อย่างที่เราทราบกันดีว่าภายหลังการปฏิวัติรัสเซียในปี 1917 เหล่าทหารและขุนนางที่ยังฝักใฝ่ในพระเจ้าซาร์ต่างก็ลี้ภัยกระจัดกระจายกันไปทั่วยุโรป ยิ่งภายหลังสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพขาวของผู้จงรักภักดีหวังจะฟื้นฟูพระเจ้าซาร์เข้าห้ำหั่นกับกองทัพแดงของบอลเชวิคที่กำลังเรืองอำนาจแล้วแพ้พ่ายไปอีก ก็ยิ่งทำให้ลี้ภัยไปยังทางทิศตะวันตกเสียส่วนมาก แต่ทว่ามีชายชาติทหารอยู่คนหนึ่งที่นอกจากจะไม่ไปทางทิศตะวันตกเหมือนชาวบ้านแล้ว เขายังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก แถมยังช่วยสถาปนาให้รัฐมองโกลเป็นรัฐอิสระจากจีนอีกด้วย ชายคนนั้นจะเป็นใคร แล้วทำไมเราถึงเรียกเขาว่าขุนนางบ้ากันด้วยล่ะ เดี๋ยวเราจะมาไขข้อข้องใจนี้กัน ชมภาพประกอบพร้อมคำบรรยายกันไปพร้อมๆกันเลยนะครับ
ชายคนดังกล่าวที่ผมกำลังจะกล่าวถึงนั้น เขามีขื่อเสียงเรียงนามว่า โรมัน ฟอน อุงเงิร์น-สแตนแบร์ก เขาเกิดในตระกูลขุนนางชั้นสูงเชื้อสายบอลติก-เยอรมันผู้ปกครองเอสโตเนียภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย แม้ว่าหนุ่มน้อยโรมันจะมีชาติตระกูลสูง แต่ทว่านิสัยของเขาค่อนข้างจะตรงกันข้ามกับชาติกำเนิดเลยก็ว่าได้ เจ้าหนูโรมันเป็นคนเกเร อันธพาล แถมยังซาดิสม์อีกด้วย ว่ากันว่างานอดิเรกของเขาคือการทรมานสัตว์ พ่อแม่ของเด็กแถวๆนั้นพากันห้ามลูกหลาน ไม่ให้มาเล่นกับโรมันเพราะกลัวว่าเขาจะปาดคอเด็กเหล่านั้นเข้าสักวัน
พอย่างเข้าวัยรุ่น โรมัน ก็ถูกส่งเข้าโรงเรียนนายเรือ ปรากฏว่าเขาเป็นนักเรียนที่ไม่สนโลก แอบกินเหล้า ไว้ผมยาว มีเรื่องชกต่อยกับนายทหารปกครอง จนผู้บัญชาการโรงเรียนต้องบอกพ่อแม่ของเขาว่า เอามันออกไปซะ ก่อนที่ผมจะไล่มันออก แต่พอหลังจากนั้นเขาก็เข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยของกองทัพบกอีก จะด้วยความสำนึกผิดหรืออย่างไรไม่ทราบได้ คราวนี้โรมันเปลี่ยนไป เขาตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ และในขณะที่เรียนอยู่ ว่ากันว่าเขาเองนั้นมีความชื่นชอบในวัฒนธรรมตะวันออก เลื่อมใสในวิถีพุทธ และเขานั้นเชื่ออยู่เสมอว่าตัวเขาเองสืบเชื้อสายมาจากบาตูข่าน หลานชายของ เจง!!! เจง!!! เจงกิสข่าน!!! รุกไปที่ไหนใครอย่าขวาง รีบเปิดทางรับขุนพลเจง!!! เจง!!! เจงกิสข่าน!!! พอก่อนครับ เดี๋ยวจะยาว
