๙
เมื่อหาที่จอดได้ปาณฑราก็ลงมายืนรอพิชญ์พงศ์ที่ข้างรถ ไม่นานรถของเขาก็เคลื่อนมาจอดเคียงข้างกับรถของเธอ หลังเขาจอดรถเรียบร้อยปาณฑราก็เดินนำเขาเข้าไปในร้าน
ร้านที่หญิงสาวเลือกเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นขนาดกะทัดรัด ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น ภายในร้านมีไม่ถึงสิบโต๊ะ แต่ทุกโต๊ะก็ถูกจับจองไว้หมดแล้ว
“คุณอยากกินอะไรก็สั่งได้เต็มที่เลยนะคะ มื้อนี้ฉันจะเป็นเจ้ามือเอง แล้วคุณก็ห้ามปฏิเสธด้วย” ปาณฑราพูดดักอย่างรู้เท่าทันความคิดของเขา ว่ายังไงเสียเขาก็คงไม่ยอมให้เธอเป็นคนจ่ายแน่ๆ
“ก็ได้ครับ” แย้งไปก็คงไม่เป็นผล พิชญ์พงศ์จึงยอมรับข้อเสนอของหญิงสาวแต่โดยดี
“คุณแป้งมากินร้านนี้บ่อยเหรอครับ” เขาถามเมื่อเห็นท่าทางเหมือนจะคุ้นเคยกับพนักงานที่มารับออเดอร์ของหญิงสาว
“ไม่บ่อยค่ะ แค่เดือนละครั้งสองครั้งเอง แต่จริงๆ ก็อยากมาบ่อยๆ อยู่เหมือนกัน แต่เพื่อนๆ เขาไม่ค่อยชอบกินอาหารญี่ปุ่นสักเท่าไร จะชอบไปกินปิ้งย่าง กินชาบูซะมากกว่า”
ใบหน้าสวยมุ่ยลงเล็กน้อย เมื่อนึกถึงเวลาที่เธออยากกินอาหารญี่ปุ่น แล้วไม่มีใครอยากมากับเธอด้วย จะให้เธอมานั่งกินคนเดียวเธอก็เขิน
“ถ้าวันไหนคุณแป้งอยากกิน แล้วไม่มีเพื่อนมา ผมมาเป็นเพื่อนได้นะครับ” ชายหนุ่มเสนอ และนั่นก็ทำให้คนที่ตั้งใจจะจบทุกอย่างภายในวันนี้ได้แต่ยิ้มแหย
“ค่ะ แล้วฉันจะชวนนะคะ” ปาณฑราเออออไปกับเขา
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่หายไปโดยไม่ได้บอก พอดีงานมีปัญหานิดหน่อย เลยวุ่นวายอยู่กับการแก้ปัญหาเรื่องงาน จนไม่ค่อยมีเวลาได้ทักมาคุยด้วย”
“ฉันก็นึกว่าคุณเจอตัวจริงฉันแล้วรับตัวตนจริงๆ ของฉันไม่ได้ซะอีก ถึงได้หายไปดื้อๆ แบบนั้น”
ได้ฟังถ้อยคำคล้ายตัดพ้อของหญิงสาว ปากหยักได้รูปก็กระตุกยิ้มน้อยๆ
“ที่คุณแป้งทำไปทั้งหมดในวันนั้น คุณแป้งแกล้งทำไม่ใช่เหรอครับ ตัวตนจริงๆ คุณไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย”
พรวด!
