เรื่องสั้น : บังตา
โดย : ชลัน
เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
“เอ้าปากกาอยู่ตรงนี้หายไปไหนวะ”
แป้งเกาหัวแคร๊ก ๆ แบบงง ๆ เมื่อสักครู่ตัวเองยังวางปากกาสองด้ามไว้บนโต๊ะทำงานข้าง ๆ คอมพิวเตอร์อยู่เลย พร้อมควานหาจนทั่วโต๊ะแล้ว พลิกคอมพิวเตอร์หาก็แล้ว ก็หาไม่เจอ ปากกาแดงกับปากกาน้ำเงิน ที่เธอเอาขึ้นมาเขียนเมื่อครู่หล่นหายไปไหนนะ หาจนทั่วบริเวณโต๊ะทำงานก็ไม่เจอ ในที่สุดก็ไม่ทน เปิดลิ้นชักหยิบปากกาด้ามใหม่มาใช้แทน
ทว่าเมื่อหยิบปากกาด้ามใหม่จากลิ้นชักโต๊ะออกมา เธอต้องงุนงงเข้าไปอีกเมื่อปากกาสองด้ามแดงกับน้ำเงิน ที่เธอหาเมื่อครู่ มันดันวางอยู่บนเอกสาร ตรงหน้าของเธอ ข้าง ๆ คอมพิวเตอร์โต๊ะทำงานของเธอนี่เอง ทั้งที่เมื่อครู่หาไปแล้ว สั่นเอกสารทั้งหมดบนโต๊ะก็แล้ว ทิพย์มาช่วยหาก็แล้วไม่เจอ ต้องหัวเราะลั่นที่ทำงานด้วยความงุนงง พร้อมเกาหัวแคร๊ก ๆ อีกเป็นรอบที่สอง
“ทิพย์แป้งสาบาน เมื่อกี้แป้งหาแล้วตรงนี้ พลิกโต๊ะหาแล้วนะตรงนี้ สาบานไม่มีปากกา!”
แป้งพูดแบบเซ็ง ๆ เอาอีกแล้วเหรอ อาการผีบังตาเนี่ย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเป็น ชีวิตประจำวันของเธอเจอเรื่องผีบังตาแบบนี้บ่อยมาก ยากที่ใครจะเชื่อ
เวลาเล่าให้ใครฟังก็หาว่าเธอหาไม่ดีบ้างล่ะ เกิดจากการเมื่อยล้าบ้างล่ะ หาของสะเพร่าไม่เจอเองบ้าง หลัง ๆ มาเธอจึงไม่เล่าให้ใครฟังแล้วปล่อยไป ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่กลัวและไม่หลอน โมโหมากกว่าที่โดนผีแกล้ง
แต่ว่ารอบนี้มีพรทิพย์เป็นพยานได้ เพราะก็ช่วยหาเหมือนกัน แต่ไม่เจอ พอเธอหยิบด้ามใหม่มาใช้ ดันเจอวางอยู่ตรงหน้า
“เกิดอะไรขึ้นอ่ะ”
พรทิพย์มองหน้าเธอ สายตาละล่ำละลัก เหมือนจะกลัว เธอสัมผัสความรู้สึกของเพื่อนร่วมงานได้ ซึ่งตอนนี้ก็ทุ่มกว่า ๆ แล้ว พวกเธอกำลังจะเลิกงานพอดี มัวแต่หาปากกาจึงทำให้เสียเวลาไปหลายนาทีกันเลย
ก็แทนที่จะหยิบด้ามใหม่มาใช้แต่แรกก็จบ เพราะเธอรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับตนอย่างไรล่ะ จึงไม่อยากแพ้ผี สุดท้ายก็แพ้ทุกทีไป เมื่อเธอรู้สึกถอดใจก็จะเจอของที่กำลังหาทันที ซึ่งมักเจอตรงที่เธอหาไปแล้ว และส่วนมากจะเป็นที่โล่ง ๆ ที่ไม่น่ามองพลาด