เมื่อมหาสงครามระเบิดขึ้นในปี 1914 โรมันก็ได้เข้าร่วมกองทหารม้าคอสแสคเข้าสู้รบกับฝ่ายออสเตรีย-ฮังการีด้วยความกล้าหาญและบ้าบิ่น ปรากฏว่าเขาเองได้รับบาดแผลจากการสู้รบโดยโดนยิงไปห้านัด ทำให้ได้รับเหรียญตราเกียรติยศมากมายจากวีรกรรม อาทิเช่น เหรียญเซนต์จอร์จชั้นที่ 4 ,เซนต์วลาดิเมียร์ชั้นที่ 4 เซนต์แอนนาชั้นที่ 3 และ 4 และเหรียญเซนต์สตานิสลาสชั้นที่ 3 แต่(เซนต์เซย่าไม่ได้รับนะครับ เพราะไม่มี ตึงโป๊ะ!!!!) อย่างไรก็ตามนอกจากผู้หมวดโรมันจะมีวีรกรรมแล้ววีรเวรเขาก็ยังมี เพราะเจ้าสัญชาตญานดิบเถื่อนของเขาก็ยังอยู่ เมื่อวันหนึ่งเขาเมาเหล้าและมีเรื่องชกต่อยกับนายทหารจนถูกขังไปสองเดือน และเมื่อพ้นโทษออกมาเขาก็ถูกส่งไปยังแนวรบฝั่งตะวันออกไกล
เมื่อเขาถูกส่งไปยังตะวันออกไกลได้ไม่นานราชวงศ์โรมานอฟก็เป็นอันล่มสลาย ด้วยตัวของโรมันนั้นมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าซาร์มาก เขาและนายทหารม้าคอสแสคนายหนึ่งที่ชื่อว่าผู้กองเซมโยนอฟ มีความคิดไปในทางเดียวกันจึงเข้าร่วมกับกองทัพขาวเข้าต่อต้านกองทัพแดง ซึ่งกองทหารม้าของเขานั้นรบชนะกองทัพแดงที่ทางรถไฟสายตะวันออกไกล จนได้เลื่อนขั้นเป็นนายพล และต่อมากองทหารม้าของเขาก็แยกตัวจากกองทัพขาวเพราะแนวทางของเขาไม่เหมือนกันกับแกนนำ เพราะตัวเขาและเซมโยนอฟมุ่งมั่นจะฟื้นฟูระบอบซาร์ ในขณะที่แกนนำนั้นต้องการสาธารณรัฐ
อย่างไรก็ตามต่อมาเมื่อกองทัพขาวพ่ายแพ้ เขาก็แยกทางกับเซมโยนอฟอีก โดยเขามุ่งหน้าไปทางชายแดนรัสเซีย-มองโกล ด้วยความที่เขาชื่นชอบและเลื่อมใสในทางพุทธและศิลปะตะวันออก แม้จะดูขัดแย้งกับภาพลักษณ์อันโหดร้ายของเขาก็ตาม ซึ่งตอนนั้นมองโกลก็ถูกยึดครองโดยจีน เขาก็ยกทัพกองทหารม้าเอเชียทีคของเขา(ไม่ใช่เอเชียทีคที่เจริญกรุงนะฮะ) ที่มีกำลังพล 1,400 นาย เข้าห้ำหั่นกับฝ่ายจีนที่มีถึง 7,000 นาย โดยใช้ยุทธวิธีแบ่งกำลังเข้าตีด้านข้างด้านหลังตามแบบเจงกิสข่าน ที่สุดก็ชนะ แล้วเขาก็ช่วยเหลือบอกด์ข่านของมองโกลที่ถูกขังไว้ในวังพร้อมกับคืนอำนาจการปกครองให้กับข่านในที่สุด
ในตอนนี้เองเมื่อโรมันช่วยเหลือบอกด์ข่านได้สำเร็จ เขาก็ได้รับการสถาปนาเป็นขุนนางระดับสูงสุดเทียบเท่ากับข่านแถมชาวมองโกลยังขนานนามให้กับเขาว่า "เทพเจ้าแห่งสงคราม" จากท่านนายพลโรมันกลายเป็นพณฯ ท่านบารอนอุงเงิร์น ท่านบารอนก็ดื่มด่ำกับชื่อเสียงและความสำเร็จ อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่มองโกลท่านบารอนก็ฝักใฝ่ในทางธรรม ลือกันว่าเขามีญานทิพย์ด้วย ทำให้หลายคนแอบเรียกเขาว่า ท่านโรมันญานทิพย์ก็มี(อันนี้ผมแซวเล่นนะครับ555) โดยท่านข่านก็ให้บารอนปกครองคนของตน และเขาเองก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการปกครองของมองโกลมากนัก จะมีบ้างก็ช่วยงานของท่านข่านตามแต่ท่านจะขอ
