บทที่ 5.
หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมต่างๆในช่วงเช้าแล้ว ไม้ก็ถือหนังสือเดินไปหาหลวงพี่ทั้งสองเช่นเคย แต่จุดประสงค์แท้จริงนั้น คือต้องการสอบถามความจริงเกี่ยวกับทิดหม่องและผีพระในวิหารจากหลวงพี่พรเท่านั้น
“มาแล้วรึ” หลวงพี่พรทักด้วยใบหน้ายิ้มๆ เหมือนเช่นเคย
“แต่วันนี้ดูท่าทางมีเรื่องมาถามสินะ” หลวงพี่ถวิลพูดลอยๆ ขณะก้มหน้าก้มหน้าก้มตาแกะสลักไม้ชิ้นเล็กๆในมือ
“ครับ ผมอยากรู้เรื่องทิดหม่องกับผีตนนั้นครับ” ไม้ตอบออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เมื่อคืนก็อยู่ด้วยกันทั้งคืน ทำไมไม่ถามเอากับเจ้าตัวเค้าเองเลยล่ะ”
หลวงพี่ถวิลถามกึ่งเยาะอย่างขบขัน
“โธ่หลวงพี่ ก็ใครจะไปรู้ล่ะครับ ว่าทิดหม่องไม่ใช่คน แหม่หลอกผมซะเนียนกริ๊บ” ไม้บ่นอุบ
“แล้วอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ” หลวงพี่พรถาม
“ทุกเรื่องเกี่ยวกับทิดหม่องที่หลวงพี่รู้นั่นแหละครับ” ไม้ตอบ
“แล้วไม่กลัวแล้วรึ ผีนะนั่น” หลวงพี่ถวิลยังคงเย้าไม่หยุด
“กลัวมันก็ส่วนกลัวครับ แต่ผมรู้สึกว่าทิดหม่องเป็นผีที่ไม่เหมือนผีทั่วไปน่ะครับ” ไม้ตอบ
“เอ้า ก็ได้ ในเมื่อโยมอยากรู้ ผมก็ไม่ขัดศรัทธา” หลวงพี่พรเอ่ยขึ้น
"เรื่องของทิดหม่อง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว น่าจะซักเกือบแปดสิบปีได้แล้วล่ะ” หลวงพี่พรเริ่มเล่า
“สมัยนั้นวัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง ทั่วทั้งบริเวณวัดถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่จนรกทึบ ด้วยความที่มันรกจนไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามา”
"เพราะผีดุใช่มั๊ยครับ" ไม้ขัดขึ้น
“ไม่ใช่หรอกโยม เพราะด้วยความที่ไม่มีใครเข้ามานั่นแหละ จึงเป็นสถานที่ๆเหมาะแก่การซ่อนตัวของพวกนอกกฎหมาย และพวกนอกกฎหมายที่ว่าเนี่ยก็คือก๊กเสือหม่องแห่งริมเมย”
เสือหม่องเดิมทีเป็นคนแม่สอด พอตั้งก๊กขึ้นก็เที่ยวปล้นฆ่าชาวบ้านพ่อค้าเค้าไปทั่ว จนเป็นที่ต้องการตัวของทางการ หนีมาเรื่อยจนมาถึงที่นี่ ตอนที่มาถึง มีแค่เสือหม่องกับลูกน้องคนสนิทที่ชื่อว่าเสือระอูสองคนเท่านั้น ตอนนั้นสภาพเสือหม่องถูกเจ้าหน้าที่ยิงบาดเจ็บมา เสือหม่องจัดการเอาสมบัติฝังไว้ในบริเวณวัด แล้วบอกกับเสือระอูว่าให้ไปตามพรรคพวกที่เหลือมาพบกันที่นี่ในอีก 7 วัน เพราะจะทำการแบ่งสมบัติที่ปล้นมาครั้งล่าสุด ส่วนตัวเสือหม่องจะขอรออยู่ที่นี่
เสือระอูก็รับคำแล้วจากไป แต่ก็นั่นล่ะธรรมดาของมนุษย์ย่อมมีความโลภโมโทสัน คืนเดียวกันนั้นเอง เสือระอูย้อนกลับมาฆ่าเสือหม่องแล้วขุดเอาสมบัติทั้งหมดไป จุดที่เสือหม่องตายก็คือจุดที่ตั้งศาลไว้นั่นแหละ
