๑๔
ลับร่างของผู้หญิงคนนั้น ปาณฑราก็รีบปล่อยแขนล่ำๆ ให้เป็นอิสระ และรีบผละออกจากร่างสูงทันทีราวกับโดนของร้อน แต่ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปเกินพอดี ทำให้ร่างบางนั้นเซถลา เห็นอย่างนั้นพิชญ์พงศ์จึงตวัดวงแขนแกร่งโอบเอวบางไว้แนบตัว
“ปล่อยฉันนะ” ร่างบางดิ้นขลุกขลัก พยายามขืนตัวออกจากพันธนาการของวงแขนแกร่ง ทั้งที่แทบจะทรงตัวไม่อยู่ แถมยังเงยหน้ามองเขาตาดุ
“ยิ้มอะไรไม่ทราบ” เพราะอารมณ์โมโหจากเหตุการณ์เมื่อครู่ยังตกค้างอยู่ ทำให้คนเมาถามออกไปเสียงเขียว เมื่อเห็นว่าเขามองเธอแล้วฉีกยิ้มจนตาหยี
“ขนาดยังไม่ยอมรับผมเป็นแฟนยังโมโหหึงขนาดนี้ ถ้าเป็นแฟนกันแล้วจะหึงขนาดไหนครับเนี่ย” พิชญ์พงศ์ว่าพลางโน้มใบหน้าลงมาจนจมูกของทั้งสองอยู่แทบจะชนกัน และสัมผัสได้ถึงกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ปนออกมากับลมหายใจของหญิงสาว
“ใครหึง พูดให้มันดีๆ นะ ฉันแค่หมั่นไส้พ่อคนเสน่ห์แรงแค่นั้นแหละ อีกอย่างใครมันจะไปทนไหว อยู่ดีๆ มาว่าฉันนมแบน ตัวเองนมใหญ่ตายล่ะ ดูก็รู้ว่าใหญ่เพราะมีดหมอ”
ปาณฑราพูดเสียงอ้อแอ้อย่างแค้นเคือง ก่อนจะหลุบตาหลบสายตาพราวระยับของเขา ที่มองที่ไรก็พานทำให้ใจเธอสั่นไหวแปลกๆ พร้อมกันนั้นยังใช้มือดันแผงอกแกร่งให้ถอยออกห่าง
เมื่อเป็นอิสระจากวงแขนแข็งแรง หญิงสาวก็พูดต่ออย่างประชดประชัน “ว่าแต่คุณเถอะ เสียใจล่ะสิที่อดแจกเบอร์สาว ขอโทษด้วยนะคะที่ฉันออกมาขัดจังหวะพอดี”
“ผมไม่ใช่คนมักง่ายนะครับ ที่จะแจกเบอร์ใครมั่วซั่วอย่างที่คุณว่า” เขาแย้ง
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี ทีตอนเพื่อนฉันไปขอเบอร์คุณมาให้ฉัน คุณยังให้มาง่ายๆ เลย” ปาณฑราไม่เชื่อ เพราะการกระทำและคำพูดของเขามันช่างดูย้อนแย้งเหลือเกิน
ปากหยักได้รูปกระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัย เมื่อประหวัดถึงเหตุการณ์ที่หญิงสาวว่า เธอจะว่ายังไงบ้างนะถ้ารู้ความจริง ว่าจริงๆ แล้วเรื่องวันนั้นมันเกิดจากความตั้งใจของเขาทั้งหมด แต่จะให้บอกเธอไปตามตรงตอนนี้มันคงไม่ดีแน่
“มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะครับ ก็ตอนนั้นหัวใจผมยังว่าง ต่างจากตอนนี้ที่หัวใจผมโดนคุณจับจองไว้หมดแล้ว อีกอย่างตอนนั้นเหมือนมีอะไรมาดลใจ ผมถึงยอมให้เบอร์กับเพื่อนคุณไปง่ายๆ มันต้องเป็นบุพเพแน่ๆ เลย คุณว่าไหม”