อย่างไรก็ตามการปกครองคนในอาณัติของท่านบารอนเป็นไปอย่างเหี้ยมโหด อาทิเช่น ในตอนแรกที่ท่านบารอนเริ่มมีอำนาจ ท่านก็สั่งฆ่ายิวที่อาศัยอยู่ที่นั่นก่อนเลย เพราะความไม่ชอบส่วนตัวล้วนๆ แล้วต่อมาก็ฆ่าและทรมานพวกที่สันนิษฐานว่าเป็นคอมมิวนิสม์ หรือพวกสายลับ รวมทั้งสิ้น 846 ราย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจากเทพเจ้าสงครามกลับกลายเป็นทรราชย์กระหายเลือด ผู้คนก็เริ่มเรียกท่านบารอนว่า ไอ้ขุนนางบ้าบ้าง ไอ้ขุนนางโฉดบ้าง อย่างไรก็ตามภาพลักษณ์ฮีโร่ของบารอนอุงเงิร์นก็ยังเป็นภาพจำของชาวมองโกลในฐานะผู้มีบุญคุณอยู่ดี อีกทั้งความสงบเสงี่ยมในวิถีชาวพุทธก็ทำให้กลบความอำมหิตที่ซ่อนอยู่ข้างในเสียจนมิด
แต่ทว่าในที่สุดเมื่อวันหนึ่งในเดือนพฤษภาปี 1921 บารอนอุงเงิร์น หรือไอ้ขุนนางบ้า ก็นำกองกำลังทหารม้ากว่า 4,000 นาย บุกรัสเซียทางไซบีเรียเพราะได้ข่าวว่าพี่แดงเขาดูแลเธอไม่ดี แต่ปรากฏว่ากองทัพแดงเพิ่งปราบกบฎที่นั่นไปหมาดๆ น้องไซบีเรียนจึงแกงเทท่านบารอนซะงั้น เมื่อกองทหารม้าเอเชียทีคของท่านบารอนพ่ายแพ้ เหล่าทหารของเขาอยากจะหนีไปทางแมนจูเรียเพื่อร่วมกับพวกรัสเซียอพยพ แต่ท่านบารอนอยากไปทางทิเบต ทหารของท่านจึงก่อขบถและจับตัวท่านบารอนส่งให้กองทัพแดง
ในขณะที่สอบสวนพิจารณาโทษ ท่านบารอนก็ได้แสดงวิถีชาวพุทธที่มีความสงบและปล่อยวางอย่างน่าเหลือเชื่อซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เชื่อว่าเขาเป็นคนพุทธจริงๆหลังจากที่ผ่านมาไม่เคยแสดงให้เห็นสักครั้ง ในที่สุดท่านบารอนก็ถูกประหารโดยการยิงเป้า ปิดฉากชายผู้เป็นตำนาน "จากทหารกล้าของพระเจ้าซาร์ สู่ขุนนางบ้าแห่งมองโกล" แต่เพียงเท่านี้ขอขอบคุณและหวังว่าท่านจะได้รับความเพลิดเพลินจากบทความนี้ครับ
Cr :
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Roman_von_Ungern-Sternberg,https://www.wilsoncenter.org/event/the-tsars-last-imperialist-the-outrageous-life-baron-ungern-von-shternberg,https://www.rbth.com/politics_and_society/2017/08/17/how-russian-nobleman-baron-von-ungern-conquered-mongolia_823858
ถ้าชอบใจฝากไลค์เป็นกำลังใจที่เพจ Someone in History : ประวัติศาสตร์ของใครสักคนด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/someoneinhistory/