“ไม่มีอะไรหรอกทิพย์ อาการนี้แป้งเป็นบ่อย ผีบังตาน่ะ แป้งคิดแบบนั้น และก็เชื่อแบบนั้นด้วย” เธอตอบแบบเหมือนเป็นเรื่องปกติ สำหรับเธอมันก็เป็นเรื่องปกติจริง ๆ เพราะเจอเหตุการณ์แบบนี้อยู่บ่อย ๆ “ปะเตรียมตัวกลับกัน” เธอยิ้มให้เพื่อนรัก
“เป็นบ่อยเลยเหรอ” พรทิพย์ถามเธออย่างกับตัวเองไม่เคยเป็น แป้งคิดว่าอาการนี้น่าจะเจอกันทุกคน หาของไม่เจอ พอเจอดันเจอตรงที่หาไปแล้ว
“อือ เหมือนแป้งจะมีเซ้นต์อ่ะ แต่ไม่มีนะ แต่เนี่ย เจอแบบเมื่อกี้ประจำ ได้ยินเสียงก็บ่อย ถามว่ากลัวมั้ยก็กลัวแหละ แต่ไม่กลัว! ฮ่า งงมั้ย!” เธอพูดเป็นเรื่องตลก พร้อมหัวเราะให้เพื่อนซี้ ทว่าพรทิพย์ยังทำหน้าเลิกลัก เหมือนกลัว
“ทิพย์ไม่เคยเจอแบบนั้นเลย เนี่ยพึ่งมาเจอเหตุการณ์เมื่อกี้กับแป้งเนี่ย แต่ก็เหลือเชื่อนะ ทั้งที่เราก็หากันแล้วตรงนี้ แต่ไม่เจอ! พอจะเจอดันเจอง่าย ๆ วางอยู่ตรงหน้าด้วย มันก็เหลือเชื่อนะ” พรทิพย์พูด
“เหลือเชื่อ แต่ชิน เป็นบ่อย นี่เราสี่ตานะทิพย์ มีเหตุการณ์นึง คนห้าคนสิบตาอ่ะ เหตุการณ์นี้แหละทำให้เปียวเชื่อในสิ่งที่แป้งเล่าให้ฟังมาตลอด”
“เปียวไม่เคยเชื่อเลยเหรอ”
“อือ รับฟังนะเวลาพูด แต่ไม่เคยเชื่อ จนเหตุการณ์นั้นแหละ ถึงเชื่อในสิ่งที่แป้งพูด วันนั้นแป้งกับเปียวและยายพี่ชายพี่สะใภ้และหลานไปเที่ยวสุรินทร์กัน”
สามสิบนาทีก่อนเลิกงาน พวกเธอนั่งคุยกันถึงเหตุการณ์ผีบังตาที่เหลือเชื่อมาก เธอเป็นคนเล่าเหตุการณ์ที่พบเจอมาให้เพื่อนฟัง
วันนั้นพวกเธอขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน พายายไปเที่ยว ซึ่งไปจังหวัดสุรินทร์ เพราะยายของเธออยากไปเยี่ยมลูกชายคนโตของยายด้วย ก็ลุงของเธอนั่นแหละ ก่อนจะไปบ้านลุง พวกเธอจึงแวะสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง เป็นวัด ๆ หนึ่ง แวะไปกราบไหว้สักการะสักหน่อย
พอตกลงกันได้ เปียวแฟนของเธอซึ่งเป็นคนขับรถก็ตั้ง GPS ทันที แล้วขับไปเรื่อย ๆ ขับไปเกือบชั่วโมงได้ เพราะวัดมันค่อนข้างไกลจากตัวอำเภอ ขับไปตาม GPS เรื่อย ๆ จากทางหลักกลายเป็นทางชนบท หมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่า ทางแคบ ๆ จนเธอเกือบท้อใจ เมื่อไหร่จะถึงวัดที่ว่าสักที
พวกเธอขับรถมาเรื่อย ๆ ทั้งอยากไป ทั้งอยากเลี้ยวรถกลับ เพราะว่าต้องไปบ้านลุงด้วย แต่ก็ไม่ได้รีบ เพราะต้องนอนค้างที่นู่นอยู่แล้ว จึงกะว่าไปถึงช้าหน่อยคงไม่เป็นไร พวกเธอขับกันมาเรื่อย ๆ ตามแผนที่