“บุพพงบุพเพอะไร เพราะความกะล่อนอยากหว่านเสน่ห์ของคุณละไม่ว่า ว่าแต่ไปหว่านเสน่ห์อิท่าไหนเข้าล่ะ ยายนมโตนั่นถึงได้ตามติดคุณแจขนาดนั้น” ถามเสียงสะบัด
“ผมเปล่านะ เขามาของเขาเอง” พิชญ์พงศ์ปฏิเสธ “วันนี้คุณแป้งเมามากแล้ว ผมว่าคุณกลับก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง ส่วนเรื่องอื่นเดี๋ยวผมค่อยอธิบายให้คุณฟังตอนที่มีสติดีกว่านี้”
“ใครเมา ฉันไม่ได้เมาสักหน่อย ถ้าฉันเมาฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคุณร้องเพลงให้ยายนั่น แถมยังมองกันตาเชื่อมขนาดนั้น” ปาณฑราปฏิเสธเสียงสูง ทั้งที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกหนักอึ้งในหัว ตาก็เริ่มพร่ามัว แต่ก็ยังฝืนตัวเองไว้
“น่าน้อยใจจัง อุตส่าห์ร้องเพลงเพราะๆ ให้ฟัง แต่กลับคิดว่าร้องให้คนอื่นซะงั้น” ชายหนุ่มพูดเสียงเศร้าเหมือนน้อยใจ แต่แววตากลับไหวระริกราวคนกลั้นขำ
“ฉันไม่เชื่อคุณหรอก ได้ข่าวว่ามาเฝ้ากันทุกคืนไม่ใช่หรือไง”
“ทีเรื่องอย่างนี้รู้ดีจัง ทีเรื่องอยากให้รู้ดันไม่รู้ซะงั้น”
“เรื่องอะไรเหรอ” ถามพลางเงยหน้ามองเขาอย่างอยากรู้ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างนึกสงสัย
แทนคำตอบ มือหนายื่นไปคว้ามือบางขึ้นมา แล้วทาบลงที่อกด้านซ้ายของตัวเอง ก่อนก้มลงไปกระซิบเสียงนุ่มทุ้มชิดใบหูเล็ก
“รู้หรือยังครับว่าเรื่องอะไร”
อยู่ๆ แก้มนวลทั้งสองข้างของปาณฑณาก็ร้อนผ่าวราวจับไข้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะขัดเขินกับการกระทำของเขา หรือเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์กันแน่
“ฉันว่าฉันคงจะเมาอย่างที่คุณว่าจริงๆ นั่นแหละ” ปาณราไม่ตอบ ทั้งยังเฉไฉไปเรื่องอื่น ก่อนชักมือออกจากการเกาะกุมของเขา และยกมือขึ้นคลึงที่ขมับตัวเองเบาๆ แก้อาการแปลกๆ ที่กำลังเป็นอยู่
“เมาแล้วก็กลับไปนอนนะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
พูดจบพิชญ์พงศ์ก็เข้ามาประคองคนที่เริ่มโงนเงนเต็มที ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเพราะรู้ลิมิตของตัวเองดี ว่าหากยังดื้อดึงเธอคงได้ล้มพับลงไปในอีกไม่ช้า
เพราะความหมั่นไส้เขาแท้ๆ ทำให้เธอลืมตัว เผลอกระดกเหล้าเข้าปากรัวๆ ทั้งที่ปกติเธอจะแค่จิบๆ และดื่มแค่แก้วสองแก้วเท่านั้น ปาณฑราต่อว่าตัวเองอยู่ในใจ ต่อไปเธอคงต้องใช้สติให้มากกว่าอารมณ์ จะได้ไม่เป็นแบบคืนนี้อีก