พอวันเวลาผ่านไป หลวงตาสีและหลวงตาแก้วที่สมัยนั้นยังเป็นพระหนุ่ม ก็ได้จาริกธุดงค์มาจนถึงบริเวณนี้ ถึงจะเป็นเพียงพระหนุ่มแต่ท่านทั้งสองก็ทรงอภิญญา ท่านล่วงรู้ด้วยญาณว่าตนเองนั้น จะต้องปักหลักอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เพื่อฟื้นฟูวัดร้างนี้ขึ้นใหม่
ท่านทั้งสองช่วยกันลงแรงถากถางต้นไม้ใบหญ้าวันละนิดละหน่อย เช้าก็ออกบิณฑบาต เมื่อญาติโยมถามว่าท่านจำพรรษาอยู่วัดไหนเพราะไม่เคยเห็นหน้า ท่านก็บอกว่า
“เราสองรูปนี้มาจากเมืองไกล แต่นี้ไปจนภายหน้าจะมาอยู่ที่นี่”
ว่าแล้วท่านทั้งสองก็เดินจากไป
ชาวบ้านสงสัยจึงแอบติดตามไปจนถึงบริเวณวัดร้าง เฝ้าดูพฤติกรรมอยู่ครึ่งวันก็กลับมาบอกกับผู้ใหญ่บ้าน ว่าพระสองรูปที่เจอเมื่อเช้าพักอาศัยอยู่ที่วัดร้างในป่าท้ายหมู่บ้าน ตอนนี้กำลังถากหญ้าถางพง กันเป็นการใหญ่
“เราไปช่วยท่านหน่อยไม่ดีรึผู้ใหญ่” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ก็เอาสิ ถ้าหากนี่เป็นบุญของหมู่บ้านเราที่จะมีพระมาอยู่ ข้าก็มิขัดข้อง เต็มใจช่วยเต็มที่”
หลังจากนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็นำชาวบ้านกว่ายี่สิบคน เข้าไปช่วยพระหนุ่มทั้งสอง ในการจัดการกับหญ้าแล้วก็ต้นไม้ส่วนใหญ่ในบริเวณวัดร้างแห่งนี้ ใช้เวลาแค่ห้าวันก็แล้วเสร็จ แถมชาวบ้านยังสร้างกุฏิให้อีกสองหลัง แต่ก็สร้างเพียงแค่พออาศัยกันแดดกันลมได้เท่านั้น เพราะอุปกรณ์และงบประมาณที่มีนั้นค่อนข้างขาดแคลน
ในคืนหนึ่งขณะที่พระสีกำลังจำวัดอยู่นั้น ท่านได้ฝันว่ามีชายผู้หนึ่ง เดินเข้ามาก้มกราบท่านบริเวณด้านหน้ากุฏิ ชายผู้นั้นแจ้งแก่ท่านว่าตัวเค้าชื่อหม่อง เป็นขุนโจรมาจากริมเมย เค้าถูกลูกน้องฆ่าตายที่นี่เพื่อชิงเอาสมบัติที่ฝังไว้ แต่ที่มันได้ไปเป็นสมบัติแค่สามในสี่ส่วน อีกส่วนหนึ่งเค้าฝังแยกเอาไว้ สถานที่ฝังห่างจากุฏิหลังนี้ไปทางเหนือห้าสิบก้าว จะเจอต้นยางนาใหญ่ให้ขุดลงไป 1 ศอกจะพบกับห่อผ้า
พระสีก็ถามว่าแล้วจะบอกเราด้วยเหตุผลอันใด เสือหม่องจึงบอกความปรารถนา ว่าอยากจะมอบสมบัติที่เหลือนี้เพื่อให้แก่ท่านทั้งสองสำหรับใช้ในการบูรณะวัดแห่งนี้ หวังเพียงเป็นการทำบุญครั้งสุดท้าย จากนั้นเสือหม่องก็ก้มกราบแล้วค่อยๆจางหายไป
รุ่งเช้าพระสีก็นำเรื่องนี้ไปปรึกษาแก่พระแก้ว ทั้งสองท่านจึงพากันไปตามที่เสือหม่องบอกไว้ ก็เจอกับต้นยางนาใหญ่จริงๆ เมื่อขุดลงไปประมาณหนึ่งศอก พบว่ามีห่อผ้าอยู่ เมื่อแกะออกก็พบกับทรัพย์สินมีค่ามากพอสมควร ท่านจึงตกลงกันว่าจะนำทรัพย์สินส่วนนี้ไปบูรณะวัดให้สมความตั้งใจของเสือหม่อง
สองวันหลังจากนั้นผู้ใหญ่บ้านมาพบท่านทั้งสอง ท่านจึงไหว้วานให้หาช่างมาประเมินว่าถ้าจะบูรณะวัดนี้ ต้องการซ่อมแซมวิหาร ศาลา และสร้างกุฏิกับห้องน้ำใหม่ต้องใช้เงินเท่าไหร่ แล้วก็ให้ผู้ใหญ่บ้านไปตามหาช่างหล่อพระ บอกว่าต้องการหล่อพระประธาน ให้มาพบท่านด้วย เมื่อดำเนินการทุกอย่างเสร็จสิ้นตามที่ตั้งใจไว้ใช้เวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น
