*** คดีดรายฟุส: เคสทมิฬพลิกโลก ***

"คดีดรายฟุส" เป็นเรื่องที่เกิดในฝรั่งเศส แต่โด่งดังไปทั่วโลกยุคปลายศตวรรษที่ 19 มันเป็นคดีอื้อฉาวที่เกี่ยวพันกับการโกหก, การใส่ร้ายป้ายสี, การเหยียดเชื้อชาติ, และความดำมืดของระบบราชการ

...แต่ถึงที่สุดแล้วมันคือการวัดว่า คนเราจะสามารถยืนหยัดยึดถือความถูกต้องได้เพียงใด เมื่อต้องเผชิญกับเงื่อนไขอันยากลำบาก

คดีนี้ถูกตีความไปอย่างหลากหลาย และมีอิทธิพลต่อฝรั่งเศสและชาวโลกเป็นอันมาก ถึงกับทำให้ศาสนจักรเสื่อมอำนาจลง ทำให้การเมืองการปกครองของฝรั่งเศสยุคนั้นต้องเปลี่ยนแปลง และถึงกับมีส่วนในการทำให้เกิดรัฐที่เรียกว่า “อิสราเอล”

เรื่องราวของคดีนั้นจะเป็นอย่างไร มารับชมเรื่องราวโดยอ่านคำบรรยายประกอบภาพไปเรื่อยๆ กันเลยครับ

อนึ่งบทความนี้เป็นงานของคุณอั้น จากเพจ Someone in History : ใครสักคนในประวัติศาสตร์ ที่ทำรายการเรื่องเดียวกันกับผมใน The Wild Chronicles Clubhouse เมื่อเขียนออกมาแล้วจึงขอมาลงเพจ The Wild Chronicles ด้วยครับ


*** ปูมหลังฝรั่งเศสปลายศตวรรษที่ 19 ***

ช่วงที่เกิดคดีดรายฟุสในฝรั่งเศสนั้นเป็นช่วงยุคปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งในสมัยนั้นมีเค้าลางจะเกิดความวุ่นวายภายในประเทศ

ตอนนั้นประเทศฝรั่งเศสถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ได้แก่

1. ฝ่ายขวาที่นำโดยกองทัพและศาสนจักร ที่มีความคิดไปในทางชาตินิยมเกลียดชังชาวยิว
2. ฝ่ายซ้ายหรือพวกลิเบอรัล นำโดยปัญญาชนและนักคิดนักเขียน ที่เน้นสู้เพื่อความเท่าเทียมกันตามแบบสังคมนิยม


ภาพแนบ: สงครามฟรังโก-ปรัสเซีย ปี 1870 ที่ทำให้ฝรั่งเศสเสียดินแดน

ในยุคนั้นฝรั่งเศสเพิ่งพ่ายสงครามต่อเยอรมันย่อยยับ ทำให้ต้องสูญเสียแคว้น อัลซาส-โลแร็งน์ แทบทั้งหมด

ความพ่ายแพ้นี้ทำให้กองทัพฝรั่งเศสมีเจตนารมณ์ที่จะฟื้นฟูเกียรติภูมิจากความอับอาย จึงเชิดชูลัทธิชาตินิยม มุ่งเน้นการรักษาอธิปไตย และตั้งตนเป็นองครักษ์ระบอบประชาธิปไตย

ขณะเดียวกันทางฝ่ายซ้ายเองก็มองว่าประเทศถูกครอบงำด้วยเผด็จการทหาร และศาสนจักรมากเกินไป รัฐบาลไม่อาจปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งการกดขี่ข่มเหงประชาชนก็มีมากจนเกินทน ทำให้เกิดบรรยากาศอึมครึม... 


ภาพแนบ: ร้อยเอกอัลเฟร็ด ดรายฟุส 

...การแตกหักของเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหันมาใช้กำลังปะทะอีกฝั่งก่อน แต่กลับเป็นการพิจารณาคดีความผิดฐาน"ทรยศต่อชาติ"ของ “ร้อยเอกอัลเฟร็ด ดรายฟุส” ที่จุดชนวนกระแสสังคมอย่างกว้างขวาง