GPS ก็บอกระยะทางเรื่อย ๆ อีกกี่กิโลเมตรจะถึงจุดหมายปลายทาง เส้นทางก็เริ่มทึบไปด้วยต้นไม้ทั้งสองฝั่ง เป็นทางสองเลน ถนนลาดยางอย่างดี บรรยากาศมันเริ่มรู้สึกเย็น ๆ มีความรู้สึกว่าเหมือนกำลังวิ่งเข้าสู่แดนสนธยาอย่างไรไม่รู้
เปียวขับรถไปเรื่อย ๆ ถนนก็เริ่มเปลี่ยว เหมือนกำลังวิ่งเข้าไปในป่าก็มิปาน มีป้ายบอกชื่อหมู่บ้านข้างหน้า ไม่มีรถวิ่งสวนมาสักคัน
“มันใช่เหรอเปียว ไม่ได้ตั้งจีพีเอสผิดนะ” แป้งเริ่มใจหวิว ๆ รู้สึกกลัวแปลก ๆ ขึ้นมา
“ไม่ผิดชัวร์ ตัวเองตั้งใหม่ก็ได้” เปียวตอบ พร้อมชะลอรถหาที่จอด แป้งไม่รีรอกดตั้ง GPS ใหม่อีกรอบ แล้วกดเริ่ม GPS ก็บอกตรงไป ทางนี้แหละถูกแล้ว เปียวจึงขับรถมุ่งหน้าต่อไป
และในที่สุดประโยคที่ทำให้พวกเธอใจชื้นขึ้นมาก็ดังขึ้น คือ GPS บอกว่าอีกหนึ่งร้อยเมตรจะเจอจุดหมายปลายทาง อยู่ฝั่งขวามือ แป้งยิ้มออกมาได้ ในที่สุดก็มาถึงสักที
แต่พอรถของพวกเธอวิ่งมาเรื่อย ๆ GPS บอกว่า จุดหมายปลายทางของคุณถึงแล้ว อยู่ฝั่งขวามือ เปียวชะลอรถ ทุกคนมองตาม ฝั่งขวามือ! พระเจ้า! มันเป็นป่า มีแต่ต้นไม้ขึ้นเต็มสองข้างทาง เหมือนตอนนี้พวกเธอกำลังวิ่งวนอยู่บนภูเขาอะไรสักลูก เป็นภูต่ำ ๆ ไม่สูงมาก ข้างหน้ามีป้ายบอกชื่อหมู่บ้าน
เปียวขับรถเลยจุดที่ GPS บอก ขับไปเรื่อย ๆ ยิ่งขับก็เหมือนยิ่งเข้าไปในป่าลึกทุกที เธอจึงตัดสินใจเปิด GPS อีกครั้ง พระเจ้า! มันบอกให้กลับรถ ซึ่งตอนนี้ไม่อยากไปไหว้พระแล้ว อยากไปหาลุงมากกว่า ทว่าทุกคนมุ่งมั่นที่จะมาแล้วต้องหาให้เจอให้ได้
เปียวขับหาที่กลับรถ เพราะถนนแคบมาก เมื่อกลับรถได้ ขับย้อนกลับมา GPS บอกว่าอีกหนึ่งร้อยเมตรจะเจอจุดหมายปลายทางของคุณอยู่ฝั่งซ้ายมือ ซึ่งทุกคนได้ยินพร้อมกันหมด ห้าคนสิบตาหาวัดไม่เจอ ทุกคนมองข้างทางเป็นสายตาเดียวกัน เพื่อหาป้ายชื่อวัด
GPS บอกว่าถึงจุดหมายปลายทางของคุณแล้ว!!!
ไม่มี! เป็นป่าเหมือนอยู่บนภูเขาอะไรสักลูก ทุกคนหน้าถอดสี เกิดอะไรขึ้น
“ยายกลับปะ ไปบ้านลุงกันเถอะ” พี่ชายของเธอชวน สีหน้าเงียบขรึม พี่สะใภ้ของเธอด้วยไม่พูดอะไร มีเพียงหลาน ๆ ที่หยอกเล่นกันไม่รู้เรื่องอะไรเลย
แป้งจึงพูดในใจว่า “สาธุ แป้งอยากมาทำบุญ แป้งมาเที่ยวบ้านลุง ขอให้แป้งหาวัดเจอด้วยนะคะสาธุ! “
ยายของเธอก็เช่นกัน ยกพระที่ห้อยบนคอขึ้นมา พนมมือไหว้ พูดเป็นภาษาบ้านเกิดของเธอ ว่ามาเยี่ยมลูกชาย อยากแวะมากราบไหว้สักการะสักครั้ง ให้เห็นแน่เด้อ!