พระประธานองค์นั้นก็ถูกนำไปตั้งไว้ในวิหารที่ได้รับการบูรณะใหม่แล้ว พระสีอธิษฐานจิตว่าอานิสงส์ในการสร้างพระองค์นี้ขอมอบให้แก่เสือหม่องแต่เพียงผู้เดียว และชาวบ้านได้ตั้งชื่อพระประธานองค์นั้นว่าหลวงพ่อใหญ่ เนื่องจากมีขนาดหน้าตักที่ใหญ่โตมากหากเปรียบเทียบกันกับวัดในหมู่บ้านใกล้เคียง
เมื่อทำการบูรณะวัดเสร็จสิ้น ชาวบ้านก็ขอร้องให้พระสีเป็นสมภารของวัดนั้นแต่พระสีปฏิเสธ บอกว่าให้พระแก้วเป็นเถิดเพราะพรรษาท่านแก่กว่า ชาวบ้านก็ตกลง ฝ่ายพระแก้วก็มิได้ขัดข้องประการใด ท่านจึงได้ขึ้นเป็นสมภารนับตั้งแต่นั้น และวัดนั้นก็ได้รับการตั้งชื่อว่าวัดสองพระนับแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ หลวงพี่พรก็พักจิบชาสักครู่ ไม้จึงเอ่ยถามขึ้น
“แล้วสมภารแก้วท่านไปไหนแล้วล่ะครับ”
ไม้สงสัย
“เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากนั้นประมาณ 8 ปี"
ด้วยความที่เมื่อก่อนเงินทองของวัดก็จะเก็บรักษาไว้ในวัด โดยสมภารเป็นคนดูแล แต่วัดนี้ทั้งหลวงพ่อสีและหลวงพ่อแก้วจะช่วยกันดูแลเงินวัด ไม่ได้มีกรรมการวัดเหมือนสมัยนี้
หลวงพ่อแก้วหรือสมภารแก้วในสมัยนั้น เริ่มเกิดความโลภ อยากได้เงินทองนั้นเป็นของตัวเอง จึงได้ว่าจ้างช่างให้มาทำบานหน้าต่างวิหารเปลี่ยนจากของเดิมที่เริ่มชำรุด ให้เป็นไม้สักขนาดใหญ่แกะสลักลายอย่างประณีตสวยงาม โดยท่านแอบตกลงกับช่างว่า ให้บอกราคาเกินจากราคาจริงแล้วเอาส่วนต่างมาแบ่งกัน ช่างก็ตกลงด้วยความละโมบ
เมื่อถึงเวลาช่างก็เอาบิลไปเก็บเงินกับหลวงพ่อสีก่อนที่จะทำการติดตั้งบานหน้าต่าง ท่านก็จ่ายตามบิลนั่นมิได้อิดออด เมื่อถึงวันติดตั้ง หลวงพ่อสีท่านไม่อยู่เพราะไปกิจนิมนต์ข้างนอก มีเพียงสมภารแก้วที่คอยคุมงานเท่านั้น
พอหลวงพ่อสีกลับมาถึงวัด พบว่าสมภารแก้วมรณะภาพแล้วในวิหาร ถูกบานหน้าต่างหลุดลงมาทับหัวและลำคอ เลือดไหลนองไปจนถึงทางเข้าวิหาร ส่วนช่างที่ทำหน้าต่างก็พบเป็นศพอยู่ด้านนอกวิหารตรงหน้าต่างช่องเดียวกันนั่นแหละ ถูกบานหน้าต่างอีกบานหล่นทับเช่นกัน
เล่ามาถึงตรงนี้ ไม้ใจหายวาบ
“หรือว่าผีพระที่ผมเจอในวิหารก็คือ”
ไม้เอ่ยถามออกมาเบาๆ
“ใช่ นั่นแหละสมภารแก้วล่ะ พอท่านตายก็ไปไหนไม่ได้ ต้องชดใช้กรรมอยู่ที่นี่ ส่วนช่างทำหน้าต่างก็เป็นเปรตอยู่นี่ด้วยเหมือนกัน” หลวงพี่พรอธิบายให้ฟัง
“หลังจากเหตุการณ์นั้น ชาวบ้านทำการเผาศพสมภารแก้ว แต่ศพนั้นกลับเผาไม่ไหม้ สภาพศพผิวหนังแตกระแหง ท่านหลวงพ่อสีจึงตัดสินใจใช้วิธีฝังแทน”
ไม้นึกภาพตาม นั่นมันสภาพผีที่กูโดนหลอกเลยนี่หว่า