ภาพแนบ: โบสถ์ในเมืองมุลฮูส บ้านเกิดของดรายฟุส 

*** ประวัติของดรายฟุส ***

ก่อนที่เราจะไปดูเรื่องราวของคดี เรามาทำความรู้จักบุคคลต้นตอของเรื่องกันก่อนครับ

นายอัลเฟร็ด ดรายฟุสคนนี้ เป็นบุตรชายของนักธุรกิจสิ่งทอชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว เขาเกิดที่แคว้นอัลซาส (ซึ่งฝรั่งเศสเสียให้เยอรมันไป)
แม้ในยุคดังกล่าวจะมีแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกันแล้ว แต่การรังเกียจยิวที่ฝังลึกในอารยธรรมฝรั่งก็ยากจะจางหาย
...ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้น ครอบครัวของดรายฟุสก็รักชาติฝรั่งเศสมาก เห็นได้จากที่พวกเขายอมย้ายภูมิลำเนาไปปารีส เพื่อรักษาสัญชาติฝรั่งเศส ภายหลังแคว้นอัลซาสโดนยึด


ภาพแนบ: École Polytechnique ในปัจจุบัน 
<img class="img-in-post in-tiny-editor">
เมื่ออายุ 18 ปี ดรายฟุสก็เข้าเรียนที่โรงเรียนทหารโปลีเทคนิค หรือ École Polytechnique (อารมณ์คล้ายๆ โรงเรียนช่างฝีมือทหารบ้านเรา แต่จบมาแล้วจะได้ยศร้อยตรีและรับราชการในเหล่าเทคนิค)

หลังเรียนจบดรายฟุสเข้ารับราชการในเหล่าทหารปืนใหญ่ จนกระทั่งมียศเป็นผู้กองหรือกัปปิตัน จากนั้นก็เข้าเรียนที่โรงเรียนเสนาธิการ โดยสอบได้ลำดับที่ 9 ในชั้นเรียนทั้งที่ในตอนนั้นโดนอาจารย์ผู้บรรยายกดคะแนนด้วยความอคติเรื่องเชื้อชาติเพราะเขามีเชื้อสายเป็นชาวยิว

...แม้กองทัพในสมัยนั้นจะเปิดกว้างโดยมีนายทหารเชื้อสายยิวถึง 300 นาย และนายพลจำนวน 10 นาย แต่อคติเรื่องเชื้อชาตินั้นยังคงฝังรากลึกอยู่ในมโนทัศน์ของชาวฝรั่งเศสเป็นบางส่วน


ระหว่างดรายฟุสรับราชการที่หน่วย วันหนึ่งก็มีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้น นั่นคือการพบเศษจดหมายปรากฏอยู่ในสถานทูตเยอรมัน จดหมายนั้นบรรยายความลับทางทหารของฝรั่งเศสในการจัดสร้างอาวุธ ตลอดจนอธิบายตำแหน่งที่ตั้งต่างๆ ของหน่วยทหารในฝรั่งเศส บ่งชี้ว่าจะต้องมีหนอนบ่อนไส้ลักลอบนำเอาข้อมูลนี้ไปให้แก่ศัตรู

...ตอนนั้นเบาะแสที่หน่วยข่าวกรองรวบรวมได้ชี้ไปยังดรายฟุส ซึ่งคาดว่าเขาน่าจะเป็นผู้ขายความลับแก่เยอรมัน... 


ภาพแนบ: ดูปาตี เดอ แคลม 
 
*** เรื่องของคดี ***

ผู้ที่ได้รับมอบภารกิจในการสอบสวนเศษจดหมายนี้ คือ “ผู้พันอาร์มานด์ ดูปาตี เดอ แคลม” เพราะเขาเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการพิสูจน์ลายมือ เขาทำการพิสูจน์ลายมือได้ผู้ต้องสงสัยราว 6 นาย ก่อนที่เขาและนายทหารระดับสูงจะตัดรายชื่อจนเจาะจงเหลือเพียงนายทหารชาวยิว หรือผู้กองดรายฟุสนั่นเอง

ดังนี้เดอ แคลมจึงจัดฉากเพื่อพิสูจน์ความผิดโดยแสร้งเป็นเรียกตัวให้ผู้กองดรายฟุสให้มาเขียนข้อความแบบเดียวกับที่มีในเศษจดหมายสำคัญ



ผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ว่าดรายฟุสลายมือเหมือนที่ปรากฏในเศษจดหมาย จึงใช้มันเป็นหลักฐานกล่าวหาดรายฟุส

ศาลทหารฝรั่งเศสดำเนินการไต่สวนดรายฟุสอย่างรวดเร็วก่อนจะตัดสินว่าเขาเป็นผู้กระทำผิดมีโทษจำคุกตลอดชีวิต และมีพิธีถอดยศของเขา ณ ลานทหาร ต่อหน้าบรรดาทหารและมวลชนนับหมื่น! 


บรรยากาศในวันนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธแค้นและชิงชัง มวลชนต่างโห่ร้องตระโกนด้วยความโกรธ “ฆ่ามันซะ!! ไอ้ยิวทรยศ!!” ซ้ำไปซ้ำมา ดรายฟุสถูกขานชื่อให้ออกมายืน เขาก้าวเข้ามาข้างหน้าพร้อมกับรายงานตัว “กระผม ร้อยเอกอัลเฟร็ด ดรายฟุส ผู้บังคับกองร้อยทหารปืนใหญ่”

จากนั้นนายทหารผู้กระทำพิธีก็เริ่มกระบวนการถอดยศ เขาหยิบหมวกทหารออก ถอดกระดานบ่า ดึงกระดุมนายทหารออกโยนทิ้งลงพื้น ถอดแถบกางเกงนายทหารออก ซ้ำร้ายดึงกระบี่นายทหารแล้วหักด้วยเข่าต่อหน้าต่อตาดรายฟุสที่บัดนั้นกลายเป็นกำลังพลที่ยศต่ำที่สุดในกองทัพไปแล้ว

...เป็นสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวด ถึงกับต้องร่ำไห้ออกมา ราวกับว่าตนนั้นตายทั้งเป็น... 


ภาพแนบ: ดรายฟุสบนเกาะปีศาจ 

จากนั้นดรายฟุสถูกส่งตัวไปขังที่เกาะปีศาจในเฟรนช์กีอานาตอนต้นปี 1895 เกาะปีศาจนี้หากใครเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคุกนรกที่เกาะตะรุเตาของบ้านเราลักษณะของเกาะนี้จะใกล้เคียงกันครับ...

เกาะแห่งนี้สงวนไว้สำหรับผู้ที่มีโทษร้ายแรง และนักโทษการเมือง เนื่องจากเกาะนั้นอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ ด้วยระยะทางหลายไมล์ ล้อมรอบด้วยน้ำทะเลที่มีฉลามว่ายเวียนอยู่รอบๆ อีกทั้งเต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บของดินแดนแถบเขตร้อน ไม่ว่าจะเป็นไข้มาลาเรียหรือท้องร่วง ทำให้นักโทษกว่าร้อยละ 75 ของนักโทษที่เคยถูกส่งตัวมายังเกาะนี้ทยอยตายไป


ภาพแนบ: พันโทมารี จอร์จ ปิกการ์

...เวลาก็ผ่านไปจนวันหนึ่งในเดือนสิงหา ปี 1896

“พันโทมารี-จอร์จ ปิกการ์” ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองทหารในขณะนั้นได้ค้นพบหลักฐานชิ้นสำคัญว่าแท้จริงแล้วดรายฟุสน่าจะเป็นแพะ!

ปิกการ์เริ่มสืบหาความจริงด้วยตัวเองเพื่อหาคนผิดและแก้ต่างให้กับดรายฟุสให้หลุดพ้นข้อหาที่เขาไม่ได้ทำ
 

ภาพแนบ: นักเรียนโรงเรียนนายร้อยแซงซีร์

***ประวัติของปิกการ์ ***

ก่อนจะมาต่อกันในเรื่องราวของคดี ผมขอเล่าประวัติของตัวเอกของเรื่องอีกคนที่มีความสำคัญมาก เพราะหากไม่ได้เขา ดรายฟุสก็คงต้องตกเป็นแพะรับบาปไปอีกนานแสนนาน

เขาคนนั้นมีชื่อว่า “มารี-จอร์จ ปิกการ์” เกิดที่สตาร์สบูกในแคว้นอัลซาส แคว้นเดียวกับดรายฟุสนั่นเอง

พออายุได้ 18 ปิกการ์ก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยแซงซีร์ (École spéciale militaire de Saint-Cyr
) ที่ถือว่าเป็นโรงเรียนนายร้อยอับดับหนึ่งของประเทศ พอจบมาก็มาเป็นผู้หมวดเหล่าทหารราบ จากนั้นจึงได้ไปรบที่อินโดจีนไต่เต้าจนเติบโตในกองทัพมาตามลำดับ