จากทหารกล้าของพระเจ้าซาร์สู่ขุนนางบ้าแห่งมองโกล
อย่างที่เราทราบกันดีว่าภายหลังการปฏิวัติรัสเซียในปี 1917 เหล่าทหารและขุนนางที่ยังฝักใฝ่ในพระเจ้าซาร์ต่างก็ลี้ภัยกระจัดกระจายกันไปทั่วยุโรป ยิ่งภายหลังสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพขาวของผู้จงรักภักดีหวังจะฟื้นฟูพระเจ้าซาร์เข้าห้ำหั่นกับกองทัพแดงของบอลเชวิคที่กำลังเรืองอำนาจแล้วแพ้พ่ายไปอีก ก็ยิ่งทำให้ลี้ภัยไปยังทางทิศตะวันตกเสียส่วนมาก แต่ทว่ามีชายชาติทหารอยู่คนหนึ่งที่นอกจากจะไม่ไปทางทิศตะวันตกเหมือนชาวบ้านแล้ว เขายังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก แถมยังช่วยสถาปนาให้รัฐมองโกลเป็นรัฐอิสระจากจีนอีกด้วย ชายคนนั้นจะเป็นใคร แล้วทำไมเราถึงเรียกเขาว่าขุนนางบ้ากันด้วยล่ะ เดี๋ยวเราจะมาไขข้อข้องใจนี้กัน ชมภาพประกอบพร้อมคำบรรยายกันไปพร้อมๆกันเลยนะครับ
ชายคนดังกล่าวที่ผมกำลังจะกล่าวถึงนั้น เขามีขื่อเสียงเรียงนามว่า โรมัน ฟอน อุงเงิร์น-สแตนแบร์ก เขาเกิดในตระกูลขุนนางชั้นสูงเชื้อสายบอลติก-เยอรมันผู้ปกครองเอสโตเนียภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย แม้ว่าหนุ่มน้อยโรมันจะมีชาติตระกูลสูง แต่ทว่านิสัยของเขาค่อนข้างจะตรงกันข้ามกับชาติกำเนิดเลยก็ว่าได้ เจ้าหนูโรมันเป็นคนเกเร อันธพาล แถมยังซาดิสม์อีกด้วย ว่ากันว่างานอดิเรกของเขาคือการทรมานสัตว์ พ่อแม่ของเด็กแถวๆนั้นพากันห้ามลูกหลาน ไม่ให้มาเล่นกับโรมันเพราะกลัวว่าเขาจะปาดคอเด็กเหล่านั้นเข้าสักวัน
พอย่างเข้าวัยรุ่น โรมัน ก็ถูกส่งเข้าโรงเรียนนายเรือ ปรากฏว่าเขาเป็นนักเรียนที่ไม่สนโลก แอบกินเหล้า ไว้ผมยาว มีเรื่องชกต่อยกับนายทหารปกครอง จนผู้บัญชาการโรงเรียนต้องบอกพ่อแม่ของเขาว่า เอามันออกไปซะ ก่อนที่ผมจะไล่มันออก แต่พอหลังจากนั้นเขาก็เข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยของกองทัพบกอีก จะด้วยความสำนึกผิดหรืออย่างไรไม่ทราบได้ คราวนี้โรมันเปลี่ยนไป เขาตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ และในขณะที่เรียนอยู่ ว่ากันว่าเขาเองนั้นมีความชื่นชอบในวัฒนธรรมตะวันออก เลื่อมใสในวิถีพุทธ และเขานั้นเชื่ออยู่เสมอว่าตัวเขาเองสืบเชื้อสายมาจากบาตูข่าน หลานชายของ เจง!!! เจง!!! เจงกิสข่าน!!! รุกไปที่ไหนใครอย่าขวาง รีบเปิดทางรับขุนพลเจง!!! เจง!!! เจงกิสข่าน!!! พอก่อนครับ เดี๋ยวจะยาว