“หลวงพ่อสี ได้รับตำแหน่งสมภารนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนเรื่องที่สมภารแก้วคิดโกงเงินวัด มีไม่กี่คนหรอกที่รู้เรื่องนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตายจากไปเกือบหมดแล้ว”
หลวงพี่พรกล่าวเรียบๆ จิบชานิดนึงแล้วจึงกล่าวต่อ
“ตอนที่ผมกับหลวงพี่ถวิลบวชนั้น มีพระที่บวชด้วยกันทั้งหมด 9 รูป พวกเราขอมาจำพรรษาที่วัดนี้ทั้งหมดด้วยศรัทธาในตัวท่านสมภารวัด แต่จนแล้วจนรอด พระที่ตั้งใจว่าจะอยู่ด้วยกันก็สึกหนีกันไปหมด บอกเหตุผลแค่ว่าอยู่ที่นี่ไม่ได้ ผีอดีตสมภารเฮี้ยนมาก นี่ก็เกือบ 10 ปีแล้วตั้งแต่ผมเข้ามา ที่นี่ยังไม่เคยได้ต้อนรับพระใหม่เลย” หลวงพี่พรพูดจบก็หัวเราะในลำคอ
ทางด้านไม้ พอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็ให้เกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
"แล้วทำไมผีสมภารแก้วถึงจ้องจะหลอกเราด้วยล่ะเนี่ย เราไปทำอะไรให้ท่านกัน"
“ได้ยินแบบนี้แล้ว ยังจะกล้าบวชอยู่ที่นี่อีกมั๊ยล่ะคุณโยม”
หลวงพี่ถวิลยังมิวายแซวไม้ด้วยใบหน้ายิ้มๆ ไม้ได้แต่นิ่งอึ้ง สบตากับหลวงพี่ทั้งสองโดยไม่พูดอะไร สักพักจึงเอ่ยขึ้น
“หลวงพี่ครับ รบกวนมากับผมสักครู่ได้มั๊ยครับ” ไม้เอ่ยขึ้นจนหลวงพี่ทั้งสองประหลาดใจ
เมื่อมาถึงหน้าวิหาร ไม้จึงทำการจุดธูปแล้วนั่งคุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดังพอสมควร
“ท่านสมภารแก้วครับ ที่ผมมาอยู่ที่นี่นอนในวิหารแห่งนี้เพราะผมจะต้องมาบวชแล้วจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใดแอบแฝง ผมเป็นลูกหลานบ้านนี้ ขอท่านสมภารอย่าทำอันตรายผมเลยนะครับ ผมต้องการบวชแทนคุณพ่อแม่ และศึกษาพระธรรม ขอท่านอย่าออกมาหลอกหลอนผมเลยนะครับ ผมกลัวจริงๆครับ”
เมื่อกล่าวจบทั้งหลวงพี่พรและหลวงพี่ถวิลกลั้นหัวเราะกันแทบไม่อยู่ ไม้สงสัยจึงถามขึ้น
“ขำอะไรกันล่ะครับหลวงพี่”
หลวงพี่พรพยายามกลั้นหัวเราะแล้วจึงตอบ
“ไอ้ช่วงต้นประโยคน่ะดีอยู่หรอก แต่ช่วงท้ายนี้อดขำไม่ได้จริงๆ” ว่าแล้วท่านก็หัวเราะออกมาดังลั่น ไม้ได้แต่หน้าเจื่อนตอบเขินๆ “ก็ผมกลัวนี่ครับ”
ไม้ได้แต่มองไปที่วิหารแล้วนึกในใจ
“หวังว่าท่านจะรับฟังคำขอของผมนะครับ ท่านสมภารแก้ว”
สายลมพัดแรงขึ้นนิดหน่อยสักพักก็จางหายไป กลายเป็นพัดเอื่อยๆพอให้เย็นสบาย ไม้รู้สึกขนลุกทั่วทั้งร่าง
ที่กุฏิเจ้าอาวาส ขณะที่ท่านนั่งสนทนากับเฒ่าจุ่นอยู่นั่นเอง จู่ๆเจ้าอาวาสก็หยุดชะงัก แล้วมองไปที่วิหาร จากนั้นท่านก็อมยิ้มแล้วพึมพำเบาๆ
“อ้อ…ยอมแล้วเรอะท่านสมภาร”
เฒ่าจุ่นได้แต่ทำสีหน้างงๆ แล้วถามออกไป
“อะไรหรือครับหลวงพ่อ ใครยอมอะไรครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกตาจุ่น พรุ่งนี้ไปขอแรงคนในหมู่บ้านมาช่วยกันทำความสะอาดวัดหน่อยนะ อีกไม่กี่วันเราจะมีงานใหญ่กัน” เจ้าอาวาสกล่าวยิ้มๆ
“งานอะไรหรือครับหลวงพ่อ” เฒ่าจุ่นสงสัย
“งานบวชน่ะ”
จบบท.