เมื่อเห็นว่าเพื่อนหายไปนานจนผิดสังเกต ด้วยความเป็นห่วงกลัวเพื่อนจะฟุบหลับคาห้องน้ำ มนฤดีจึงตามมาดู และเมื่อเห็นนักดนตรีหนุ่มประคองหญิงสาวออกมาก็รีบถลาเข้าไปถามไถ่
“เป็นยังไงบ้างยายแป้ง ไหวไหม”
“เหมือนจะม่ายไหวเลยแก” ปาณฑราตอบไปตามตรง ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบไป
“เดี๋ยวผมจะพาแป้งกลับเอง คุณช่วยไปเอากระเป๋าแป้งให้ผมหน่อยนะครับ”
“เอ่อ...” คนถูกไหว้วานมองชายหนุ่มอย่างลังเล
“ผมไม่ทำอะไรให้แป้งเสียหายหรอกครับ คุณไว้ใจผมได้”
พิชญ์พงศ์บอกเสียงหนักแน่น อย่างรู้เท่าทันความคิดของอีกฝ่าย “อีกอย่างผมอยากจะเคลียร์กับแป้งด้วย พอดีเรามีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะครับ”
“มิน่าล่ะ วันนี้ยายแป้งถึงได้กระดกเหล้าเข้าปากรัวๆ อย่างกับคนอกหัก ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนดื่มหนัก”
มนฤดีเริ่มจะเข้าใจถึงต้นตออาการแปลกๆ ของเพื่อน “งั้นฉันฝากยายแป้งด้วยนะคะ ส่วนกระเป๋ายายแป้งเดี๋ยวฉันไปเอาให้”
“ผมพาแป้งไปรอที่รถนะครับ”
“โอเคค่ะ”
คล้อยหลังมนฤดี พิชญ์พงศ์ก็ช้อนอุ้มคนที่เมาหลับคอพับคออ่อนขึ้นในอ้อมแขน ก่อนพาไปที่รถของเขา ไม่นานมนฤดีก็เดินมาพร้อมกับสัมภาระของปาณฑรา ชายหนุ่มวานให้หญิงสาวอยู่เป็นเพื่อนปาณฑราก่อนสักพัก เพื่อเขาจะได้ไปเก็บของของตัวเองและบอกกับเพื่อนๆ ว่าเขาจะกลับก่อน
หัวใจพลิกล็อค...บทที่ 14
“ปล่อยฉันนะ” ร่างบางดิ้นขลุกขลัก พยายามขืนตัวออกจากพันธนาการของวงแขนแกร่ง ทั้งที่แทบจะทรงตัวไม่อยู่ แถมยังเงยหน้ามองเขาตาดุ
“ยิ้มอะไรไม่ทราบ” เพราะอารมณ์โมโหจากเหตุการณ์เมื่อครู่ยังตกค้างอยู่ ทำให้คนเมาถามออกไปเสียงเขียว เมื่อเห็นว่าเขามองเธอแล้วฉีกยิ้มจนตาหยี
“ขนาดยังไม่ยอมรับผมเป็นแฟนยังโมโหหึงขนาดนี้ ถ้าเป็นแฟนกันแล้วจะหึงขนาดไหนครับเนี่ย” พิชญ์พงศ์ว่าพลางโน้มใบหน้าลงมาจนจมูกของทั้งสองอยู่แทบจะชนกัน และสัมผัสได้ถึงกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ปนออกมากับลมหายใจของหญิงสาว
“ใครหึง พูดให้มันดีๆ นะ ฉันแค่หมั่นไส้พ่อคนเสน่ห์แรงแค่นั้นแหละ อีกอย่างใครมันจะไปทนไหว อยู่ดีๆ มาว่าฉันนมแบน ตัวเองนมใหญ่ตายล่ะ ดูก็รู้ว่าใหญ่เพราะมีดหมอ”
ปาณฑราพูดเสียงอ้อแอ้อย่างแค้นเคือง ก่อนจะหลุบตาหลบสายตาพราวระยับของเขา ที่มองที่ไรก็พานทำให้ใจเธอสั่นไหวแปลกๆ พร้อมกันนั้นยังใช้มือดันแผงอกแกร่งให้ถอยออกห่าง
