หากกล่าวถึงประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคใหม่แล้ว หลายท่านคงนึกถึงยุคการปฏิรูปเมจิที่เปลี่ยนแปลงญี่ปุ่นเข้าสู่ความทันสมัยหรือยุคโชวะซึ่งอำนาจของแดนอาทิตย์อุทัยแผ่ขยายไปทั่วสารทิศ อย่างไรก็ตามยังมียุคสมัยสั้นๆ ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างรัชสมัยทั้งสองอย่างยุคไทโช (ค.ศ. 1912-1926)
ไทโชหมายถึงรัชสมัยของพระจักรพรรดิโยชิฮิโตะ ซึ่งแม้จะกินระยะเวลาเพียง 14 ปี แต่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงสังคม,การเมือง, และวัฒนธรรม ที่มีส่วนทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศมหาอำนาจเช่นทุกวันนี้
มนต์เสน่ห์ของไทโชที่ถูกถ่ายทอดมาในการ์ตูนและสื่อหลายเรื่องเช่น ดาบพิฆาตอสูร (Kimetsu no Yaiba), The Wind Rises, รวมไปถึง MV ของวงไอดอลอย่าง Nogizaka 46
บทความนี้จะนำท่านไปพบกับเรื่องราวสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงอันโลดโผนของญี่ปุ่นในรัชสมัยไทโช กันครับ
*** พัฒนาการด้านสังคม ***
รัชสมัยไทโชถือเป็นการต่อยอดจากการปฏิรูปในยุคเมจิ (ค.ศ. 1868 - 1912) ซึ่งยาวนานถึง 44 ปี มีการเปลี่ยนแปลงสังคมญี่ปุ่นเเบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยการพัฒนาศักยภาพด้านการผลิตสู่สังคมอุตสาหกรรม, การบังคับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน, การรับเอาองค์ความรู้ต่างๆของตะวันตกมาพัฒนาการเมืองและกองทัพจนสามารถเอาชนะจีนซึ่งเป็นคู่แข่งในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 ค.ศ 1894 -1895 และกำราบกองเรือของชาติมหาอำนาจอย่างรัสเซียในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น ค.ศ. 1904 - 1905 รวมทั้งมีการตรารัฐธรรมนูญฉบับแรกในปี 1889
ภาพแนบ: เกอิชาในยุคไทโชใส่ชุดว่ายน้ำแบบฝรั่ง
ตอนนั้นสภาพบ้านเรือนเริ่มกลายเป็นมีตึกรูปทรงตะวันตกที่สร้างด้วยปูน ผสมกับอาคารไม้แบบญี่ปุ่นที่โมให้คล้ายๆ ตะวันตกมากขึ้น
เครื่องแต่งกายของประชาชนเริ่มเป็นแบบชุดตะวันตก ผสมชุดญี่ปุ่น รถจักรไอน้ำได้กลายเป็นพาหนะสำคัญนำผู้โดยสารไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อรองรับนโยบายการขยายตัวเมืองออกสู่พื้นที่รอบนอก (Urbanisation)

ภาพแนบ: อนิเมะดาบพิฆาตอสูร มีตัวร้ายชื่อมุซัง (คนอุ้มเด็ก) ที่มักใส่เครื่องแต่งกายแบบตะวันตก ในภาพนี้จะเห็นว่ามีคนแต่งชุดแบบฝรั่งผสมญี่ปุ่นเดินไปมา
การเมืองภาคประชาชนยังมีการพัฒนาในยุคนี้หลายด้าน มีแนวคิดการเมืองใหม่ๆ เข้ามาในญี่ปุ่นเช่นแนวคิดคอมมิวนิสต์ หรือแนวคิดอนาธิปไตย ประชาชนทั่วไปเริ่มเข้ามามีบทบาทต่างๆในสังคมอาทิ มีการรวมตัวกันของแรงงานที่เรียกร้องสิทธิต่างๆ โดยในปี 1918 ญี่ปุ่นมีสหภาพแรงงานกว่า 187 แห่งและสมาชิกกว่า 100,000 คน)
นอกจากนั้นยังมีการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี ซึ่งแม้ผู้หญิงจะถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วมทางการเมือง แต่ก็สามารถออกมาทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพแทนการเป็นแม่บ้านมากขึ้น
*** การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ***
รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ในฝ่ายพันธมิตรไตรภาคี (ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย) ตามข้อตกลงด้านความมั่นคงระหว่างอังกฤษและญี่ปุ่น โดยมีจุดประสงค์สำคัญคือเพื่อขยายอิทธิพลในจีน และทะเลแปซิฟิก โดยญี่ปุ่นรับหน้าที่เป็นหัวหอกในการเข้าตีและยึดครองเขตปกครองชิงเต่าของเยอรมันในจีน
ตอนนั้นญี่ปุ่นระดมกองเรือขนาดใหญ่ พร้อมทหารกว่า 23,000 นาย ร่วมกับทหารอังกฤษอีก 1,500 นาย พวกเขารบพุ่งกล้าหาญ จนสามารถยึดครองชิงเต่าได้ในเวลาเพียงสัปดาห์นิดๆ
ภาพแนบ: เรือประจัญบาน Suwa หรืออดีตเรือ Pobeda แห่งกองทัพเรือรัสเซียที่ญี่ปุ่นกู้ขึ้นมาซ่อมแซม มันทำหน้าที่เป็นเรือธงในการบุกชิงเต่า
จากนั้นกองทัพเรือญี่ปุ่นจึงเดินหน้าเข้ายึดครองอาณานิคมเยอรมันในมหาสมุทรแปซิฟิกอาทิ หมู่เกาะมาร์แชล, เกาะแคโรไลน์, และหมู่เกาะมาเรียนา (ยกเว้นกวม) อย่างง่ายดาย เนื่องจากกองเรือเอเชียตะวันออกของเยอรมันได้ถอนตัวออกไปเรียบร้อยแล้ว พวกเขายังสนับสนุนการปฏิบัติการของราชนาวีอังกฤษอาทิ การไล่ล่าเรือดำน้ำเยอรมัน, การคุ้มกันเส้นทางเดินเรือ, และส่งทหารเข้ารักษาความปลอดภัยตามฐานทัพต่างๆในเอเชีย
ภาพแนบ: ภาพโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่น
ถึงแม้ว่ากองทัพญี่ปุ่นอาจจะไม่ได้มีส่วนในสมรภูมิขนาดใหญ่เท่ากับชาติพันธมิตรอื่นๆ ทว่าการตัดสินใจดังกล่าวก็ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในชาติ Big Five ซึ่งประกอบด้วย อังกฤษ, ฝรั่งเศส, อเมริกา, อิตาลี, และญี่ปุ่น ระหว่างการประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919 (รัสเซียหลุดโผไปเพราะมีปฏิวัติ) รวมถึงมีตำแหน่งเป็นสมาชิกถาวรของสันนิบาตแห่งชาติ พร้อมได้รับสิทธิ์ในการปกครองพื้นที่เก่าของเยอรมันในจีน และหมู่เกาะแปซิกฟิก
ภาพแนบ: ตัวแทนญี่ปุ่นในการประชุมที่ปารีส
แม้ว่าญี่ปุ่นจะได้ดินแดนเพิ่มมากมาย แต่นั่นเป็นพื้นที่เพียงครึ่งเดียวของดินแดนที่ญี่ปุ่นเรียกร้อง
แต่นั้นมาญี่ปุ่นก็ระแวดระวังฝ่ายตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะเห็นว่าต่อไปจะเป็นคู่ขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ภาพแนบ: การขยายอาณาเขตของญี่ปุ่น
*** การส่งกำลังเข้าแทรกแซงสงครามกลางเมืองรัสเซีย ***
รัสเซียรบแพ้ญี่ปุ่นในสงครามปี 1904-1905 ซึ่งเป็นหมุดหมายที่บอกว่าญี่ปุ่นได้ขึ้นเป็นมหาอำนาจใหม่ตั้งแต่ยุคเมจิ
เมื่อรัสเซียมีปัญหาภายในคือฝ่ายคอมมิวนิสต์ทำการปฏิวัติในปี 1917 ฝรั่งเศสได้ร้องขอให้ญี่ปุ่นส่งกำลังไปช่วยสนับสนุนภารกิจรักษาความสงบในไซบีเรีย
ตอนแรกญี่ปุ่นปฏิเสธเพราะมองว่าไม่คุ้ม อย่างไรญี่ปุ่นคิดไปคิดมาแล้วอยากได้พื้นที่รัสเซียตะวันออกเพื่อสร้างรัฐกันชน จึงตัดสินใจส่งทหารเดินทางไปถึงเมืองท่าวลาดีวอสตอคเมื่อเดือนมกราคม 1918 โดยสามารถตัดหน้าเพื่อนเก่าอย่างอังกฤษที่เดินทางมาถึงสองวันให้หลัง
ภาพแนบ: ทหารฝ่ายพันธมิตร ในการแทรกแซงสงครามกลางเมืองรัสเซีย ดูน้อยลง
ในช่วงแรกกองทัพญี่ปุ่นทำหน้าที่เพียงเฝ้าระวังและรักษาความปลอดภัยในวลาดีวอสตอค จนกระทั่งมีฝูงชนบุกปล้นร้านค้าของชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในเมืองนี้จนมีผู้เสียชีวิต 3 ราย ทำให้ญี่ปุ่นซึ่งกำลังเปรี้ยว (ตามประสาประเทศที่กำลังขยายอาณาเขต) ใช้เป็นเหตุบุกยึดเมืองวลาดิวอสตอค ซึ่งทำสำเร็จโดยง่าย