เท่านั้นล่ะ แต่ว่าเปียวก็ขับรถเลยจุดที่จีพีเอสบอกไปแล้ว หลานสาวของเธอดันมองเห็นวัดซะงั้น
“แม่ นั่นไงวัด!” มิเกลวหลานสาวของเธอชี้ไปทางด้านหลัง เปียวเบรครถกระทันหัน ทุกคนหันไปมองตาม เป็นวัดจริง ๆ เป็นประตูโขงของวัด ต้องขับรถเข้าไปอีกถึงจะเจอตัววัด แป้งยิ้มออกมาได้ เปียวรีบถอยรถกลับไปอย่างเร็ว เพราะไม่มีรถสักคันวิ่งสวนมาเลย
เมื่อพวกเธอเข้ามาถึง ก็มีเจ้าหน้าที่ออกมาต้อนรับ มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีระฆังให้ตียาวหลายลูก มีคนมาเที่ยวกราบไว้เยอะ คู่หนุ่มสาวก็มี เป็นคณะทัวร์ก็มี เธอกับพี่ ๆ และเปียวมองหน้ากันแบบงง ๆ เมื่อสักครู่ยังมองเห็นเป็นป่าอยู่เลย ซึ่งมองถึงสองรอบ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ยายก็ไม่พูดอะไร แล้วพวกเธอก็เดินเข้าไปกราบไหว้สักการะ ขอพรกันไป เสร็จจึงไปบ้านลุงต่อ
“ขับผ่านสองรอบก็ไม่เห็นเลยเหรอแป้ง” พรทิพย์ตั้งใจฟังเธอเล่ามาก
“ใช่! ห้าคนสิบตาอ่ะ ไม่รวมเด็ก ๆ “ เธอยืนยัน ขับผ่านถึงสองรอบ ก็เห็นเป็นป่าถึงสองรอบ “ถ้าไอ้เกลวไม่เห็นก่อนนะ แป้งจะพายายกลับแล้ว ถ้าไม่เจอนะโคตรรู้สึกผิดอ่ะ แป้งเป็นคนต้นคิดพามา ห่วงความรู้สึกทุกคนอ่ะ ยายน่าจะคิดว่ามันไม่ปกติแล้ว แกถึงพนมมือไหว้พระที่คอ” แป้งเล่าถึงเหตุการณ์นั้น
“เออเนาะ ผีบังตามีจริง” พรทิพย์ก็เหมือนจะเชื่อในสิ่งที่เธอเล่า และทำหน้าเจื่อน ๆ
“นี่แหละเปียวมันถึงเชื่อเค้า เวลาเค้าเล่าให้ฟัง เมื่อก่อนมันว่าเค้าสะเพร่าเอง หาไม่เจอเอง เค้าว่าผีในห้องเค้ามันขี้แกล้งอ่ะ ทุกวันนี้เล่นกะมันเลย จนคิดว่าตัวเองเป็นโรคประสาทอ่ะคิดดู”
“เล่นยังไง”
“แบบด่าไง แบบต้องให้โมโหก่อนใช่มั้ย ถึงจะให้กันหาเจอ ว่าแบบนี้ ต้องให้ด่าก่อนแช่งก่อนใช่มั้ย ยายเจ้าเชื่อมั้ย ข่อยพูดแบบนี้ทีไรเจอทุกที มันคงหัวเราะข้อยอ่ะ”
“เออเนอะ อธิบายยากว่ะ”
“นั่นดิ แล้วเปียวมันก็เจอกับตัวแล้วด้วย วันก่อนหากุญแจรถ พลิกห้องหาก็แล้ว สะบัดผ้าห่มหาก็แล้ว ไม่เจอ! เดินหากันสองคนทั้งห้องอ่ะ ตรงไหนที่ยังไม่หา ทุกซอกหาหมด ถอดผ้าปูที่นอนสะบัดหาก็ไม่เจอ”
“แล้วสรุปเจอที่ไหน” พรทิพย์ถามด้วยความอยากรู้
“ทิพย์รู้มั้ยเจอที่ไหน พอแป้งถอดผ้าปูหาแล้วใช่มั้ยก็ใส่คืนเหมือนเดิม สะบัดผ้าห่มหาอีกไม่เจอ อย่างที่บอกเหมือนเราถอดใจแล้วถึงจะเจออ่ะ นี่ก็โมโหแล้ว โมโหผีเนี่ย กูไม่ไปแม่รงและ! คือด่าหยาบคายเลย ทั้งเปียวด้วย ฮ่า” แป้งนึกถึงหน้าแฟนที่ไม่เคยเชื่อ ตอนนี้เชื่อสนิทใจ และเป็นคนด่าเองด้วย ตลกปนทึ่งมาก
“อย่าบอกว่าเจอบนที่นอน”
“ใช่ทิพย์! มันวางอยู่บนที่นอน แป้งกับเปียวมองหน้ากัน หัวเราะให้กัน และด่าผีในห้องไปฉากใหญ่ มันเฮี้ยนมากนะผีในห้องเค้าอ่ะ หลัง ๆ มาก็ไม่ค่อยเป็น เพราะด่าก่อน พูดว่าอย่าให้ต้องด่ากัน! เหมือนคนประสาทอ่ะทิพย์”
พวกเธอเม้าส์กันถึงเรื่องบังเอิญนี้จนลืมเวลาเลิกงานกันเลย พอดูนาฬิกาแล้วถึงเวลาต้องกลับบ้านจึงเลิกพูด แล้วเก็บข้าวของกลับบ้านใครบ้านมันไป
จบ...