“แค่กๆๆ” ปาณฑราถึงกับสำลักน้ำที่กำลังดื่ม หญิงสาวไอจนน้ำหูน้ำตาไหล รู้สึกแสบไปทั่วทั้งโพรงจมูกและลำคอ
“คุณแป้งโอเคไหมครับ” เอ่ยถามอย่างห่วงใย ก่อนที่ร่างสูงจะย้ายที่นั่งจากฝั่งตรงข้ามมาทรุดลงข้างๆ คนตัวเล็ก ที่กำลังไอจนหน้าดำหน้าแดง มือหนายกขึ้นช่วยลูบหลังให้เบาๆ
“ฉันโอเคแล้วค่ะ” ว่าพลางดึงกระดาษทิชชูออกมาซับน้ำที่เปื้อนตามปากและจมูก
“ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันแกล้งทำล่ะคะ” คนถูกรู้ทันเงยหน้ามองคนที่ยังไม่ยอมย้ายกลับไปนั่งที่เดิมอย่างทึ่งๆ ใจคอเขาจะรู้ทันเธอไปทุกเรื่องเลยใช่ไหมเนี่ย
“เท่าที่ผมสังเกตจากที่เราคุยกันมาเป็นเดือนๆ คุณไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้น”
“คุณไม่คิดว่าฉันสร้างภาพบ้างหรือไงคะ” หญิงสาวยังไม่ยอมรับว่าที่เขาพูดมานั้นถูกทั้งหมด
“คุณคงไม่รู้ว่าสีหน้าคุณมันฟ้องจะตาย ว่าคุณกระอักกระอ่วนแค่ไหนกับสิ่งที่คุณกำลังฝืนทำ” เขาเฉลย ดวงตาสีสนิมไหวระริกมองสบตากลมโตอย่างล้อเลียน
“แล้วคุณทำไมไม่บอกฉันต้องแต่ตอนนั้นเลยล่ะคะ ปล่อยให้ฉันทำตัวทุเรศๆ อยู่ได้ทั้งวัน ดีนะไม่มีคนรู้จักฉันมาเห็นเข้า ไม่งั้นอายเขาตายเลย” ปาณฑรายกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างนึกอายกับการกระทำของตัวเองในวันนั้น
“ทุเรศที่ไหนกันครับ น่ารักดีออก” เขาแย้งทั้งยังพยายามกลั้นขำสุดฤทธิ์
ส่วนคนที่ถูกชมว่าน่ารักนั้นส่งค้อนให้เขาจนตาคว่ำ ก่อนจะเมินหน้าหนี เมื่ออยู่ๆ ก็รู้สึกขัดเขินกับคำชมของเขา ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้รับคำชมทำนองนี้จากผู้ชาย แต่ไม่รู้ทำไมพอคำนี้ออกมาจากปากได้รูปของเขา เธอถึงได้รู้สึกขัดเขินจนทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเวลาได้สบเข้ากับประกายบางอย่างที่วิบวับอยู่ในดวงตาเรียวเล็กคู่นั้น ใจเธอยิ่งเต้นระส่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ว่าแต่คุณแป้งมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนั้นเหรอครับ อยากลองใจผมหรือยังไง” พิชญ์พงศ์ถามขึ้นหลังกลับไปนั่งที่เดิมเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ...” ได้ฟังคำถามตรงไปตรงมาของเขา ปาณฑราก็เกิดอาการใบ้กินขึ้นมาทันที ทั้งที่ตั้งใจว่าวันนี้จะพูดทุกอย่างกับเขาไปตามตรง แต่พอถูกเขาถามมาตรงๆ แบบนี้ คำพูดมากมายที่เตรียมไว้ก็ถูกกลืนหายไปในลำคอพร้อมกับน้ำลายอึกใหญ่ นอกจากนี้ในใจยังรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ไหนๆ เขาก็ถามออกมาแล้ว เธอก็ควรที่จะบอกเขาไปตามตรง
“ที่ฉันต้องแกล้งทำแบบนั้นก็เพราะ...”
