ผมจะบวช 3 ไล่ผี

กระทู้สนทนา
บทที่ 3


พี่…พี่ไม้ ตื่นพี่เช้าแล้ว”
บาสเด็กวัดเขย่าตัวไม้อย่างแรงเพื่อหวังให้ตื่น ไม้ค่อยๆลืมตาขึ้น แรกเริ่มภาพยังพร่าเบลอมองอะไรไม่ชัดเจนนัก เห็นเพียงเงาลางๆของผู้ที่กำลังเขย่าตัวเขาอยู่ในขณะนี้
“พี่ไม้ ไหวมั๊ยเนี่ยพี่” บาสถามด้วยความกังวล เมื่อไม้ตั้งสติได้และเห็นแล้วว่าใครมาปลุกเขาอย่างชัดเจน ตั้งตัวได้ก็ยกเท้ายันโครมเข้าที่ร่างนั้นเต็มแรงพร้อม สบทด่าออกไปอย่างหัวเสีย

“มืงจะหลอกกูซ้ำอีกกี่รอบกันวะ ไอ้ผีเฮงซวย”
ร่างของบาส กลิ้งหลุนๆตามแรงถีบแล้วหยุดนิ่งห่างจากไม้ประมาณสองสามเมตร เด็กน้อยได้แต่นอนเอามือกุมท้องอย่างจุกเสียด พร้อมกลิ้งไปมาร้องโอดโอยอยู่ตรงนั้น ไม้ไม่รอช้า ลุกขึ้นหมายเตะซ้ำ กะว่าผีก็ผีเถอะวะกูจะกระทืบให้ลืมหลุมเลยมืง แต่ยังมิทันได้กระทำการอันใดต่อก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“หยุด!! โยมจะทำอะไรไอ้บาส”
ไม้ชะงักเท้าค้างกลางอากาศแล้วมองตามเสียงนั้น
“หลวงพ่อ”
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น โยมจะกระทืบเด็กวัดด้วยเหตุผลอะไร”
เจ้าอาวาสถามไม้หลังจากที่ท่านเรียกขึ้นมาบนกุฏิ
“หลวงพ่อครับ ผมโดนผีหลอก”
ไม้ตอบเจ้าอาวาสด้วยเสียงอันสั่นเทาเมื่อนึกถึงเรื่องที่เจอ
“ผี ผีอะไร ผีแบบไหน แล้วไปทำไอ้เจ้าบาสมันทำไม” เจ้าอาวาสตั้งคำถามมาเป็นชุด ไม้จึงทบทวนและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง แต่ก็ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะรู้เรื่องกัน เพราะสติไม้ตอนนี้ราวกับคนไม่สมประกอบ เรื่องราวมันวุ่นวายตีกันในหัวจนไม้ก็เรียบเรียงผิดๆถูกๆ

“อืมม…อย่านี้นี่เอง”เจ้าอาวาสพูดพึมพัมในลำคอ
“สรุปคือโยมถูกผีหลอก ถึงสองครั้งอย่างนั้นรึ” เจ้าอาวาสถามไม้อีกครั้ง
“ครับ มันหลอกผมแบบ หลอกซ้ำหลอกซ้อน หลอกซ่อนเงื่อน จนผมหลอนไปหมดแล้วครับตอนนี้” ไม้ตอบ
“ครั้งแรกมันดักหน้าประตูวิหาร”เจ้าอาวาสกล่าว
“ครับ”ไม้ตอบสั้นๆ
“ครั้งที่สอง แปลงเป็นเจ้าบาสแล้วหลอกโยมหน้าพระประธานเลยรึ” เจ้าอาวาสถามอีกครั้ง
“ครับ” ไม้ตอบแล้วชำเลืองไปทางเจ้าบาส ซึ่งขณะนี้กำลังนั่งปาดน้ำตาป้อยๆอย่าน่าสงสาร

“พอตื่นอีกทีผมเห็นเป็นน้องเค้ามาปลุก ผมก็นึกว่าจะโดนหลอกอีกรอบก็เลย..”ไม้อธิบาย
“ก็เลยส่งบาทาเข้าเต็มพุงกะทิผมจนหงายท้องเลยไง โฮ..” บาสตอบแทนแล้วร่ำไห้อย่างน่าเวทนา
ไม้มองเห็นเช่นนั้นก็สงสารจับใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากกล่าวขอโทษซ้ำๆ
“พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่นึกว่าเอ็งเป็นผีพระนั่นปลอมตัวมา”
“นี่ขนาดพี่ไม่ตั้งใจยังเข้าเต็มพุง ถ้าพี่ตั้งใจไม่เข้ายอดอกผมเลยเหรอ ฮึก ฮึก”
บาสพูดด้วยความแค้นใจพลางสะอึกสะอื้น ไม้หน้าหดเหลือสองนิ้วตอบอ่อยๆ
“ก็ คงงั้น”