เมื่อเป็นอิสระจากวงแขนแข็งแรง หญิงสาวก็พูดต่ออย่างประชดประชัน “ว่าแต่คุณเถอะ เสียใจล่ะสิที่อดแจกเบอร์สาว ขอโทษด้วยนะคะที่ฉันออกมาขัดจังหวะพอดี”
“ผมไม่ใช่คนมักง่ายนะครับ ที่จะแจกเบอร์ใครมั่วซั่วอย่างที่คุณว่า” เขาแย้ง
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี ทีตอนเพื่อนฉันไปขอเบอร์คุณมาให้ฉัน คุณยังให้มาง่ายๆ เลย” ปาณฑราไม่เชื่อ เพราะการกระทำและคำพูดของเขามันช่างดูย้อนแย้งเหลือเกิน
ปากหยักได้รูปกระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัย เมื่อประหวัดถึงเหตุการณ์ที่หญิงสาวว่า เธอจะว่ายังไงบ้างนะถ้ารู้ความจริง ว่าจริงๆ แล้วเรื่องวันนั้นมันเกิดจากความตั้งใจของเขาทั้งหมด แต่จะให้บอกเธอไปตามตรงตอนนี้มันคงไม่ดีแน่
“มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะครับ ก็ตอนนั้นหัวใจผมยังว่าง ต่างจากตอนนี้ที่หัวใจผมโดนคุณจับจองไว้หมดแล้ว อีกอย่างตอนนั้นเหมือนมีอะไรมาดลใจ ผมถึงยอมให้เบอร์กับเพื่อนคุณไปง่ายๆ มันต้องเป็นบุพเพแน่ๆ เลย คุณว่าไหม”
“บุพพงบุพเพอะไร เพราะความกะล่อนอยากหว่านเสน่ห์ของคุณละไม่ว่า ว่าแต่ไปหว่านเสน่ห์อิท่าไหนเข้าล่ะ ยายนมโตนั่นถึงได้ตามติดคุณแจขนาดนั้น” ถามเสียงสะบัด
“ผมเปล่านะ เขามาของเขาเอง” พิชญ์พงศ์ปฏิเสธ “วันนี้คุณแป้งเมามากแล้ว ผมว่าคุณกลับก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง ส่วนเรื่องอื่นเดี๋ยวผมค่อยอธิบายให้คุณฟังตอนที่มีสติดีกว่านี้”
“ใครเมา ฉันไม่ได้เมาสักหน่อย ถ้าฉันเมาฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคุณร้องเพลงให้ยายนั่น แถมยังมองกันตาเชื่อมขนาดนั้น” ปาณฑราปฏิเสธเสียงสูง ทั้งที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกหนักอึ้งในหัว ตาก็เริ่มพร่ามัว แต่ก็ยังฝืนตัวเองไว้
“น่าน้อยใจจัง อุตส่าห์ร้องเพลงเพราะๆ ให้ฟัง แต่กลับคิดว่าร้องให้คนอื่นซะงั้น” ชายหนุ่มพูดเสียงเศร้าเหมือนน้อยใจ แต่แววตากลับไหวระริกราวคนกลั้นขำ
“ฉันไม่เชื่อคุณหรอก ได้ข่าวว่ามาเฝ้ากันทุกคืนไม่ใช่หรือไง”
“ทีเรื่องอย่างนี้รู้ดีจัง ทีเรื่องอยากให้รู้ดันไม่รู้ซะงั้น”
“เรื่องอะไรเหรอ” ถามพลางเงยหน้ามองเขาอย่างอยากรู้ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างนึกสงสัย
แทนคำตอบ มือหนายื่นไปคว้ามือบางขึ้นมา แล้วทาบลงที่อกด้านซ้ายของตัวเอง ก่อนก้มลงไปกระซิบเสียงนุ่มทุ้มชิดใบหูเล็ก
“รู้หรือยังครับว่าเรื่องอะไร”