บังตา
เรื่องสั้น : บังตา
โดย : ชลัน
เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
“เอ้าปากกาอยู่ตรงนี้หายไปไหนวะ”
แป้งเกาหัวแคร๊ก ๆ แบบงง ๆ เมื่อสักครู่ตัวเองยังวางปากกาสองด้ามไว้บนโต๊ะทำงานข้าง ๆ คอมพิวเตอร์อยู่เลย พร้อมควานหาจนทั่วโต๊ะแล้ว พลิกคอมพิวเตอร์หาก็แล้ว ก็หาไม่เจอ ปากกาแดงกับปากกาน้ำเงิน ที่เธอเอาขึ้นมาเขียนเมื่อครู่หล่นหายไปไหนนะ หาจนทั่วบริเวณโต๊ะทำงานก็ไม่เจอ ในที่สุดก็ไม่ทน เปิดลิ้นชักหยิบปากกาด้ามใหม่มาใช้แทน
ทว่าเมื่อหยิบปากกาด้ามใหม่จากลิ้นชักโต๊ะออกมา เธอต้องงุนงงเข้าไปอีกเมื่อปากกาสองด้ามแดงกับน้ำเงิน ที่เธอหาเมื่อครู่ มันดันวางอยู่บนเอกสาร ตรงหน้าของเธอ ข้าง ๆ คอมพิวเตอร์โต๊ะทำงานของเธอนี่เอง ทั้งที่เมื่อครู่หาไปแล้ว สั่นเอกสารทั้งหมดบนโต๊ะก็แล้ว ทิพย์มาช่วยหาก็แล้วไม่เจอ ต้องหัวเราะลั่นที่ทำงานด้วยความงุนงง พร้อมเกาหัวแคร๊ก ๆ อีกเป็นรอบที่สอง
“ทิพย์แป้งสาบาน เมื่อกี้แป้งหาแล้วตรงนี้ พลิกโต๊ะหาแล้วนะตรงนี้ สาบานไม่มีปากกา!”
แป้งพูดแบบเซ็ง ๆ เอาอีกแล้วเหรอ อาการผีบังตาเนี่ย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเป็น ชีวิตประจำวันของเธอเจอเรื่องผีบังตาแบบนี้บ่อยมาก ยากที่ใครจะเชื่อ
เวลาเล่าให้ใครฟังก็หาว่าเธอหาไม่ดีบ้างล่ะ เกิดจากการเมื่อยล้าบ้างล่ะ หาของสะเพร่าไม่เจอเองบ้าง หลัง ๆ มาเธอจึงไม่เล่าให้ใครฟังแล้วปล่อยไป ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่กลัวและไม่หลอน โมโหมากกว่าที่โดนผีแกล้ง
แต่ว่ารอบนี้มีพรทิพย์เป็นพยานได้ เพราะก็ช่วยหาเหมือนกัน แต่ไม่เจอ พอเธอหยิบด้ามใหม่มาใช้ ดันเจอวางอยู่ตรงหน้า
“เกิดอะไรขึ้นอ่ะ”
พรทิพย์มองหน้าเธอ สายตาละล่ำละลัก เหมือนจะกลัว เธอสัมผัสความรู้สึกของเพื่อนร่วมงานได้ ซึ่งตอนนี้ก็ทุ่มกว่า ๆ แล้ว พวกเธอกำลังจะเลิกงานพอดี มัวแต่หาปากกาจึงทำให้เสียเวลาไปหลายนาทีกันเลย
ก็แทนที่จะหยิบด้ามใหม่มาใช้แต่แรกก็จบ เพราะเธอรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับตนอย่างไรล่ะ จึงไม่อยากแพ้ผี สุดท้ายก็แพ้ทุกทีไป เมื่อเธอรู้สึกถอดใจก็จะเจอของที่กำลังหาทันที ซึ่งมักเจอตรงที่เธอหาไปแล้ว และส่วนมากจะเป็นที่โล่ง ๆ ที่ไม่น่ามองพลาด