ผมจะบวช 5 เรื่องของทิดหม่องและสมภารแก้ว
หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมต่างๆในช่วงเช้าแล้ว ไม้ก็ถือหนังสือเดินไปหาหลวงพี่ทั้งสองเช่นเคย แต่จุดประสงค์แท้จริงนั้น คือต้องการสอบถามความจริงเกี่ยวกับทิดหม่องและผีพระในวิหารจากหลวงพี่พรเท่านั้น
“มาแล้วรึ” หลวงพี่พรทักด้วยใบหน้ายิ้มๆ เหมือนเช่นเคย
“แต่วันนี้ดูท่าทางมีเรื่องมาถามสินะ” หลวงพี่ถวิลพูดลอยๆ ขณะก้มหน้าก้มหน้าก้มตาแกะสลักไม้ชิ้นเล็กๆในมือ
“ครับ ผมอยากรู้เรื่องทิดหม่องกับผีตนนั้นครับ” ไม้ตอบออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เมื่อคืนก็อยู่ด้วยกันทั้งคืน ทำไมไม่ถามเอากับเจ้าตัวเค้าเองเลยล่ะ”
หลวงพี่ถวิลถามกึ่งเยาะอย่างขบขัน
“โธ่หลวงพี่ ก็ใครจะไปรู้ล่ะครับ ว่าทิดหม่องไม่ใช่คน แหม่หลอกผมซะเนียนกริ๊บ” ไม้บ่นอุบ
“แล้วอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ” หลวงพี่พรถาม
“ทุกเรื่องเกี่ยวกับทิดหม่องที่หลวงพี่รู้นั่นแหละครับ” ไม้ตอบ
“แล้วไม่กลัวแล้วรึ ผีนะนั่น” หลวงพี่ถวิลยังคงเย้าไม่หยุด
“กลัวมันก็ส่วนกลัวครับ แต่ผมรู้สึกว่าทิดหม่องเป็นผีที่ไม่เหมือนผีทั่วไปน่ะครับ” ไม้ตอบ
“เอ้า ก็ได้ ในเมื่อโยมอยากรู้ ผมก็ไม่ขัดศรัทธา” หลวงพี่พรเอ่ยขึ้น
"เรื่องของทิดหม่อง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว น่าจะซักเกือบแปดสิบปีได้แล้วล่ะ” หลวงพี่พรเริ่มเล่า
“สมัยนั้นวัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง ทั่วทั้งบริเวณวัดถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่จนรกทึบ ด้วยความที่มันรกจนไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามา”
"เพราะผีดุใช่มั๊ยครับ" ไม้ขัดขึ้น
“ไม่ใช่หรอกโยม เพราะด้วยความที่ไม่มีใครเข้ามานั่นแหละ จึงเป็นสถานที่ๆเหมาะแก่การซ่อนตัวของพวกนอกกฎหมาย และพวกนอกกฎหมายที่ว่าเนี่ยก็คือก๊กเสือหม่องแห่งริมเมย”
เสือหม่องเดิมทีเป็นคนแม่สอด พอตั้งก๊กขึ้นก็เที่ยวปล้นฆ่าชาวบ้านพ่อค้าเค้าไปทั่ว จนเป็นที่ต้องการตัวของทางการ หนีมาเรื่อยจนมาถึงที่นี่ ตอนที่มาถึง มีแค่เสือหม่องกับลูกน้องคนสนิทที่ชื่อว่าเสือระอูสองคนเท่านั้น ตอนนั้นสภาพเสือหม่องถูกเจ้าหน้าที่ยิงบาดเจ็บมา เสือหม่องจัดการเอาสมบัติฝังไว้ในบริเวณวัด แล้วบอกกับเสือระอูว่าให้ไปตามพรรคพวกที่เหลือมาพบกันที่นี่ในอีก 7 วัน เพราะจะทำการแบ่งสมบัติที่ปล้นมาครั้งล่าสุด ส่วนตัวเสือหม่องจะขอรออยู่ที่นี่
เสือระอูก็รับคำแล้วจากไป แต่ก็นั่นล่ะธรรมดาของมนุษย์ย่อมมีความโลภโมโทสัน คืนเดียวกันนั้นเอง เสือระอูย้อนกลับมาฆ่าเสือหม่องแล้วขุดเอาสมบัติทั้งหมดไป จุดที่เสือหม่องตายก็คือจุดที่ตั้งศาลไว้นั่นแหละ
