เรื่องมีอยู่ว่า เราอายุ 26 เป็นมะเร็งเต้านมด้านขวา ระยะที่3 ปลายๆ คีโม ผ่าตัด ฉายแสงเรียบร้อยแล้วแล้ว แต่หมอนัดมาติดตามอาการทุกๆ3 เดือน และเราต้องติดตามอาการทั้ง2 โรงพยาบาล คือ โรงพยาบาลต้นสังกัด และโรงพยาบาลที่เราไปฉายแสง(ศูนย์มะเร็งแห่งหนึ่ง) ช่วงหลังๆเราเริ่มมีอาการ ปวดที่แผลที่เรยผ่าตัด และตอนกลางคืนก็จะเจ็บจี๊ดขึ้นมาที่เต้านมอีกข้างที่ไม่ได้เป็น และเจ็บขึ้นมาถี่ขึ้น อีกทั้งยังมีอาการปวดหลังเพิ่มเติม เมื่อถึงวันที่หมอทางโรงพยาบาลที่ไปฉายแสงนัด เราก็เล่าอาการให้ฟัง พร้อมบอกว่าเราคลำเจอก้อนแต่ไม่รู้คือก้อนอะไร หมอจึงบอกขอตรวจและคลำเจอก้อนเช่นกัน แต่หมอบอกว่าอาจเป็นไปได้ว่าเป็นก้อนไขมัน ให้เราบอกทางโรงพยาบาลต้นสังกัดให้ตรวจดูให้ละเอียดอีกรอบ หมอที่นี่พูดจาไพเราะกับคนไข้ดีมาก แนะนำการดูแลเป็นอย่างดี และเมื่อมาถึงวันที่ทางโรงพยาบาลต้นสังกัดนัดตรวจ เราก็พาแฟนไปด้วย เพื่อเข้าพบหมอด้วยกัน และเราก็เล่าอาการที่เกิดขึ้นให้ฟังเช่นเดียวกัน แฟนเราก็บอกไปว่าเต้านมของคนไข้อีกข้างก็เหมือนมีก้อนเช่นกัน เท่านั้นแหล่ะค่ะ หมอจัดมาชุดใหญ่เลยตะคอกเสียงดังมาก หมอบอกว่าเป็นมะเร็งมันไม่เจ็บไม่ปวดหรอก อาการที่เป็นวินกไปเอง คนไข้เป็นโรคคิดไปเองทั้งนั้น มีใครมาหาหมอเป็นมะเร็งแล้วเจ็บปวดบ้างไหม มันไม่มีหรอกคนไข้ คนไข้ไม่ป่วยเพราะมะเร็งหรอก ป่วยเพราะโรควิตกกังวลนี่แหล่ะ ญาติก็เหมือนกันรู้ได้ยังไงว่ามีก้อน เราก็บอกไปว่าหมอที่หนึ่งก็จับเจอ แค่อยากรู้ว่าคือก้อนอะไร (เราเองเราก็กลัวนะ คนมันมีเชื้ออยู่แล้ว ) หมอตอบกลับมาอีกว่า หมอทางนู้นรู้ไม่จริงแล้วเอามาพูดไปเรื่อย คุณไม่ได้เชียวชาญทางด้านนี้ก็อย่าพูดไปเรื่อย รนไข้เองก็เลิกวิตกกังวลได้แล้ว ตรวจแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร เท่านั้นแหล่ะค่ะน้ำตาคลอเลย ทำไมหมอไม่ตรวจไม่อะไร ทำไมต้องตะคอกใส่ ครั้งต่อไปที่นัดตรวจได้แต่นิ่ง ไม่กล้าเล่าอาการอะไรเลย ตอนนี้กำลังมองหาโรงพยาบาลใหม่เพื่อติดตามการรักษาต่อค่ะ ที่แรกเราไปตวจเจอที่โรงพยาบาลอื่น รักษาอยู่ได้ประสักระยะค่ะ แต่ก่อนให้คีโม เราบอกว่าสู้ราคาไม่ไหว หมอจึงแนะนำให้กลับไปใช้สิทธิประกันสังคมที่มีอยู่ แล้วสิทธิเราก็อยู่ที่โรงบางปัจจุบันนี่แหล่ะค่ะ
หมอตะคอกใส่