เกร่ินนำสักนิดนึงก่อนเลยละกันว่าผมบวชมาเกือบอาทิตย์แล้วครับ พระณัฐพงษ์ ญาณพโล
จากวัยรุ่นวัยคะนองหันเหชีวิตไปทาง นารี และ เมรัย ใจร้อน อารมณ์ร้าย พลาญเงินตัวเองและพ่อแม่ มาใช้ชีวิตอยู่ใน สบง ประคต อังษะ จีวร ผ้ารัดเอว ย่าม และบาตรสแตนเลส "บวชพระ"
เป็นคำที่ ผม เบือนหน้าหนีทุกครั้งที่ได้ยิน ตั้งแต่เกิดมาเจอพระแทบจะนับหัวได้ แต่วันนี้ต้องมาเป็นพระซะเอง
วันแรกของการเป็นพระผมเข้ากุฏิตอน6โมงเย็นหลังจากเสร็จพิธีต่างๆ วัดที่ผมบวชเป็นวัดที่อยู่บนเขาซึ่งห่างไกลจากความเจริญมาก
ท้องฟ้าที่นี้จะมืดเร็วกว่าปกติอยู่มาก กลับถึงกุฏิผมก็ล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนล้า และตะโกนขึ้นฟ้าที่มีหลังคาคุมว่า"แมร่งเอ้ย" ครับ ผมหงุดหงิด ผมหิวข้าว ผมกลัว....
คืนนั้นเองผมนั่งท่องบทให้พรตอนโยมมาตักบาตร เพื่อที่เวลาโยมแม่มาใส่บาตรจะได้ไม่โดนบ่น อภิวา ทะนะ สีลีส สะนิจจัง วุฒทาปะจายิโน จัดตาโร ธรรมมา วัฒฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง
สำหรับคนทั่วไปท่อนนี้คงคุ้นหูเพราะเป็นท่อนสุดท้ายของบทกรวดน้ำ แต่สำหรับผมผู้ที่แทบไม่เคยใส่บาตร มันยากมาก.... ผมท่องบทนี้จนถึงเวลาประมาณสามทุ่ม
ก็ได้ยินเสียงเคาะหลังคาดัง ป้างงง .... ความเงียบเกิดขึ้นทันทีในกุฏิของผม ผมค่อยบรรจงพับหนังสือสวดมนต์ลงอย่างเบามือ กดเปลี่ยนเบอร์พัดลมไปที่เบอร์หนึ่ง
พยายามเงี่ยหูฟังเสียงผิดปกติอีกครั้ง ป้างงงง ป้างงงง "
"นิยามสั้นที่เกิดขึ้นในสมองอันน้อยนิดของผม สองครั้งติดเลยสัส!!(อันนี้พูดออกมาแต่พูดเบาๆ)
นอนดีกว่า(คิดในใจอีกครั้ง) นอนไปได้ซักพักก็เกิดอาการปวดอึอย่างรุนแรง ปวดจนขนลุก เหงื่อกาฬไหลย้อย
รากสังขาลตัวเองไปเข้าห้องน้ำ(กุฏิที่ผมอยู่เป็นกุฏิสร้างใหม่มีห้องน้ำในตัว) ขณะกำลังจะเปิดสบง...ป้างงงงง!! หลังคาห้องน้ำก็เกิดเสียงอีก!!
อารามตกใจบวกอารมณ์กลัวและโมโห จึงตะโกนว่า กูจะขี้จะเคาะทำไม!!! ได้ผลเงียบครับ!! การอึทผ่านไปได้ด้วยดี กลับมาถึงที่นอน
เสียงเคาะก็ปรากฏที่หลังคาและไหลมาสู่พื้นหญ้า เสียงดัง ตุบ.. กลัวครับ..เมื่อกี้ตะโกนด่ามัน มันลงมาฆ่ากูแน่ๆ คิดในใจไม่ไหวละ คลุมโปงนอนฟังเสียงเคาะทั้งคืน
จนเวลาล่วงเลยมาถึงตีสี่ เสียงระฆังวัดดัง เพื่อปลุกพระทำวัตรเช้า ผม กระเด้งออกจากที่นอนประดุจนักมวยที่โดนพี่เลี้ยงให้น้ำเสร็จแล้วพลักออกมาชกต่อ
ผมวิ่งไปขว้าจีวร กระโดดลงกุฏิ วิ่งไปหอสวดมนต์ทันที ถึงหอสวดมนต์เจอเจ้าอาวาสจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เจ้าอาวาสยิ้มแล้วบอกว่าทำวัตรเสร็จเดี๋ยวเราเดินไปดูกัน...