พอวันเวลาผ่านไป หลวงตาสีและหลวงตาแก้วที่สมัยนั้นยังเป็นพระหนุ่ม ก็ได้จาริกธุดงค์มาจนถึงบริเวณนี้ ถึงจะเป็นเพียงพระหนุ่มแต่ท่านทั้งสองก็ทรงอภิญญา ท่านล่วงรู้ด้วยญาณว่าตนเองนั้น จะต้องปักหลักอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เพื่อฟื้นฟูวัดร้างนี้ขึ้นใหม่
ท่านทั้งสองช่วยกันลงแรงถากถางต้นไม้ใบหญ้าวันละนิดละหน่อย เช้าก็ออกบิณฑบาต เมื่อญาติโยมถามว่าท่านจำพรรษาอยู่วัดไหนเพราะไม่เคยเห็นหน้า ท่านก็บอกว่า
“เราสองรูปนี้มาจากเมืองไกล แต่นี้ไปจนภายหน้าจะมาอยู่ที่นี่”
ว่าแล้วท่านทั้งสองก็เดินจากไป
ชาวบ้านสงสัยจึงแอบติดตามไปจนถึงบริเวณวัดร้าง เฝ้าดูพฤติกรรมอยู่ครึ่งวันก็กลับมาบอกกับผู้ใหญ่บ้าน ว่าพระสองรูปที่เจอเมื่อเช้าพักอาศัยอยู่ที่วัดร้างในป่าท้ายหมู่บ้าน ตอนนี้กำลังถากหญ้าถางพง กันเป็นการใหญ่
“เราไปช่วยท่านหน่อยไม่ดีรึผู้ใหญ่” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ก็เอาสิ ถ้าหากนี่เป็นบุญของหมู่บ้านเราที่จะมีพระมาอยู่ ข้าก็มิขัดข้อง เต็มใจช่วยเต็มที่”
หลังจากนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็นำชาวบ้านกว่ายี่สิบคน เข้าไปช่วยพระหนุ่มทั้งสอง ในการจัดการกับหญ้าแล้วก็ต้นไม้ส่วนใหญ่ในบริเวณวัดร้างแห่งนี้ ใช้เวลาแค่ห้าวันก็แล้วเสร็จ แถมชาวบ้านยังสร้างกุฏิให้อีกสองหลัง แต่ก็สร้างเพียงแค่พออาศัยกันแดดกันลมได้เท่านั้น เพราะอุปกรณ์และงบประมาณที่มีนั้นค่อนข้างขาดแคลน
ในคืนหนึ่งขณะที่พระสีกำลังจำวัดอยู่นั้น ท่านได้ฝันว่ามีชายผู้หนึ่ง เดินเข้ามาก้มกราบท่านบริเวณด้านหน้ากุฏิ ชายผู้นั้นแจ้งแก่ท่านว่าตัวเค้าชื่อหม่อง เป็นขุนโจรมาจากริมเมย เค้าถูกลูกน้องฆ่าตายที่นี่เพื่อชิงเอาสมบัติที่ฝังไว้ แต่ที่มันได้ไปเป็นสมบัติแค่สามในสี่ส่วน อีกส่วนหนึ่งเค้าฝังแยกเอาไว้ สถานที่ฝังห่างจากุฏิหลังนี้ไปทางเหนือห้าสิบก้าว จะเจอต้นยางนาใหญ่ให้ขุดลงไป 1 ศอกจะพบกับห่อผ้า
พระสีก็ถามว่าแล้วจะบอกเราด้วยเหตุผลอันใด เสือหม่องจึงบอกความปรารถนา ว่าอยากจะมอบสมบัติที่เหลือนี้เพื่อให้แก่ท่านทั้งสองสำหรับใช้ในการบูรณะวัดแห่งนี้ หวังเพียงเป็นการทำบุญครั้งสุดท้าย จากนั้นเสือหม่องก็ก้มกราบแล้วค่อยๆจางหายไป
รุ่งเช้าพระสีก็นำเรื่องนี้ไปปรึกษาแก่พระแก้ว ทั้งสองท่านจึงพากันไปตามที่เสือหม่องบอกไว้ ก็เจอกับต้นยางนาใหญ่จริงๆ เมื่อขุดลงไปประมาณหนึ่งศอก พบว่ามีห่อผ้าอยู่ เมื่อแกะออกก็พบกับทรัพย์สินมีค่ามากพอสมควร ท่านจึงตกลงกันว่าจะนำทรัพย์สินส่วนนี้ไปบูรณะวัดให้สมความตั้งใจของเสือหม่อง
สองวันหลังจากนั้นผู้ใหญ่บ้านมาพบท่านทั้งสอง ท่านจึงไหว้วานให้หาช่างมาประเมินว่าถ้าจะบูรณะวัดนี้ ต้องการซ่อมแซมวิหาร ศาลา และสร้างกุฏิกับห้องน้ำใหม่ต้องใช้เงินเท่าไหร่ แล้วก็ให้ผู้ใหญ่บ้านไปตามหาช่างหล่อพระ บอกว่าต้องการหล่อพระประธาน ให้มาพบท่านด้วย เมื่อดำเนินการทุกอย่างเสร็จสิ้นตามที่ตั้งใจไว้ใช้เวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น