เมื่อมหาสงครามระเบิดขึ้นในปี 1914 โรมันก็ได้เข้าร่วมกองทหารม้าคอสแสคเข้าสู้รบกับฝ่ายออสเตรีย-ฮังการีด้วยความกล้าหาญและบ้าบิ่น ปรากฏว่าเขาเองได้รับบาดแผลจากการสู้รบโดยโดนยิงไปห้านัด ทำให้ได้รับเหรียญตราเกียรติยศมากมายจากวีรกรรม อาทิเช่น เหรียญเซนต์จอร์จชั้นที่ 4 ,เซนต์วลาดิเมียร์ชั้นที่ 4 เซนต์แอนนาชั้นที่ 3 และ 4 และเหรียญเซนต์สตานิสลาสชั้นที่ 3 แต่(เซนต์เซย่าไม่ได้รับนะครับ เพราะไม่มี ตึงโป๊ะ!!!!) อย่างไรก็ตามนอกจากผู้หมวดโรมันจะมีวีรกรรมแล้ววีรเวรเขาก็ยังมี เพราะเจ้าสัญชาตญานดิบเถื่อนของเขาก็ยังอยู่ เมื่อวันหนึ่งเขาเมาเหล้าและมีเรื่องชกต่อยกับนายทหารจนถูกขังไปสองเดือน และเมื่อพ้นโทษออกมาเขาก็ถูกส่งไปยังแนวรบฝั่งตะวันออกไกล
เมื่อเขาถูกส่งไปยังตะวันออกไกลได้ไม่นานราชวงศ์โรมานอฟก็เป็นอันล่มสลาย ด้วยตัวของโรมันนั้นมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าซาร์มาก เขาและนายทหารม้าคอสแสคนายหนึ่งที่ชื่อว่าผู้กองเซมโยนอฟ มีความคิดไปในทางเดียวกันจึงเข้าร่วมกับกองทัพขาวเข้าต่อต้านกองทัพแดง ซึ่งกองทหารม้าของเขานั้นรบชนะกองทัพแดงที่ทางรถไฟสายตะวันออกไกล จนได้เลื่อนขั้นเป็นนายพล และต่อมากองทหารม้าของเขาก็แยกตัวจากกองทัพขาวเพราะแนวทางของเขาไม่เหมือนกันกับแกนนำ เพราะตัวเขาและเซมโยนอฟมุ่งมั่นจะฟื้นฟูระบอบซาร์ ในขณะที่แกนนำนั้นต้องการสาธารณรัฐ
อย่างไรก็ตามต่อมาเมื่อกองทัพขาวพ่ายแพ้ เขาก็แยกทางกับเซมโยนอฟอีก โดยเขามุ่งหน้าไปทางชายแดนรัสเซีย-มองโกล ด้วยความที่เขาชื่นชอบและเลื่อมใสในทางพุทธและศิลปะตะวันออก แม้จะดูขัดแย้งกับภาพลักษณ์อันโหดร้ายของเขาก็ตาม ซึ่งตอนนั้นมองโกลก็ถูกยึดครองโดยจีน เขาก็ยกทัพกองทหารม้าเอเชียทีคของเขา(ไม่ใช่เอเชียทีคที่เจริญกรุงนะฮะ) ที่มีกำลังพล 1,400 นาย เข้าห้ำหั่นกับฝ่ายจีนที่มีถึง 7,000 นาย โดยใช้ยุทธวิธีแบ่งกำลังเข้าตีด้านข้างด้านหลังตามแบบเจงกิสข่าน ที่สุดก็ชนะ แล้วเขาก็ช่วยเหลือบอกด์ข่านของมองโกลที่ถูกขังไว้ในวังพร้อมกับคืนอำนาจการปกครองให้กับข่านในที่สุด
ในตอนนี้เองเมื่อโรมันช่วยเหลือบอกด์ข่านได้สำเร็จ เขาก็ได้รับการสถาปนาเป็นขุนนางระดับสูงสุดเทียบเท่ากับข่านแถมชาวมองโกลยังขนานนามให้กับเขาว่า "เทพเจ้าแห่งสงคราม" จากท่านนายพลโรมันกลายเป็นพณฯ ท่านบารอนอุงเงิร์น ท่านบารอนก็ดื่มด่ำกับชื่อเสียงและความสำเร็จ อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่มองโกลท่านบารอนก็ฝักใฝ่ในทางธรรม ลือกันว่าเขามีญานทิพย์ด้วย ทำให้หลายคนแอบเรียกเขาว่า ท่านโรมันญานทิพย์ก็มี(อันนี้ผมแซวเล่นนะครับ555) โดยท่านข่านก็ให้บารอนปกครองคนของตน และเขาเองก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการปกครองของมองโกลมากนัก จะมีบ้างก็ช่วยงานของท่านข่านตามแต่ท่านจะขอ
