหน้าตั้งตาเก็บภาพเครื่องดื่มทั้งสองแก้วอย่างเอาจริงเอาจัง
ด้านพิชญ์พงศ์นั้นก็ปล่อยให้หญิงสาวเก็บภาพตามใจชอบ ขณะเดียวกันก็ลอบพิจารณาใบหน้ารูปไข่ของคนตรงหน้าไปด้วย ดวงตากลมโตรายล้อมด้วยแพขนตางอน บวกกับจมูกโด่งเชิดรับกับปากสีชมพูรูปกระจับ ทุกอย่างในตัวเธอช่างดูลงตัว
เมื่อรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับจ้อง คนที่กำลังพยายามทำตัวให้น่าเบื่อก็เงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนร่วมโต๊ะ พลางส่งยิ้มแหยไปให้
“ขอโทษทีนะคะที่ถ่ายเพลินไปหน่อย ปกติฉันชอบถ่ายรูปอาหารของกินไปอัปลงเฟซบุ๊กน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ เชิญคุณแป้งตามสบายเลยครับ” ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ถือสา ด้วยเข้าใจดีว่าเป็นธรรมดาของผู้หญิงที่จะชอบถ่ายรูปไปอัปเดตลงโซเชียล
“งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะคะ” ว่าแล้วก็จัดการขยับแก้วไปมุมโน้นทีมุมนี้ทีอย่างไม่รู้เบื่อ
“จริงสิ เรายังไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกันเลย ผมขอแอดเพื่อนไปได้ไหมครับ”
พิชญ์พงศ์เอ่ยขึ้น และนั่นก็ทำให้คนฟังชะงักกึก ใบหน้าสวยหวานนั้นยับยุ่งเล็กน้อยก่อนจะสลายไปในเวลาแค่เสี้ยววินาที
“ถ้าคุณแป้งไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ” เขาพูดเสียงอ่อยเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนลำบากใจของอีกฝ่าย
“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ” ปาณฑราแสร้งปด ทั้งที่ใจจริงก็ไม่ได้อยากเพิ่มเขาเป็นเพื่อสักเท่าไร แต่พอมาคิดๆ ดูอีกที รับๆ ไปก่อนแล้วค่อยบล็อกทีหลังก็แล้วกัน
หลังบอกชื่อเฟซบุ๊กของตัวเองไป ก็มีแจ้งเตือนคำขอเพิ่มเพื่อนเด้งขึ้นมา หญิงสาวกดรับแล้วกดเข้าดูโพรไฟล์ของเขาคร่าวๆ แล้วก็ได้แต่นึกก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ ว่าทำไมไม่ขอแอดเฟซบุ๊กเขาไปก่อนที่จะนัดเจอกัน จะได้รู้ตัวเร็วกว่านี้ว่าที่เธอคุยด้วยอยู่ทุกวันน่ะคนละคนกับคนที่เธออยากสานสัมพันธ์ด้วย เพราะในเฟซบุ๊กมีรูปของเขาอยู่เยอะพอสมควร ซึ่งส่วนมากจะเป็นรูปที่คนอื่นแท็กมาเสียมากกว่าที่เขาจะโพสต์เอง
“คุณแป้งกินข้าวมาหรือยังครับ” พิชญ์พงศ์ถาม เพราะตอนนี้ก็บ่ายโมงกว่าเข้าไปแล้ว
“ยังค่ะ” ปาณฑราเงยหน้าขึ้นมาตอบ
“ไปกินข้าวกันก่อนไหมครับ ค่อยสั่งขนมมากิน”
“ก็ดีค่ะ”
เมื่อตกลงกันได้ทั้งสองก็ย้ายจากโซนคาเฟ่ไปยังโซนร้านอาหาร ซึ่งมีให้เลือกสองแบบ คือในห้องแอร์และโอเพนแอร์ที่ริมน้ำ ใจจริงทั้งสองอยากจะเลือกโซนริมน้ำ เพราะบรรยากาศค่อนข้างดี แต่เพราะตอนนี้แดดยังแรงอยู่จึงเลือกนั่งด้านในแทน
คล้อยหลังพนักงานรับออเดอร์ ปาณฑราก็พยักพเยิดให้พิชญ์พงศ์ดูชายหญิงคู่หนึ่งที่นั่งถัดไปสองโต๊ะ
“คุณว่าสองคนนั้นเขาเป็นอะไรกัน พ่อลูกหรือว่าคู่รัก” หญิงสาวโน้มตัวไปกระซิบกระซาบเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน
ชายหนุ่มมองตาม แล้วสองคนที่เธอว่าก็คือชายมีอายุกับหญิงสาววัยน่าจะราวๆ นักศึกษา เมื่อพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบคำถามของหญิงสาว
“น่าจะพ่อลูกนะครับ”
“แต่ฉันว่าเหมือนคู่รักมากกว่านะ คุณลองสังเกตดูดีๆ สิคะ ผู้ชายน่ะมองผู้หญิงตาหวานเยิ้มเลย แล้วผู้หญิงก็ดูเขินอายแปลกๆ ลูกที่ไหนจะมาเขินพ่อตัวเองกัน แล้วดูชุดที่ผู้หญิงใส่สิ เปิดเปลือยซะขนาดนั้นคงไม่ใช่ใส่มาอวดพ่อแน่ๆ ดีไม่ดีเป็นอาเสี่ยพาอีหนูมากินข้าวหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ปาณฑราแย้ง ทั้งยังวิเคราะห์เป็นอย่างๆ พร้อมกันนั้นก็ลอบสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย ว่าเขาจะมีท่าทีเอือมระอากับพฤติกรรมของเธอบ้างไหม
แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องผิดหวัง เมื่อพบเพียงรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ส่วนดวงตาเรียวเล็กนั้นก็พราวระยับแปลกๆ ไม่ได้มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจอย่างที่เธอคิดว่าจะได้เห็น
‘หรือเขาจะเป็นคนเก็บอาการเก่ง จริงๆ แล้วอาจจะเอือมระอาเต็มที แต่ต้องทำเป็นนิ่งไว้ก่อนแล้วค่อยชิ่งทีหลัง’
หญิงสาวครุ่นคิดจนหน้ายุ่ง ก่อนจะเพิ่มความน่ารำคาญให้ตัวเองด้วยการวิจารณ์ในทุกสิ่งที่คิดว่าจะหยิบยกวิจารณ์ได้ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าคนฟังนั้นต้องกลั้นขำแค่ไหนกับสิ่งที่เธอกำลังพยายามทำ เธอคงไม่รู้ว่าสีหน้าเธอนั้นดูกระอักกระอ่วนแค่ไหนที่ต้องทำเป็นวิจารณ์คนโน้นทีคนนี้ที
หัวใจพลิกล็อค...บทที่ 5
ปากหยักยกยิ้มอย่างนึกขัน เมื่อนึกถึงสีหน้าราวกับเห็นผีของหญิงสาว เธอคงจะตกใจไม่น้อยที่เขาไม่ใช่คนที่เธอวาดฝันไว้ ถึงได้รีบผลุนผลันออกไปแบบนั้น ไม่รู้ป่านนี้แอบชิ่งหนีไปหรือยัง
“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนาน พอดีเพื่อนโทร.เข้ามาปรึกษาปัญหานิดหน่อย เลยคุยเพลินไปหน่อยน่ะค่ะ” ปาณฑรากล่าวขอโทษขอโพยขณะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม
เสียงใสๆ ที่ดังขึ้นเรียกให้พิชญ์พงศ์หลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
“ไม่เป็นไรครับ” บอกน้ำเสียงสุภาพ พร้อมเลื่อนแก้วชาเขียวไปให้หญิงสาว “จำได้ว่าคุณแป้งเคยบอกว่าชอบดื่มชาเขียว ผมเลยสั่งไว้ให้น่ะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวทำตาโตอย่างดีใจพร้อมยื่นมือไปรับแก้วชาเขียวจากเขา
“เอ๊ะ ของคุณเมนูอะไรคะ น่าอร่อยจัง ขอฉันลองชิมหน่อยได้ไหมคะ” ไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาตมือบางก็ยื่นไปแย่งแก้วในมือของเขามาถือไว้ ก่อนจะชะงักนิดหนึ่งเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“ต้องถ่ายรูปอัปลงเฟซบุ๊กก่อนสิ” หญิงสาวพึมพำก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วตั้งหน้าตั้งตาเก็บภาพเครื่องดื่มทั้งสองแก้วอย่างเอาจริงเอาจัง
ด้านพิชญ์พงศ์นั้นก็ปล่อยให้หญิงสาวเก็บภาพตามใจชอบ ขณะเดียวกันก็ลอบพิจารณาใบหน้ารูปไข่ของคนตรงหน้าไปด้วย ดวงตากลมโตรายล้อมด้วยแพขนตางอน บวกกับจมูกโด่งเชิดรับกับปากสีชมพูรูปกระจับ ทุกอย่างในตัวเธอช่างดูลงตัว
เมื่อรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับจ้อง คนที่กำลังพยายามทำตัวให้น่าเบื่อก็เงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนร่วมโต๊ะ พลางส่งยิ้มแหยไปให้
“ขอโทษทีนะคะที่ถ่ายเพลินไปหน่อย ปกติฉันชอบถ่ายรูปอาหารของกินไปอัปลงเฟซบุ๊กน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ เชิญคุณแป้งตามสบายเลยครับ” ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ถือสา ด้วยเข้าใจดีว่าเป็นธรรมดาของผู้หญิงที่จะชอบถ่ายรูปไปอัปเดตลงโซเชียล
“งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะคะ” ว่าแล้วก็จัดการขยับแก้วไปมุมโน้นทีมุมนี้ทีอย่างไม่รู้เบื่อ