“ไม่มีอะไรหรอกทิพย์ อาการนี้แป้งเป็นบ่อย ผีบังตาน่ะ แป้งคิดแบบนั้น และก็เชื่อแบบนั้นด้วย” เธอตอบแบบเหมือนเป็นเรื่องปกติ สำหรับเธอมันก็เป็นเรื่องปกติจริง ๆ เพราะเจอเหตุการณ์แบบนี้อยู่บ่อย ๆ “ปะเตรียมตัวกลับกัน” เธอยิ้มให้เพื่อนรัก
“เป็นบ่อยเลยเหรอ” พรทิพย์ถามเธออย่างกับตัวเองไม่เคยเป็น แป้งคิดว่าอาการนี้น่าจะเจอกันทุกคน หาของไม่เจอ พอเจอดันเจอตรงที่หาไปแล้ว
“อือ เหมือนแป้งจะมีเซ้นต์อ่ะ แต่ไม่มีนะ แต่เนี่ย เจอแบบเมื่อกี้ประจำ ได้ยินเสียงก็บ่อย ถามว่ากลัวมั้ยก็กลัวแหละ แต่ไม่กลัว! ฮ่า งงมั้ย!” เธอพูดเป็นเรื่องตลก พร้อมหัวเราะให้เพื่อนซี้ ทว่าพรทิพย์ยังทำหน้าเลิกลัก เหมือนกลัว
“ทิพย์ไม่เคยเจอแบบนั้นเลย เนี่ยพึ่งมาเจอเหตุการณ์เมื่อกี้กับแป้งเนี่ย แต่ก็เหลือเชื่อนะ ทั้งที่เราก็หากันแล้วตรงนี้ แต่ไม่เจอ! พอจะเจอดันเจอง่าย ๆ วางอยู่ตรงหน้าด้วย มันก็เหลือเชื่อนะ” พรทิพย์พูด
“เหลือเชื่อ แต่ชิน เป็นบ่อย นี่เราสี่ตานะทิพย์ มีเหตุการณ์นึง คนห้าคนสิบตาอ่ะ เหตุการณ์นี้แหละทำให้เปียวเชื่อในสิ่งที่แป้งเล่าให้ฟังมาตลอด”
“เปียวไม่เคยเชื่อเลยเหรอ”
“อือ รับฟังนะเวลาพูด แต่ไม่เคยเชื่อ จนเหตุการณ์นั้นแหละ ถึงเชื่อในสิ่งที่แป้งพูด วันนั้นแป้งกับเปียวและยายพี่ชายพี่สะใภ้และหลานไปเที่ยวสุรินทร์กัน”
สามสิบนาทีก่อนเลิกงาน พวกเธอนั่งคุยกันถึงเหตุการณ์ผีบังตาที่เหลือเชื่อมาก เธอเป็นคนเล่าเหตุการณ์ที่พบเจอมาให้เพื่อนฟัง
วันนั้นพวกเธอขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน พายายไปเที่ยว ซึ่งไปจังหวัดสุรินทร์ เพราะยายของเธออยากไปเยี่ยมลูกชายคนโตของยายด้วย ก็ลุงของเธอนั่นแหละ ก่อนจะไปบ้านลุง พวกเธอจึงแวะสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง เป็นวัด ๆ หนึ่ง แวะไปกราบไหว้สักการะสักหน่อย
พอตกลงกันได้ เปียวแฟนของเธอซึ่งเป็นคนขับรถก็ตั้ง GPS ทันที แล้วขับไปเรื่อย ๆ ขับไปเกือบชั่วโมงได้ เพราะวัดมันค่อนข้างไกลจากตัวอำเภอ ขับไปตาม GPS เรื่อย ๆ จากทางหลักกลายเป็นทางชนบท หมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่า ทางแคบ ๆ จนเธอเกือบท้อใจ เมื่อไหร่จะถึงวัดที่ว่าสักที
พวกเธอขับรถมาเรื่อย ๆ ทั้งอยากไป ทั้งอยากเลี้ยวรถกลับ เพราะว่าต้องไปบ้านลุงด้วย แต่ก็ไม่ได้รีบ เพราะต้องนอนค้างที่นู่นอยู่แล้ว จึงกะว่าไปถึงช้าหน่อยคงไม่เป็นไร พวกเธอขับกันมาเรื่อย ๆ ตามแผนที่