“เอาล่ะๆ”เจ้าอาวาสปรามขึ้น
“โยม ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตัวซะ แล้วมากินข้าว”
เจ้าอาวาสกล่าวกับไม้ แล้วหันไปทางเจ้าบาส
“ส่วนเอ็ง หยุดร้องไห้ แล้วไปตามตาจุ่นมาหาข้าหน่อย บอกด้วยนะว่าเรื่องด่วน”
“ครับ” บาสตอบพลางเช็ดน้ำตาแล้วเดินลงจากกุฏิไป
“เอ่อ หลวงพ่อครับแล้วเรื่อง..”
ยังไม่ทันที่ไม้จะได้ถามอะไรออกไป รถเก๋งคันหนึ่ง ขับเข้ามาในวัดด้วยความเร็ว หมาวัดวิ่งหลบกันจ้าละหวั่น จากนั้นรถก็จอดที่หน้ากุฏิหลวงพ่อแบบฝุ่นตลบ

ชายวัยกลางคนรีบก้าวลงจากรถพร้อมตะโกนขึ้นมาทางกุฏิอย่างร้อนรน
“หลวงพ่อ พลวงพ่อครับ ช่วยผมด้วยครับหลวงพ่อ”
พร้อมกันนั้นก็มีชายวัยรุ่นอีกคนลงมาจากรถพร้อมกับอุ้มผู้หญิงมาด้วย แต่จะว่าอุ้มก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะลักษณะของผู้หญิงคนนั้น เอาขาทั้งสองกวัดรัดเอวของชายวัยรุ่นไว้ แล้วเอามือคล้องคอ คล้ายกับลูกลิงที่เกาะแม่มันไว้ไม่มีผิด ส่วนตัวชายวัยรุ่นก็พยายามเอามือดันใบหน้าของหญิงผู้นั้นให้ออกห่างจากหน้าตัวเอง เพราะหญิงผู้นั้นกำลังพยายามเลียหน้าชายวัยรุ่นอยู่

ภาพนั้นทำให้ไม้ถึงกับขนลุกเกลียว แต่ที่หนักกว่านั้นจนทำให้หน้ามืดตาลายจนต้องเอามือเกาะขอบระเบียงกุฏิไว้ นั่นคือลิ้น ลิ้นของผู้หญิงคนนั้นสีม่วงคล้ำและยาวมาก คะเนจากสายตาก็ประมาณเกือบครึ่งฟุตได้ แถมยังตวัดไปมาพยายามจะเลียใบหน้าของวัยรุ่นคนนั่นให้ได้เสียด้วย ตารึก็เหลือกถลนราวกับคนที่หิวจัดมองเห็นอาหารอันโอชะวางอยู่เบื้องหน้า คนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ เจ้าอาวาสเห็นดังนั้นก็นิ่งไปชั่วครู่ แล้วท่านจึงเอ่ยขึ้น

“พาขึ้นมา พาขึ้นมาข้างบนนี่”
ท่านกล่าวแล้วหันมาทางไม้ที่กำลังเข่าอ่อนอยู่
“โยมไม้ ไปตามหลวงพี่ถวิล กับหลวงพี่สมพรมา บอกให้ท่านทั้งสองนำสังฆาฏิมาด้วย”
เจ้าอาวาสสั่งเร็วปรื๋อจากนั้นท่านก็เดินเข้าไปในห้อง ไม้ก็ไม่รีรอ ตั้งสติได้ก็วิ่งหน้าตั้งไปทางกุฏิของหลวงพี่ทั้งสองทันที แต่ไปได้เพียงครึ่งทาง ก็พบว่าหลวงพี่ทั้งสองกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้พอดี ทั้งหลวงพี่สมพรและหลวงพี่อีกท่านหนึ่งเดาว่าคือหลวงพี่ถวิลต่างก็ครองผ้ามาเรียบร้อย พร้อมทั้งมีประคำสีดำเม็ดเท่าผลพุทราคล้องคอมากันทั้งคู่