พระประธานองค์นั้นก็ถูกนำไปตั้งไว้ในวิหารที่ได้รับการบูรณะใหม่แล้ว พระสีอธิษฐานจิตว่าอานิสงส์ในการสร้างพระองค์นี้ขอมอบให้แก่เสือหม่องแต่เพียงผู้เดียว และชาวบ้านได้ตั้งชื่อพระประธานองค์นั้นว่าหลวงพ่อใหญ่ เนื่องจากมีขนาดหน้าตักที่ใหญ่โตมากหากเปรียบเทียบกันกับวัดในหมู่บ้านใกล้เคียง
เมื่อทำการบูรณะวัดเสร็จสิ้น ชาวบ้านก็ขอร้องให้พระสีเป็นสมภารของวัดนั้นแต่พระสีปฏิเสธ บอกว่าให้พระแก้วเป็นเถิดเพราะพรรษาท่านแก่กว่า ชาวบ้านก็ตกลง ฝ่ายพระแก้วก็มิได้ขัดข้องประการใด ท่านจึงได้ขึ้นเป็นสมภารนับตั้งแต่นั้น และวัดนั้นก็ได้รับการตั้งชื่อว่าวัดสองพระนับแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ หลวงพี่พรก็พักจิบชาสักครู่ ไม้จึงเอ่ยถามขึ้น
“แล้วสมภารแก้วท่านไปไหนแล้วล่ะครับ”
ไม้สงสัย
“เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากนั้นประมาณ 8 ปี"
ด้วยความที่เมื่อก่อนเงินทองของวัดก็จะเก็บรักษาไว้ในวัด โดยสมภารเป็นคนดูแล แต่วัดนี้ทั้งหลวงพ่อสีและหลวงพ่อแก้วจะช่วยกันดูแลเงินวัด ไม่ได้มีกรรมการวัดเหมือนสมัยนี้
หลวงพ่อแก้วหรือสมภารแก้วในสมัยนั้น เริ่มเกิดความโลภ อยากได้เงินทองนั้นเป็นของตัวเอง จึงได้ว่าจ้างช่างให้มาทำบานหน้าต่างวิหารเปลี่ยนจากของเดิมที่เริ่มชำรุด ให้เป็นไม้สักขนาดใหญ่แกะสลักลายอย่างประณีตสวยงาม โดยท่านแอบตกลงกับช่างว่า ให้บอกราคาเกินจากราคาจริงแล้วเอาส่วนต่างมาแบ่งกัน ช่างก็ตกลงด้วยความละโมบ
เมื่อถึงเวลาช่างก็เอาบิลไปเก็บเงินกับหลวงพ่อสีก่อนที่จะทำการติดตั้งบานหน้าต่าง ท่านก็จ่ายตามบิลนั่นมิได้อิดออด เมื่อถึงวันติดตั้ง หลวงพ่อสีท่านไม่อยู่เพราะไปกิจนิมนต์ข้างนอก มีเพียงสมภารแก้วที่คอยคุมงานเท่านั้น
พอหลวงพ่อสีกลับมาถึงวัด พบว่าสมภารแก้วมรณะภาพแล้วในวิหาร ถูกบานหน้าต่างหลุดลงมาทับหัวและลำคอ เลือดไหลนองไปจนถึงทางเข้าวิหาร ส่วนช่างที่ทำหน้าต่างก็พบเป็นศพอยู่ด้านนอกวิหารตรงหน้าต่างช่องเดียวกันนั่นแหละ ถูกบานหน้าต่างอีกบานหล่นทับเช่นกัน
เล่ามาถึงตรงนี้ ไม้ใจหายวาบ
“หรือว่าผีพระที่ผมเจอในวิหารก็คือ”
ไม้เอ่ยถามออกมาเบาๆ
“ใช่ นั่นแหละสมภารแก้วล่ะ พอท่านตายก็ไปไหนไม่ได้ ต้องชดใช้กรรมอยู่ที่นี่ ส่วนช่างทำหน้าต่างก็เป็นเปรตอยู่นี่ด้วยเหมือนกัน” หลวงพี่พรอธิบายให้ฟัง
“หลังจากเหตุการณ์นั้น ชาวบ้านทำการเผาศพสมภารแก้ว แต่ศพนั้นกลับเผาไม่ไหม้ สภาพศพผิวหนังแตกระแหง ท่านหลวงพ่อสีจึงตัดสินใจใช้วิธีฝังแทน”
ไม้นึกภาพตาม นั่นมันสภาพผีที่กูโดนหลอกเลยนี่หว่า