อยู่ๆ แก้มนวลทั้งสองข้างของปาณฑณาก็ร้อนผ่าวราวจับไข้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะขัดเขินกับการกระทำของเขา หรือเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์กันแน่
“ฉันว่าฉันคงจะเมาอย่างที่คุณว่าจริงๆ นั่นแหละ” ปาณราไม่ตอบ ทั้งยังเฉไฉไปเรื่องอื่น ก่อนชักมือออกจากการเกาะกุมของเขา และยกมือขึ้นคลึงที่ขมับตัวเองเบาๆ แก้อาการแปลกๆ ที่กำลังเป็นอยู่
“เมาแล้วก็กลับไปนอนนะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
พูดจบพิชญ์พงศ์ก็เข้ามาประคองคนที่เริ่มโงนเงนเต็มที ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเพราะรู้ลิมิตของตัวเองดี ว่าหากยังดื้อดึงเธอคงได้ล้มพับลงไปในอีกไม่ช้า
เพราะความหมั่นไส้เขาแท้ๆ ทำให้เธอลืมตัว เผลอกระดกเหล้าเข้าปากรัวๆ ทั้งที่ปกติเธอจะแค่จิบๆ และดื่มแค่แก้วสองแก้วเท่านั้น ปาณฑราต่อว่าตัวเองอยู่ในใจ ต่อไปเธอคงต้องใช้สติให้มากกว่าอารมณ์ จะได้ไม่เป็นแบบคืนนี้อีก
เมื่อเห็นว่าเพื่อนหายไปนานจนผิดสังเกต ด้วยความเป็นห่วงกลัวเพื่อนจะฟุบหลับคาห้องน้ำ มนฤดีจึงตามมาดู และเมื่อเห็นนักดนตรีหนุ่มประคองหญิงสาวออกมาก็รีบถลาเข้าไปถามไถ่
“เป็นยังไงบ้างยายแป้ง ไหวไหม”
“เหมือนจะม่ายไหวเลยแก” ปาณฑราตอบไปตามตรง ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบไป
“เดี๋ยวผมจะพาแป้งกลับเอง คุณช่วยไปเอากระเป๋าแป้งให้ผมหน่อยนะครับ”
“เอ่อ...” คนถูกไหว้วานมองชายหนุ่มอย่างลังเล
“ผมไม่ทำอะไรให้แป้งเสียหายหรอกครับ คุณไว้ใจผมได้”
พิชญ์พงศ์บอกเสียงหนักแน่น อย่างรู้เท่าทันความคิดของอีกฝ่าย “อีกอย่างผมอยากจะเคลียร์กับแป้งด้วย พอดีเรามีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะครับ”
“มิน่าล่ะ วันนี้ยายแป้งถึงได้กระดกเหล้าเข้าปากรัวๆ อย่างกับคนอกหัก ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนดื่มหนัก”
มนฤดีเริ่มจะเข้าใจถึงต้นตออาการแปลกๆ ของเพื่อน “งั้นฉันฝากยายแป้งด้วยนะคะ ส่วนกระเป๋ายายแป้งเดี๋ยวฉันไปเอาให้”
“ผมพาแป้งไปรอที่รถนะครับ”
“โอเคค่ะ”
คล้อยหลังมนฤดี พิชญ์พงศ์ก็ช้อนอุ้มคนที่เมาหลับคอพับคออ่อนขึ้นในอ้อมแขน ก่อนพาไปที่รถของเขา ไม่นานมนฤดีก็เดินมาพร้อมกับสัมภาระของปาณฑรา ชายหนุ่มวานให้หญิงสาวอยู่เป็นเพื่อนปาณฑราก่อนสักพัก เพื่อเขาจะได้ไปเก็บของของตัวเองและบอกกับเพื่อนๆ ว่าเขาจะกลับก่อน