อย่างไรก็ตามการปกครองคนในอาณัติของท่านบารอนเป็นไปอย่างเหี้ยมโหด อาทิเช่น ในตอนแรกที่ท่านบารอนเริ่มมีอำนาจ ท่านก็สั่งฆ่ายิวที่อาศัยอยู่ที่นั่นก่อนเลย เพราะความไม่ชอบส่วนตัวล้วนๆ แล้วต่อมาก็ฆ่าและทรมานพวกที่สันนิษฐานว่าเป็นคอมมิวนิสม์ หรือพวกสายลับ รวมทั้งสิ้น 846 ราย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจากเทพเจ้าสงครามกลับกลายเป็นทรราชย์กระหายเลือด ผู้คนก็เริ่มเรียกท่านบารอนว่า ไอ้ขุนนางบ้าบ้าง ไอ้ขุนนางโฉดบ้าง อย่างไรก็ตามภาพลักษณ์ฮีโร่ของบารอนอุงเงิร์นก็ยังเป็นภาพจำของชาวมองโกลในฐานะผู้มีบุญคุณอยู่ดี อีกทั้งความสงบเสงี่ยมในวิถีชาวพุทธก็ทำให้กลบความอำมหิตที่ซ่อนอยู่ข้างในเสียจนมิด
แต่ทว่าในที่สุดเมื่อวันหนึ่งในเดือนพฤษภาปี 1921 บารอนอุงเงิร์น หรือไอ้ขุนนางบ้า ก็นำกองกำลังทหารม้ากว่า 4,000 นาย บุกรัสเซียทางไซบีเรียเพราะได้ข่าวว่าพี่แดงเขาดูแลเธอไม่ดี แต่ปรากฏว่ากองทัพแดงเพิ่งปราบกบฎที่นั่นไปหมาดๆ น้องไซบีเรียนจึงแกงเทท่านบารอนซะงั้น เมื่อกองทหารม้าเอเชียทีคของท่านบารอนพ่ายแพ้ เหล่าทหารของเขาอยากจะหนีไปทางแมนจูเรียเพื่อร่วมกับพวกรัสเซียอพยพ แต่ท่านบารอนอยากไปทางทิเบต ทหารของท่านจึงก่อขบถและจับตัวท่านบารอนส่งให้กองทัพแดง
ในขณะที่สอบสวนพิจารณาโทษ ท่านบารอนก็ได้แสดงวิถีชาวพุทธที่มีความสงบและปล่อยวางอย่างน่าเหลือเชื่อซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เชื่อว่าเขาเป็นคนพุทธจริงๆหลังจากที่ผ่านมาไม่เคยแสดงให้เห็นสักครั้ง ในที่สุดท่านบารอนก็ถูกประหารโดยการยิงเป้า ปิดฉากชายผู้เป็นตำนาน "จากทหารกล้าของพระเจ้าซาร์ สู่ขุนนางบ้าแห่งมองโกล" แต่เพียงเท่านี้ขอขอบคุณและหวังว่าท่านจะได้รับความเพลิดเพลินจากบทความนี้ครับ
Cr : https://en.m.wikipedia.org/wiki/Roman_von_Ungern-Sternberg,https://www.wilsoncenter.org/event/the-tsars-last-imperialist-the-outrageous-life-baron-ungern-von-shternberg,https://www.rbth.com/politics_and_society/2017/08/17/how-russian-nobleman-baron-von-ungern-conquered-mongolia_823858
ถ้าชอบใจฝากไลค์เป็นกำลังใจที่เพจ Someone in History : ประวัติศาสตร์ของใครสักคนด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/someoneinhistory/