GPS ก็บอกระยะทางเรื่อย ๆ อีกกี่กิโลเมตรจะถึงจุดหมายปลายทาง เส้นทางก็เริ่มทึบไปด้วยต้นไม้ทั้งสองฝั่ง เป็นทางสองเลน ถนนลาดยางอย่างดี บรรยากาศมันเริ่มรู้สึกเย็น ๆ มีความรู้สึกว่าเหมือนกำลังวิ่งเข้าสู่แดนสนธยาอย่างไรไม่รู้
เปียวขับรถไปเรื่อย ๆ ถนนก็เริ่มเปลี่ยว เหมือนกำลังวิ่งเข้าไปในป่าก็มิปาน มีป้ายบอกชื่อหมู่บ้านข้างหน้า ไม่มีรถวิ่งสวนมาสักคัน
“มันใช่เหรอเปียว ไม่ได้ตั้งจีพีเอสผิดนะ” แป้งเริ่มใจหวิว ๆ รู้สึกกลัวแปลก ๆ ขึ้นมา
“ไม่ผิดชัวร์ ตัวเองตั้งใหม่ก็ได้” เปียวตอบ พร้อมชะลอรถหาที่จอด แป้งไม่รีรอกดตั้ง GPS ใหม่อีกรอบ แล้วกดเริ่ม GPS ก็บอกตรงไป ทางนี้แหละถูกแล้ว เปียวจึงขับรถมุ่งหน้าต่อไป
และในที่สุดประโยคที่ทำให้พวกเธอใจชื้นขึ้นมาก็ดังขึ้น คือ GPS บอกว่าอีกหนึ่งร้อยเมตรจะเจอจุดหมายปลายทาง อยู่ฝั่งขวามือ แป้งยิ้มออกมาได้ ในที่สุดก็มาถึงสักที
แต่พอรถของพวกเธอวิ่งมาเรื่อย ๆ GPS บอกว่า จุดหมายปลายทางของคุณถึงแล้ว อยู่ฝั่งขวามือ เปียวชะลอรถ ทุกคนมองตาม ฝั่งขวามือ! พระเจ้า! มันเป็นป่า มีแต่ต้นไม้ขึ้นเต็มสองข้างทาง เหมือนตอนนี้พวกเธอกำลังวิ่งวนอยู่บนภูเขาอะไรสักลูก เป็นภูต่ำ ๆ ไม่สูงมาก ข้างหน้ามีป้ายบอกชื่อหมู่บ้าน
เปียวขับรถเลยจุดที่ GPS บอก ขับไปเรื่อย ๆ ยิ่งขับก็เหมือนยิ่งเข้าไปในป่าลึกทุกที เธอจึงตัดสินใจเปิด GPS อีกครั้ง พระเจ้า! มันบอกให้กลับรถ ซึ่งตอนนี้ไม่อยากไปไหว้พระแล้ว อยากไปหาลุงมากกว่า ทว่าทุกคนมุ่งมั่นที่จะมาแล้วต้องหาให้เจอให้ได้
เปียวขับหาที่กลับรถ เพราะถนนแคบมาก เมื่อกลับรถได้ ขับย้อนกลับมา GPS บอกว่าอีกหนึ่งร้อยเมตรจะเจอจุดหมายปลายทางของคุณอยู่ฝั่งซ้ายมือ ซึ่งทุกคนได้ยินพร้อมกันหมด ห้าคนสิบตาหาวัดไม่เจอ ทุกคนมองข้างทางเป็นสายตาเดียวกัน เพื่อหาป้ายชื่อวัด
GPS บอกว่าถึงจุดหมายปลายทางของคุณแล้ว!!!
ไม่มี! เป็นป่าเหมือนอยู่บนภูเขาอะไรสักลูก ทุกคนหน้าถอดสี เกิดอะไรขึ้น
“ยายกลับปะ ไปบ้านลุงกันเถอะ” พี่ชายของเธอชวน สีหน้าเงียบขรึม พี่สะใภ้ของเธอด้วยไม่พูดอะไร มีเพียงหลาน ๆ ที่หยอกเล่นกันไม่รู้เรื่องอะไรเลย
แป้งจึงพูดในใจว่า “สาธุ แป้งอยากมาทำบุญ แป้งมาเที่ยวบ้านลุง ขอให้แป้งหาวัดเจอด้วยนะคะสาธุ! “
ยายของเธอก็เช่นกัน ยกพระที่ห้อยบนคอขึ้นมา พนมมือไหว้ พูดเป็นภาษาบ้านเกิดของเธอ ว่ามาเยี่ยมลูกชาย อยากแวะมากราบไหว้สักการะสักครั้ง ให้เห็นแน่เด้อ!