แต่ที่สะดุดตาที่สุดคือท่านทั้งสองถือสิ่งที่ดูคล้ายกับตะขอช้างมาด้วย(ตะขอช้างคืออุปกรณ์ที่ควาญช้างถือไว้สับหัวช้างเพื่อบังคับให้ช้างเดินไปในทิศทางที่ต้องการ) เมื่อเข้ามาใกล้ไม้กำลังจะเอ่ยปากบอกแต่หลวงพี่สมพรยกมือขึ้นห้าม
“ผมทราบแล้ว อ้ายทิดหม่องบอกพวกเราแล้วล่ะ ไปกันเถอะ”
ท่านพูดแค่นั้นก็รีบเดินไปทางกุฏิเจ้าอาวาสอย่างเร่งรีบ ทิ้งให้ไม้ยืนหอบซี่โครงบานอยู่ตรงนั้นพร้อมกับคำถามในหัว
“อ้ายทิดหม่อง อ้ายทิดหม่องไหนวะ”

ที่กุฏิเจ้าอาวาส เมื่อไม้ไปถึง ภาพที่เห็นคือ เจ้าอาวาสนั่งบริกรรมคาถาอยู่บนตั่งที่ทำจากไม้ประดู่ดำ หลวงพี่ทั้งสองก็นั่งบริกรรมคาถาขนาบข้างซ้ายขวา ในมือท่านทั้งสามมีด้ายสายสิญจน์พันอยู่ ด้ายนั้นโยงไปที่อ่างน้ำใบใหญ่ และปลายด้ายก็โยงไปมัดอย่างหลวมๆไว้ที่จีวรเก่าคร่ำคร่าซึ่งคลุมสิ่งหนึ่งเอาไว้ สิ่งที่อยู่ภายใต้จีวรผืนนั้นดิ้นโคลมคลามเหมือนดั่งว่าพยายามจะออกจากจีวรแต่ทำไม่ได้ ไม้คาดว่าน่าจะเป็นผู้หญิงคนนั้น

บริเวณขอบอ่างน้ำมีตะขอช้างสามอันพาดไขว้กันไว้ สักพัก เจ้าอาวาสก็ลุกขึ้นจากตั่งไม้ จุดเทียนและบริกรรมคาถาไปด้วย ท่านปล่อยให้น้ำตาเทียนหยดลงไปในถ้วยที่ท่านถืออยู่ จากนั้นเดินไปหยุดอยู่บริเวณด้านหลังของหญิงผู้นั้นที่บัดนี้ดิ้นตึงตังโครมครามอย่างเกรี้ยวกราด พึมพัมคาถาสักครู่ก็กระดกน้ำตาเทียนจากถ้วย แล้วพ่นใส่จีวรที่คลุมร่างหญิงผู้นั้นอยู่ ทันทีที่ท่านพ่นน้ำตาเทียนออกมาจะมีไฟพวยพุ่งออกมาด้วย ราวกับว่าท่านพ่นไฟได้ก็มิปาน ท่านทำแบบเดิมอยู่สองสามครั้งร่างหญิงผู้นั้นก็สงบลงแต่ยังคงส่งเสียงครางฮือ...ฮือ...อยู่ ท่านยังไม่เอาจีวรที่คลุมออก เพียงแต่เดินไปตรงหน้าหญิงผู้นั้นแล้วเอ่ยวาจาเรียบๆ

“เป็นใคร มาทำเขาทำไม ไม่รู้หรือมันเป็นบาป”
วาจาของท่านที่เปล่งไปนั้นฟังดูเรียบเฉย ไม่ใช่การตะคอกแต่อย่างใด แต่ร่างภายใต้จีวรกลับสะดุ้งสุดตัวจนสังเกตุได้ สักพักผู้หญิงคนนั้นก็ร้องไห้เสียงดังออกมา แล้วก็บอกว่า
“เค้าใช้อิชั้นมาทำเจ้าค่ะ หากไม่ทำเค้าจะต้มอิชั้นเจ้าค่ะ เค้าให้มาทำให้นังนี่ตาย อิชั้นกลัว อิชั้นร้อนก็เลยต้องทำเจ้าค่ะโฮ…”
หญิงผู้นั้นตอบไปร้องไห้ไปพลาง เจ้าอาวาสนิ่งไปสักครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นถอยออกไปก่อนได้ไหม โยมคนนี้ร่างกายจะรับไม่ไหวแล้ว ถอยออกไปก่อนเถิดนะ”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ หากอินังคนนี้มันไม่ตาย เค้าจะต้มอิชั้นเจ้าค่ะ” หญิงผู้นั้นตอบ
“หากเจ้าถอยออกไปเราจะช่วย แต่หากยังดื้อดึงแบบนี้ เราจะมัดเจ้าไว้ รู้ใช่มั๊ยว่าเราทำได้”
หญิงผู้นั้นเงียบ ไม่ตอบอะไร สักพักก็ล้มลงแน่นิ่งกับพื้น