เขาเคยเป็นอาจารย์ในวิทยาลัยการทัพและเคยสอนหนังสือดรายฟุส ...ซึ่งจริงๆ ปิกการ์ก็เหมือนชาวฝรั่งเศสฝ่ายขวาทั่วๆ ไป ที่ไม่ได้มีความชื่นชอบชาวยิวสักเท่าไหร่ตามลัทธิชาตินิยมที่กำลังแพร่หลายในขณะนั้น

อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่า ครั้งหนึ่งดรายฟุสได้คะแนนในวิชาที่ปิกการ์สอนน้อย เขาจึงเข้าไปถามว่าที่เขาได้คะแนนน้อยเพราะเขาเป็นคนยิวใช่ไหม เนื่องจากเขาเคยได้รับการปฏิบัติอย่างนี้มาแล้ว แต่ทว่าปิกการ์ตอบตามตรงกับเขาว่า...

“จริงอยู่ที่ไม่ได้ชื่นชอบชาวยิวสักเท่าไหร่ แต่ยังมีคุณธรรม การที่ดรายฟุสจะได้คะแนนเท่าไหร่นั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเชื้อชาติเลย" 



ปิกการ์ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีดรายฟุสในฐานะผู้ทำรายงานการพิจารณาคดีเพื่อเสนอให้ รมต.กระทรวงสงคราม และผบ.ทบ. ซึ่งต่อมาหลังจากจบการพิจารณาเขาก็มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ได้เลื่อนยศเป็นพันโทในวัยเพียง 41 ปี ถือว่าเป็นผู้พันเร็วที่สุดในสมัยนั้น โดยเขาได้รับแต่งตั้งในตำแหน่ง ผอ.หน่วยข่าวกรองทหาร เนื่องจากผอ.คนเก่าป่วยไม่สามารถปฏิบัติงานได้

....ตอนไปรับตำแหน่ง ปิกการ์ก็ได้ไปเยี่ยมอดีต ผอ. ซึ่งเขาก็ได้รับมอบเอกสารสำคัญที่ทำให้รู้ความจริงว่าดรายฟุสนั้นน่าจะไม่ใช่คนผิด... 



*** การค้นพบความจริงของปิกการ์ ***

ปิกการ์พบว่ามีเอกสารความลับทางทหารถูกส่งไปให้ทูตทหารเยอรมันประจำฝรั่งเศสอีกหลายฉบับภายหลังจากที่ดรายฟุสอยู่ในคุก ...นั่นหมายความว่าคนที่ขายความลับนั้นอาจเป็นคนอื่น! (เอกสารเหล่านี้ได้รับมาจากแหล่งข่าวในสถานทูตเยอรมันที่ลักลอบนำออกมาให้)

ปิกการ์พบว่าลายมือในเอกสารลับนั้นแท้จริงไม่เหมือนของดรายฟุส เพียงแต่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านลายมือที่มาเป็นพยานนั้นให้ความเห็นว่า “อาจไม่เหมือนทีเดียวแต่สามารถจงใจเขียนให้เป็นลักษณะนี้ได้เพื่อลวงคนอื่น” 


ภาพแนบ: เฟอร์ดินองด์ เอสเตอร์ฮาซี 

สุดท้ายผลกลับสรุปว่า ว่าลายมือในจดหมายนั้นเหมือนเป๊ะๆ กับลายมือของทหารอีกคนที่ชื่อ “พันตรี เฟอร์ดินองด์ เอสเตอร์ฮาซี” ที่มีความสนิทสนมกับผู้ช่วยทูตทหารเยอรมันต่างหาก

แล้วดรายฟุสถูกลงโทษได้อย่างไร?
การที่ดรายฟุสนั้นถูกลงโทษแทนที่จะเป็นเอสเตอร์ฮาซีนั้น เกิดมาจากกระบวนการที่ไม่ชอบมาพากล และจากการที่พยานผู้เชี่ยวชาญเบิกความเท็จ ที่อาศัยเพียงเพราะความคล้ายคลึงแทนที่จะพิสูจน์ให้แน่ชัดตามหลักการ ซึ่งการกระทำนี้มาการกระทำร่วมกันเป็นขบวนการที่ต้องการแพะหรือตัวร้ายสักคนหนึ่งที่เกิดมาจากความอคติทางเชื้อชาติล้วนๆ

*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่