“หลวงพ่อสี ได้รับตำแหน่งสมภารนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนเรื่องที่สมภารแก้วคิดโกงเงินวัด มีไม่กี่คนหรอกที่รู้เรื่องนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตายจากไปเกือบหมดแล้ว”
หลวงพี่พรกล่าวเรียบๆ จิบชานิดนึงแล้วจึงกล่าวต่อ
“ตอนที่ผมกับหลวงพี่ถวิลบวชนั้น มีพระที่บวชด้วยกันทั้งหมด 9 รูป พวกเราขอมาจำพรรษาที่วัดนี้ทั้งหมดด้วยศรัทธาในตัวท่านสมภารวัด แต่จนแล้วจนรอด พระที่ตั้งใจว่าจะอยู่ด้วยกันก็สึกหนีกันไปหมด บอกเหตุผลแค่ว่าอยู่ที่นี่ไม่ได้ ผีอดีตสมภารเฮี้ยนมาก นี่ก็เกือบ 10 ปีแล้วตั้งแต่ผมเข้ามา ที่นี่ยังไม่เคยได้ต้อนรับพระใหม่เลย” หลวงพี่พรพูดจบก็หัวเราะในลำคอ
ทางด้านไม้ พอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็ให้เกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
"แล้วทำไมผีสมภารแก้วถึงจ้องจะหลอกเราด้วยล่ะเนี่ย เราไปทำอะไรให้ท่านกัน"
“ได้ยินแบบนี้แล้ว ยังจะกล้าบวชอยู่ที่นี่อีกมั๊ยล่ะคุณโยม”
หลวงพี่ถวิลยังมิวายแซวไม้ด้วยใบหน้ายิ้มๆ ไม้ได้แต่นิ่งอึ้ง สบตากับหลวงพี่ทั้งสองโดยไม่พูดอะไร สักพักจึงเอ่ยขึ้น
“หลวงพี่ครับ รบกวนมากับผมสักครู่ได้มั๊ยครับ” ไม้เอ่ยขึ้นจนหลวงพี่ทั้งสองประหลาดใจ
เมื่อมาถึงหน้าวิหาร ไม้จึงทำการจุดธูปแล้วนั่งคุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดังพอสมควร
“ท่านสมภารแก้วครับ ที่ผมมาอยู่ที่นี่นอนในวิหารแห่งนี้เพราะผมจะต้องมาบวชแล้วจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใดแอบแฝง ผมเป็นลูกหลานบ้านนี้ ขอท่านสมภารอย่าทำอันตรายผมเลยนะครับ ผมต้องการบวชแทนคุณพ่อแม่ และศึกษาพระธรรม ขอท่านอย่าออกมาหลอกหลอนผมเลยนะครับ ผมกลัวจริงๆครับ”
เมื่อกล่าวจบทั้งหลวงพี่พรและหลวงพี่ถวิลกลั้นหัวเราะกันแทบไม่อยู่ ไม้สงสัยจึงถามขึ้น
“ขำอะไรกันล่ะครับหลวงพี่”
หลวงพี่พรพยายามกลั้นหัวเราะแล้วจึงตอบ
“ไอ้ช่วงต้นประโยคน่ะดีอยู่หรอก แต่ช่วงท้ายนี้อดขำไม่ได้จริงๆ” ว่าแล้วท่านก็หัวเราะออกมาดังลั่น ไม้ได้แต่หน้าเจื่อนตอบเขินๆ “ก็ผมกลัวนี่ครับ”
ไม้ได้แต่มองไปที่วิหารแล้วนึกในใจ
“หวังว่าท่านจะรับฟังคำขอของผมนะครับ ท่านสมภารแก้ว”
สายลมพัดแรงขึ้นนิดหน่อยสักพักก็จางหายไป กลายเป็นพัดเอื่อยๆพอให้เย็นสบาย ไม้รู้สึกขนลุกทั่วทั้งร่าง
ที่กุฏิเจ้าอาวาส ขณะที่ท่านนั่งสนทนากับเฒ่าจุ่นอยู่นั่นเอง จู่ๆเจ้าอาวาสก็หยุดชะงัก แล้วมองไปที่วิหาร จากนั้นท่านก็อมยิ้มแล้วพึมพำเบาๆ
“อ้อ…ยอมแล้วเรอะท่านสมภาร”
เฒ่าจุ่นได้แต่ทำสีหน้างงๆ แล้วถามออกไป
“อะไรหรือครับหลวงพ่อ ใครยอมอะไรครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกตาจุ่น พรุ่งนี้ไปขอแรงคนในหมู่บ้านมาช่วยกันทำความสะอาดวัดหน่อยนะ อีกไม่กี่วันเราจะมีงานใหญ่กัน” เจ้าอาวาสกล่าวยิ้มๆ
“งานอะไรหรือครับหลวงพ่อ” เฒ่าจุ่นสงสัย
“งานบวชน่ะ”
จบบท.