ทำวัตรเช้าเสร็จประมาณ6โมงเช้า ผมและเจ้าอาวาสเดินมายังกุฏิของผม เจ้าอาวาสชี้ไปที่ต้นมะขาม ต้นใหญ่ข้างกุฏิ แล้วถามผมว่า ต้นไม้มีผลมั้ย?? มีครับ!
ผมตอบชัดเจน มีกิ่งก้านมั้ย? มีครับ ผมตอบ เจ้าอาวาสจึงบอกว่า กิ่งไม้และลูกไม้ย่อมมีการละสังขารตัวเอง ไม่ว่าจะกิ่งอ่อนกิ่งแก่ ลูกอ่อนหรือลูกแก่
มันต้องร่วงหล่นลงมาเพื่อเป็นวัฐจักร เหมือนมนุยษ์เรา เกิดมาหล่อ เกิดมาสวย เกิดมารวย แค่ไหน สุดท้าย ก็ต้องมานอนฟังพระสวดเหมือนกัน
คนเรามักกลัวในสิ่งที่ตนเองคิดขึ้นมาแล้วเป็นตุเป็นตะว่ามันมีจริงๆ เออ...จริงแฮะ หลอกตัวเองในสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา จบวันแรกของการนอนกุฏิ
...................................
อนึ่ง.. อักขระ ไวยากรณ์ตัวใดข้อความใดไม่ถูกต้องรบกวนช่วยเตือนด้วยครับและกราบขอประทานอภัยแนบมาด้วยเลย
อนึ่ง.. ขอคำติชมในการบูรณะการเขียนของกระผมต่อไปครับขอบพระคุณ
นิยายสั้นเรื่องนี้อ้างอิงจากเรื่องจริง
พระใหม่ : เสียงจากหลังคา(กุฏิ)
จากวัยรุ่นวัยคะนองหันเหชีวิตไปทาง นารี และ เมรัย ใจร้อน อารมณ์ร้าย พลาญเงินตัวเองและพ่อแม่ มาใช้ชีวิตอยู่ใน สบง ประคต อังษะ จีวร ผ้ารัดเอว ย่าม และบาตรสแตนเลส "บวชพระ"
เป็นคำที่ ผม เบือนหน้าหนีทุกครั้งที่ได้ยิน ตั้งแต่เกิดมาเจอพระแทบจะนับหัวได้ แต่วันนี้ต้องมาเป็นพระซะเอง
วันแรกของการเป็นพระผมเข้ากุฏิตอน6โมงเย็นหลังจากเสร็จพิธีต่างๆ วัดที่ผมบวชเป็นวัดที่อยู่บนเขาซึ่งห่างไกลจากความเจริญมาก
ท้องฟ้าที่นี้จะมืดเร็วกว่าปกติอยู่มาก กลับถึงกุฏิผมก็ล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนล้า และตะโกนขึ้นฟ้าที่มีหลังคาคุมว่า"แมร่งเอ้ย" ครับ ผมหงุดหงิด ผมหิวข้าว ผมกลัว....