เท่านั้นล่ะ แต่ว่าเปียวก็ขับรถเลยจุดที่จีพีเอสบอกไปแล้ว หลานสาวของเธอดันมองเห็นวัดซะงั้น
“แม่ นั่นไงวัด!” มิเกลวหลานสาวของเธอชี้ไปทางด้านหลัง เปียวเบรครถกระทันหัน ทุกคนหันไปมองตาม เป็นวัดจริง ๆ เป็นประตูโขงของวัด ต้องขับรถเข้าไปอีกถึงจะเจอตัววัด แป้งยิ้มออกมาได้ เปียวรีบถอยรถกลับไปอย่างเร็ว เพราะไม่มีรถสักคันวิ่งสวนมาเลย
เมื่อพวกเธอเข้ามาถึง ก็มีเจ้าหน้าที่ออกมาต้อนรับ มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีระฆังให้ตียาวหลายลูก มีคนมาเที่ยวกราบไว้เยอะ คู่หนุ่มสาวก็มี เป็นคณะทัวร์ก็มี เธอกับพี่ ๆ และเปียวมองหน้ากันแบบงง ๆ เมื่อสักครู่ยังมองเห็นเป็นป่าอยู่เลย ซึ่งมองถึงสองรอบ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ยายก็ไม่พูดอะไร แล้วพวกเธอก็เดินเข้าไปกราบไหว้สักการะ ขอพรกันไป เสร็จจึงไปบ้านลุงต่อ
“ขับผ่านสองรอบก็ไม่เห็นเลยเหรอแป้ง” พรทิพย์ตั้งใจฟังเธอเล่ามาก
“ใช่! ห้าคนสิบตาอ่ะ ไม่รวมเด็ก ๆ “ เธอยืนยัน ขับผ่านถึงสองรอบ ก็เห็นเป็นป่าถึงสองรอบ “ถ้าไอ้เกลวไม่เห็นก่อนนะ แป้งจะพายายกลับแล้ว ถ้าไม่เจอนะโคตรรู้สึกผิดอ่ะ แป้งเป็นคนต้นคิดพามา ห่วงความรู้สึกทุกคนอ่ะ ยายน่าจะคิดว่ามันไม่ปกติแล้ว แกถึงพนมมือไหว้พระที่คอ” แป้งเล่าถึงเหตุการณ์นั้น
“เออเนาะ ผีบังตามีจริง” พรทิพย์ก็เหมือนจะเชื่อในสิ่งที่เธอเล่า และทำหน้าเจื่อน ๆ
“นี่แหละเปียวมันถึงเชื่อเค้า เวลาเค้าเล่าให้ฟัง เมื่อก่อนมันว่าเค้าสะเพร่าเอง หาไม่เจอเอง เค้าว่าผีในห้องเค้ามันขี้แกล้งอ่ะ ทุกวันนี้เล่นกะมันเลย จนคิดว่าตัวเองเป็นโรคประสาทอ่ะคิดดู”
“เล่นยังไง”
“แบบด่าไง แบบต้องให้โมโหก่อนใช่มั้ย ถึงจะให้กันหาเจอ ว่าแบบนี้ ต้องให้ด่าก่อนแช่งก่อนใช่มั้ย ยายเจ้าเชื่อมั้ย ข่อยพูดแบบนี้ทีไรเจอทุกที มันคงหัวเราะข้อยอ่ะ”
“เออเนอะ อธิบายยากว่ะ”
“นั่นดิ แล้วเปียวมันก็เจอกับตัวแล้วด้วย วันก่อนหากุญแจรถ พลิกห้องหาก็แล้ว สะบัดผ้าห่มหาก็แล้ว ไม่เจอ! เดินหากันสองคนทั้งห้องอ่ะ ตรงไหนที่ยังไม่หา ทุกซอกหาหมด ถอดผ้าปูที่นอนสะบัดหาก็ไม่เจอ”
“แล้วสรุปเจอที่ไหน” พรทิพย์ถามด้วยความอยากรู้
“ทิพย์รู้มั้ยเจอที่ไหน พอแป้งถอดผ้าปูหาแล้วใช่มั้ยก็ใส่คืนเหมือนเดิม สะบัดผ้าห่มหาอีกไม่เจอ อย่างที่บอกเหมือนเราถอดใจแล้วถึงจะเจออ่ะ นี่ก็โมโหแล้ว โมโหผีเนี่ย กูไม่ไปแม่รงและ! คือด่าหยาบคายเลย ทั้งเปียวด้วย ฮ่า” แป้งนึกถึงหน้าแฟนที่ไม่เคยเชื่อ ตอนนี้เชื่อสนิทใจ และเป็นคนด่าเองด้วย ตลกปนทึ่งมาก
“อย่าบอกว่าเจอบนที่นอน”
“ใช่ทิพย์! มันวางอยู่บนที่นอน แป้งกับเปียวมองหน้ากัน หัวเราะให้กัน และด่าผีในห้องไปฉากใหญ่ มันเฮี้ยนมากนะผีในห้องเค้าอ่ะ หลัง ๆ มาก็ไม่ค่อยเป็น เพราะด่าก่อน พูดว่าอย่าให้ต้องด่ากัน! เหมือนคนประสาทอ่ะทิพย์”
พวกเธอเม้าส์กันถึงเรื่องบังเอิญนี้จนลืมเวลาเลิกงานกันเลย พอดูนาฬิกาแล้วถึงเวลาต้องกลับบ้านจึงเลิกพูด แล้วเก็บข้าวของกลับบ้านใครบ้านมันไป
จบ...