“เอาล่ะ เค้าออกไปแล้ว เอาผ้าออก ให้เค้าดมยาดมซักหน่อยก็ฟื้น”
เจ้าอาวาสเอ่ยกับชายสองคนที่นั่งหน้าซีดอยู่ ทั้งสองคนไม่รอช้ารีบจัดแจงปฐมพยาบาลจนหญิงผู้นั้นได้สติขึ้นมา
“โยม” เจ้าอาวาสเอ่ยกับชายวัยกลางคน
“รู้ใช่ไหมว่าใครทำ แล้วก็สาเหตุเพราะอะไร ความโลภ ความไคร่ ตัณหาราคะ หากไม่รู้จักพอไม่รู้จักหยุด มันก็จะนำความวิบัติมาสู่ทั้งตนเองและครอบครัวนะ ” ท่านเอ่ยเสียงเรียบเช่นเคย

“ครับ เป็นเพราะผมมันมักมากเอง ถึงได้เป็นแบบนี้”
ชายวัยกลางตอบพลางก้มหน้าร้องไห้
“เอาเถอะ คนเราเมื่อรู้ว่าผิดก็จงหยุดเสีย ทำตัวใหม่ อะไรที่มันแล้วก็ให้แล้วไป ไม่ต้องผูกใจเจ็บ คิดแก้แค้น คิดเสียว่าที่ผ่านมานั้นมันเป็นกรรมของเรา ปล่อยวางได้ก็ปล่อยวางเสีย”
ประโยคหลังท่านพูดพร้อมหันไปทางชายวัยรุ่น

“พาโยมผู้หญิงลงไปนั่งที่เก้าอี้ข้างล่างนะ เดี๋ยวอาตมาจะอาบน้ำมนต์ให้”
ท่านกล่าวอีกครั้งพร้อมกับเดินมานั่งที่ตั่งไม้ตามเดิม หลวงพี่สมพรก็ค่อยๆลุกขึ้นเดินลงไปข้างล่างกุฏิ บอกให้ชายวัยรุ่นตักน้ำจากอ่างน้ำมนต์ลงมาหนึ่งถัง สำหรับอาบให้หญิง เมื่อเสร็จสิ้นการอาบน้ำมนต์ ท่านเจ้าอาวาสพูดคุยกับครอบครัวนั้นนิดหน่อย ทั้งสามก็พากันขึ้นรถกลับออกไป ตลอดเหตุการณ์ที่ไม้ได้เห็นด้วยตาตนเองนั้น มันช่างน่าประหลาด อัศจรรย์ใจยิ่งนัก นี่คือการไล่ผีอย่างนั่นหรือ ผีฆ่าคนได้ด้วยหรือ แล้วคนบังคับให้ผีทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ

“หลวงพ่อให้ไอ้บาสตามผมมามีเรื่องอะไรหรือครับ”
ชายแก่หัวหงอกทั้งหัวก้มกราบแล่วเอ่ยถามดับเจ้าอาวาสอย่างนอบน้อม
“อ่อ มาแล้วเรอะ โยมจุ่นขึ้นมาก่อนสิ เรื่องมันคงจะยาวหน่อยนะ”
เจ้าอาวาสเอ่ยชวน
“คือแบบนี้ เห็นทีเราต้องจัดการขั้นเด็ดขาดแล้วล่ะ สำหรับท่านสมภารแก้วน่ะ”
เจ้าอาวาสเอ่ยพร้อมกับหันหน้าไปทางวิหาร

“ครั้งนี้มันหนักหนาขนาดไหนล่ะครับ ถึงขั้นหลวงพ่อเอ่ยปากว่าจะจัดการ”
เฒ่าจุ่นเอ่ยถาม
“ก็หนักเอาการทีเดียวล่ะ”
ท่านเอ่ยพร้อมกับมองไปที่ไม้ ที่ในขณะนี้กำลังนั่งรวบรวมสติอยู่อย่างเงียบๆ
“หนักถึงขั้นจะขัดขวางการบวช กะเอาให้ตายเลยล่ะ”
ท่านกล่าวอีกครั้งสีหน้าเป็นกังวล
เฒ่าจุ่นมองหน้าเจ้าอาวาสแล้วหันไปมองที่ไม้เช่นกัน

จบบท
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่