คืนนั้นเองผมนั่งท่องบทให้พรตอนโยมมาตักบาตร เพื่อที่เวลาโยมแม่มาใส่บาตรจะได้ไม่โดนบ่น อภิวา ทะนะ สีลีส สะนิจจัง วุฒทาปะจายิโน จัดตาโร ธรรมมา วัฒฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง
สำหรับคนทั่วไปท่อนนี้คงคุ้นหูเพราะเป็นท่อนสุดท้ายของบทกรวดน้ำ แต่สำหรับผมผู้ที่แทบไม่เคยใส่บาตร มันยากมาก.... ผมท่องบทนี้จนถึงเวลาประมาณสามทุ่ม
ก็ได้ยินเสียงเคาะหลังคาดัง ป้างงง .... ความเงียบเกิดขึ้นทันทีในกุฏิของผม ผมค่อยบรรจงพับหนังสือสวดมนต์ลงอย่างเบามือ กดเปลี่ยนเบอร์พัดลมไปที่เบอร์หนึ่ง
พยายามเงี่ยหูฟังเสียงผิดปกติอีกครั้ง ป้างงงง ป้างงงง ""นิยามสั้นที่เกิดขึ้นในสมองอันน้อยนิดของผม สองครั้งติดเลยสัส!!(อันนี้พูดออกมาแต่พูดเบาๆ)
นอนดีกว่า(คิดในใจอีกครั้ง) นอนไปได้ซักพักก็เกิดอาการปวดอึอย่างรุนแรง ปวดจนขนลุก เหงื่อกาฬไหลย้อย
รากสังขาลตัวเองไปเข้าห้องน้ำ(กุฏิที่ผมอยู่เป็นกุฏิสร้างใหม่มีห้องน้ำในตัว) ขณะกำลังจะเปิดสบง...ป้างงงงง!! หลังคาห้องน้ำก็เกิดเสียงอีก!!
อารามตกใจบวกอารมณ์กลัวและโมโห จึงตะโกนว่า กูจะขี้จะเคาะทำไม!!! ได้ผลเงียบครับ!! การอึทผ่านไปได้ด้วยดี กลับมาถึงที่นอน
เสียงเคาะก็ปรากฏที่หลังคาและไหลมาสู่พื้นหญ้า เสียงดัง ตุบ.. กลัวครับ..เมื่อกี้ตะโกนด่ามัน มันลงมาฆ่ากูแน่ๆ คิดในใจไม่ไหวละ คลุมโปงนอนฟังเสียงเคาะทั้งคืน
จนเวลาล่วงเลยมาถึงตีสี่ เสียงระฆังวัดดัง เพื่อปลุกพระทำวัตรเช้า ผม กระเด้งออกจากที่นอนประดุจนักมวยที่โดนพี่เลี้ยงให้น้ำเสร็จแล้วพลักออกมาชกต่อ
ผมวิ่งไปขว้าจีวร กระโดดลงกุฏิ วิ่งไปหอสวดมนต์ทันที ถึงหอสวดมนต์เจอเจ้าอาวาสจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เจ้าอาวาสยิ้มแล้วบอกว่าทำวัตรเสร็จเดี๋ยวเราเดินไปดูกัน...
ทำวัตรเช้าเสร็จประมาณ6โมงเช้า ผมและเจ้าอาวาสเดินมายังกุฏิของผม เจ้าอาวาสชี้ไปที่ต้นมะขาม ต้นใหญ่ข้างกุฏิ แล้วถามผมว่า ต้นไม้มีผลมั้ย?? มีครับ!
ผมตอบชัดเจน มีกิ่งก้านมั้ย? มีครับ ผมตอบ เจ้าอาวาสจึงบอกว่า กิ่งไม้และลูกไม้ย่อมมีการละสังขารตัวเอง ไม่ว่าจะกิ่งอ่อนกิ่งแก่ ลูกอ่อนหรือลูกแก่
มันต้องร่วงหล่นลงมาเพื่อเป็นวัฐจักร เหมือนมนุยษ์เรา เกิดมาหล่อ เกิดมาสวย เกิดมารวย แค่ไหน สุดท้าย ก็ต้องมานอนฟังพระสวดเหมือนกัน
คนเรามักกลัวในสิ่งที่ตนเองคิดขึ้นมาแล้วเป็นตุเป็นตะว่ามันมีจริงๆ เออ...จริงแฮะ หลอกตัวเองในสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา จบวันแรกของการนอนกุฏิ
...................................
อนึ่ง.. อักขระ ไวยากรณ์ตัวใดข้อความใดไม่ถูกต้องรบกวนช่วยเตือนด้วยครับและกราบขอประทานอภัยแนบมาด้วยเลย
อนึ่ง.. ขอคำติชมในการบูรณะการเขียนของกระผมต่อไปครับขอบพระคุณ
นิยายสั้นเรื่องนี้อ้างอิงจากเรื่องจริง