“จริงสิ เรายังไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกันเลย ผมขอแอดเพื่อนไปได้ไหมครับ”
พิชญ์พงศ์เอ่ยขึ้น และนั่นก็ทำให้คนฟังชะงักกึก ใบหน้าสวยหวานนั้นยับยุ่งเล็กน้อยก่อนจะสลายไปในเวลาแค่เสี้ยววินาที
“ถ้าคุณแป้งไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ” เขาพูดเสียงอ่อยเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนลำบากใจของอีกฝ่าย
“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ” ปาณฑราแสร้งปด ทั้งที่ใจจริงก็ไม่ได้อยากเพิ่มเขาเป็นเพื่อสักเท่าไร แต่พอมาคิดๆ ดูอีกที รับๆ ไปก่อนแล้วค่อยบล็อกทีหลังก็แล้วกัน
หลังบอกชื่อเฟซบุ๊กของตัวเองไป ก็มีแจ้งเตือนคำขอเพิ่มเพื่อนเด้งขึ้นมา หญิงสาวกดรับแล้วกดเข้าดูโพรไฟล์ของเขาคร่าวๆ แล้วก็ได้แต่นึกก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ ว่าทำไมไม่ขอแอดเฟซบุ๊กเขาไปก่อนที่จะนัดเจอกัน จะได้รู้ตัวเร็วกว่านี้ว่าที่เธอคุยด้วยอยู่ทุกวันน่ะคนละคนกับคนที่เธออยากสานสัมพันธ์ด้วย เพราะในเฟซบุ๊กมีรูปของเขาอยู่เยอะพอสมควร ซึ่งส่วนมากจะเป็นรูปที่คนอื่นแท็กมาเสียมากกว่าที่เขาจะโพสต์เอง
“คุณแป้งกินข้าวมาหรือยังครับ” พิชญ์พงศ์ถาม เพราะตอนนี้ก็บ่ายโมงกว่าเข้าไปแล้ว
“ยังค่ะ” ปาณฑราเงยหน้าขึ้นมาตอบ
“ไปกินข้าวกันก่อนไหมครับ ค่อยสั่งขนมมากิน”
“ก็ดีค่ะ”
เมื่อตกลงกันได้ทั้งสองก็ย้ายจากโซนคาเฟ่ไปยังโซนร้านอาหาร ซึ่งมีให้เลือกสองแบบ คือในห้องแอร์และโอเพนแอร์ที่ริมน้ำ ใจจริงทั้งสองอยากจะเลือกโซนริมน้ำ เพราะบรรยากาศค่อนข้างดี แต่เพราะตอนนี้แดดยังแรงอยู่จึงเลือกนั่งด้านในแทน
คล้อยหลังพนักงานรับออเดอร์ ปาณฑราก็พยักพเยิดให้พิชญ์พงศ์ดูชายหญิงคู่หนึ่งที่นั่งถัดไปสองโต๊ะ
“คุณว่าสองคนนั้นเขาเป็นอะไรกัน พ่อลูกหรือว่าคู่รัก” หญิงสาวโน้มตัวไปกระซิบกระซาบเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน
ชายหนุ่มมองตาม แล้วสองคนที่เธอว่าก็คือชายมีอายุกับหญิงสาววัยน่าจะราวๆ นักศึกษา เมื่อพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบคำถามของหญิงสาว
“น่าจะพ่อลูกนะครับ”
“แต่ฉันว่าเหมือนคู่รักมากกว่านะ คุณลองสังเกตดูดีๆ สิคะ ผู้ชายน่ะมองผู้หญิงตาหวานเยิ้มเลย แล้วผู้หญิงก็ดูเขินอายแปลกๆ ลูกที่ไหนจะมาเขินพ่อตัวเองกัน แล้วดูชุดที่ผู้หญิงใส่สิ เปิดเปลือยซะขนาดนั้นคงไม่ใช่ใส่มาอวดพ่อแน่ๆ ดีไม่ดีเป็นอาเสี่ยพาอีหนูมากินข้าวหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ปาณฑราแย้ง ทั้งยังวิเคราะห์เป็นอย่างๆ พร้อมกันนั้นก็ลอบสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย ว่าเขาจะมีท่าทีเอือมระอากับพฤติกรรมของเธอบ้างไหม
แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องผิดหวัง เมื่อพบเพียงรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ส่วนดวงตาเรียวเล็กนั้นก็พราวระยับแปลกๆ ไม่ได้มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจอย่างที่เธอคิดว่าจะได้เห็น
‘หรือเขาจะเป็นคนเก็บอาการเก่ง จริงๆ แล้วอาจจะเอือมระอาเต็มที แต่ต้องทำเป็นนิ่งไว้ก่อนแล้วค่อยชิ่งทีหลัง’
หญิงสาวครุ่นคิดจนหน้ายุ่ง ก่อนจะเพิ่มความน่ารำคาญให้ตัวเองด้วยการวิจารณ์ในทุกสิ่งที่คิดว่าจะหยิบยกวิจารณ์ได้ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าคนฟังนั้นต้องกลั้นขำแค่ไหนกับสิ่งที่เธอกำลังพยายามทำ เธอคงไม่รู้ว่าสีหน้าเธอนั้นดูกระอักกระอ่วนแค่ไหนที่ต้องทำเป็นวิจารณ์คนโน้นทีคนนี้ที