ยังไม่ทันที่ปาณฑราจะได้พูดคุยอะไรต่อ อาหารที่สั่งไว้ก็ถูกยกมาเสิร์ฟ หญิงสาวแอบลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่สามารถทอดเวลาที่ต้องบอกตัดความสัมพันธ์กับเขาไปได้อีกสักพัก
“เรากินข้าวกันก่อนดีกว่านะคะ เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยตอนกินเสร็จละกัน”
“ก็ได้ครับ” เมื่อเธอยังไม่อยากพูดตอนนี้ พิชญ์พงศ์ก็ไม่เซ้าซี้เอาคำตอบ
“วันนี้คุณแป้งไม่ถ่ายรูปไว้อัปลงเฟซบุ๊กก่อนหรือครับ”
คำถามของชายหนุ่มทำให้มือที่กำลังตักยำปลาแซลมอนเข้าปากชะงักค้าง ปาณฑราแทบจะแยกเขี้ยวใส่คนตรงหน้า เมื่อรู้ว่าเขาจงใจที่จะล้อเลียนเธอด้วยเรื่องวันนั้น
หัวใจพลิกล็อค...บทที่ 9
เมื่อหาที่จอดได้ปาณฑราก็ลงมายืนรอพิชญ์พงศ์ที่ข้างรถ ไม่นานรถของเขาก็เคลื่อนมาจอดเคียงข้างกับรถของเธอ หลังเขาจอดรถเรียบร้อยปาณฑราก็เดินนำเขาเข้าไปในร้าน
ร้านที่หญิงสาวเลือกเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นขนาดกะทัดรัด ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น ภายในร้านมีไม่ถึงสิบโต๊ะ แต่ทุกโต๊ะก็ถูกจับจองไว้หมดแล้ว
“คุณอยากกินอะไรก็สั่งได้เต็มที่เลยนะคะ มื้อนี้ฉันจะเป็นเจ้ามือเอง แล้วคุณก็ห้ามปฏิเสธด้วย” ปาณฑราพูดดักอย่างรู้เท่าทันความคิดของเขา ว่ายังไงเสียเขาก็คงไม่ยอมให้เธอเป็นคนจ่ายแน่ๆ
“ก็ได้ครับ” แย้งไปก็คงไม่เป็นผล พิชญ์พงศ์จึงยอมรับข้อเสนอของหญิงสาวแต่โดยดี
“คุณแป้งมากินร้านนี้บ่อยเหรอครับ” เขาถามเมื่อเห็นท่าทางเหมือนจะคุ้นเคยกับพนักงานที่มารับออเดอร์ของหญิงสาว
“ไม่บ่อยค่ะ แค่เดือนละครั้งสองครั้งเอง แต่จริงๆ ก็อยากมาบ่อยๆ อยู่เหมือนกัน แต่เพื่อนๆ เขาไม่ค่อยชอบกินอาหารญี่ปุ่นสักเท่าไร จะชอบไปกินปิ้งย่าง กินชาบูซะมากกว่า”
ใบหน้าสวยมุ่ยลงเล็กน้อย เมื่อนึกถึงเวลาที่เธออยากกินอาหารญี่ปุ่น แล้วไม่มีใครอยากมากับเธอด้วย จะให้เธอมานั่งกินคนเดียวเธอก็เขิน
“ถ้าวันไหนคุณแป้งอยากกิน แล้วไม่มีเพื่อนมา ผมมาเป็นเพื่อนได้นะครับ” ชายหนุ่มเสนอ และนั่นก็ทำให้คนที่ตั้งใจจะจบทุกอย่างภายในวันนี้ได้แต่ยิ้มแหย
“ค่ะ แล้วฉันจะชวนนะคะ” ปาณฑราเออออไปกับเขา
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่หายไปโดยไม่ได้บอก พอดีงานมีปัญหานิดหน่อย เลยวุ่นวายอยู่กับการแก้ปัญหาเรื่องงาน จนไม่ค่อยมีเวลาได้ทักมาคุยด้วย”
“ฉันก็นึกว่าคุณเจอตัวจริงฉันแล้วรับตัวตนจริงๆ ของฉันไม่ได้ซะอีก ถึงได้หายไปดื้อๆ แบบนั้น”
ได้ฟังถ้อยคำคล้ายตัดพ้อของหญิงสาว ปากหยักได้รูปก็กระตุกยิ้มน้อยๆ
“ที่คุณแป้งทำไปทั้งหมดในวันนั้น คุณแป้งแกล้งทำไม่ใช่เหรอครับ ตัวตนจริงๆ คุณไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย”
พรวด!
“แค่กๆๆ” ปาณฑราถึงกับสำลักน้ำที่กำลังดื่ม หญิงสาวไอจนน้ำหูน้ำตาไหล รู้สึกแสบไปทั่วทั้งโพรงจมูกและลำคอ
“คุณแป้งโอเคไหมครับ” เอ่ยถามอย่างห่วงใย ก่อนที่ร่างสูงจะย้ายที่นั่งจากฝั่งตรงข้ามมาทรุดลงข้างๆ คนตัวเล็ก ที่กำลังไอจนหน้าดำหน้าแดง มือหนายกขึ้นช่วยลูบหลังให้เบาๆ
“ฉันโอเคแล้วค่ะ” ว่าพลางดึงกระดาษทิชชูออกมาซับน้ำที่เปื้อนตามปากและจมูก
“ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันแกล้งทำล่ะคะ” คนถูกรู้ทันเงยหน้ามองคนที่ยังไม่ยอมย้ายกลับไปนั่งที่เดิมอย่างทึ่งๆ ใจคอเขาจะรู้ทันเธอไปทุกเรื่องเลยใช่ไหมเนี่ย
“เท่าที่ผมสังเกตจากที่เราคุยกันมาเป็นเดือนๆ คุณไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้น”
“คุณไม่คิดว่าฉันสร้างภาพบ้างหรือไงคะ” หญิงสาวยังไม่ยอมรับว่าที่เขาพูดมานั้นถูกทั้งหมด
“คุณคงไม่รู้ว่าสีหน้าคุณมันฟ้องจะตาย ว่าคุณกระอักกระอ่วนแค่ไหนกับสิ่งที่คุณกำลังฝืนทำ” เขาเฉลย ดวงตาสีสนิมไหวระริกมองสบตากลมโตอย่างล้อเลียน
“แล้วคุณทำไมไม่บอกฉันต้องแต่ตอนนั้นเลยล่ะคะ ปล่อยให้ฉันทำตัวทุเรศๆ อยู่ได้ทั้งวัน ดีนะไม่มีคนรู้จักฉันมาเห็นเข้า ไม่งั้นอายเขาตายเลย” ปาณฑรายกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างนึกอายกับการกระทำของตัวเองในวันนั้น
“ทุเรศที่ไหนกันครับ น่ารักดีออก” เขาแย้งทั้งยังพยายามกลั้นขำสุดฤทธิ์
ส่วนคนที่ถูกชมว่าน่ารักนั้นส่งค้อนให้เขาจนตาคว่ำ ก่อนจะเมินหน้าหนี เมื่ออยู่ๆ ก็รู้สึกขัดเขินกับคำชมของเขา ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้รับคำชมทำนองนี้จากผู้ชาย แต่ไม่รู้ทำไมพอคำนี้ออกมาจากปากได้รูปของเขา เธอถึงได้รู้สึกขัดเขินจนทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเวลาได้สบเข้ากับประกายบางอย่างที่วิบวับอยู่ในดวงตาเรียวเล็กคู่นั้น ใจเธอยิ่งเต้นระส่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ว่าแต่คุณแป้งมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนั้นเหรอครับ อยากลองใจผมหรือยังไง” พิชญ์พงศ์ถามขึ้นหลังกลับไปนั่งที่เดิมเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ...” ได้ฟังคำถามตรงไปตรงมาของเขา ปาณฑราก็เกิดอาการใบ้กินขึ้นมาทันที ทั้งที่ตั้งใจว่าวันนี้จะพูดทุกอย่างกับเขาไปตามตรง แต่พอถูกเขาถามมาตรงๆ แบบนี้ คำพูดมากมายที่เตรียมไว้ก็ถูกกลืนหายไปในลำคอพร้อมกับน้ำลายอึกใหญ่ นอกจากนี้ในใจยังรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ไหนๆ เขาก็ถามออกมาแล้ว เธอก็ควรที่จะบอกเขาไปตามตรง
“ที่ฉันต้องแกล้งทำแบบนั้นก็เพราะ...”
ยังไม่ทันที่ปาณฑราจะได้พูดคุยอะไรต่อ อาหารที่สั่งไว้ก็ถูกยกมาเสิร์ฟ หญิงสาวแอบลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่สามารถทอดเวลาที่ต้องบอกตัดความสัมพันธ์กับเขาไปได้อีกสักพัก
“เรากินข้าวกันก่อนดีกว่านะคะ เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยตอนกินเสร็จละกัน”
“ก็ได้ครับ” เมื่อเธอยังไม่อยากพูดตอนนี้ พิชญ์พงศ์ก็ไม่เซ้าซี้เอาคำตอบ
“วันนี้คุณแป้งไม่ถ่ายรูปไว้อัปลงเฟซบุ๊กก่อนหรือครับ”
คำถามของชายหนุ่มทำให้มือที่กำลังตักยำปลาแซลมอนเข้าปากชะงักค้าง ปาณฑราแทบจะแยกเขี้ยวใส่คนตรงหน้า เมื่อรู้ว่าเขาจงใจที่จะล้อเลียนเธอด้วยเรื่องวันนั้น