เมื่อเวลาผ่านไป กองทัพญี่ปุ่นยังได้เพิ่มจำนวนทหารในพื้นที่ขึ้นเป็น 70,000 นาย เพื่อรักษาผลประโยชน์ และแผ่อำนาจ
ภาพแนบ: ภาพโฆษณาชวนเชื่อของกองทัพญี่ปุ่น
พวกเขาร่วมกับกองทัพขาว (ฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์) สู้กับกองทัพแดง (ฝ่ายคอมมิวนิสต์) เป็นสามารถ อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นว่ากองทัพขาวน่าจะแพ้ ญี่ปุ่นก็เริ่มลดบทบาทลง ภายหลังเมื่อกองทัพแดงชนะแล้ว ตัวแทนของญี่ปุ่นและสหภาพโซเวียตได้บรรลุข้อตกลง “สนธิสัญญาความเป็นกลางระหว่างสหภาพโซเวียต-ญี่ปุ่น ค.ศ. 1925” ที่ทำให้ญี่ปุ่นถอนทหารจากพื้นที่ที่ยึดมาได้ส่วนใหญ่ ช่วยบรรเทาความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศระยะหนึ่ง
ภาพแนบ: การถอนทัพของญี่ปุ่น
การตัดสินใจแทรกแซงสงครามกลางเมืองรัสเซียกลายเป็นปฏิบัติการที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลญี่ปุ่นในห้วงเวลานั้น เพราะมีกลุ่มชาวนาเเสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลบังคับซื้อข้าวสารจำนวนมหาศาลในราคาถูกเพื่อส่งเป็นเสบียงให้กับทหารที่ไปรบนอกประเทศ
สิ่งนี้ทำให้ข้าวเกิดขาดตลาด ราคาข้าวในประเทศพุ่งสูงขึ้น ความขุ่นเคืองดังกล่าวกลายเป็นชนวนของการประท้วงในเมืองอุโอซุ จนลุกลามเป็นการก่อจลาจลและเผาอาคารต่างๆ รวมถึงสถานีตำรวจ ส่งผลให้ นายก เทระอุชิ มาซาทาเกะ ต้องลาออกจากตำแหน่ง
ภาพแนบ: ฉากจากภาพยนตร์เรื่อง Big Rice Riots (2021) ที่นำเเอาเหตุการณ์ Rice Riots ปี 1918
ขณะที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมและชาตินิยมแม้จะเห็นด้วยกับการแทรกแซงรัสเซีย แต่พวกเขาก็ผิดหวังต่อท่าทีของรัฐบาลที่ไม่ดำเนินการยึดครองพื้นที่ที่ยึดมาได้ ทำให้แทบไม่ค่อยได้อะไรจากศึกนี้
ความไม่พอใจนั้นฝังลึกในหมู่ทหารญี่ปุ่นที่มองว่าการเสียสละของทหารกว่า 5,000 นายในศึกนี้ต้องสูญเปล่าจากการตัดสินใจไม่เด็ดขาดของรัฐบาล…
ภาพแนบ: นายกญี่ปุ่นในยุคไทโช
*** การแผ่ขยายอิทธิพลในประเทศจีน ***
ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 รัฐบาลญี่ปุ่นของนายก เทระอุชิ มาซาเทเกะ ได้สนับสนุนเงินกู้กว่า 145 ล้านเยนให้กับนายพลต้วน ฉีรุ่ย ผู้นำคนสำคัญของจีน
โดยทางนายพลต้วนรับปากมอบอำนาจการปกครองพื้นที่ในแมนจูเรีย, สัมปทานการรถไฟมณฑลชานตง, รวมทั้งการควบคุมท่าเรือซึ่งเคยอยู่ในการปกครองของจักรวรรดิเยอรมันตอบแทน
ภาพแนบ: นายพลต้วนฉีรุ่ย
ความนี้ทำให้ญี่ปุ่นได้สิทธิการปกครองพื้นที่ในมณฑลชานตง, เขตแมนจูเรีย, และได้ผลประโยชน์อีกมากมาย จนเกิดกระแสต่อต้านญี่ปุ่นจากชาวจีนเป็นอันมาก ต่อมาผู้รักชาติชาวจีนมักบอกว่าต้วนฉีรุ่ยเป็นคนขายชาติ
ภาพแนบ: การต่อต้านญี่ปุ่นของขบวนการ 4 พฤษภาคม
*** มีอะไรในยุคไทโช? ***
ไทโชหมายถึงรัชสมัยของพระจักรพรรดิโยชิฮิโตะ ซึ่งแม้จะกินระยะเวลาเพียง 14 ปี แต่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงสังคม,การเมือง, และวัฒนธรรม ที่มีส่วนทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศมหาอำนาจเช่นทุกวันนี้
มนต์เสน่ห์ของไทโชที่ถูกถ่ายทอดมาในการ์ตูนและสื่อหลายเรื่องเช่น ดาบพิฆาตอสูร (Kimetsu no Yaiba), The Wind Rises, รวมไปถึง MV ของวงไอดอลอย่าง Nogizaka 46
บทความนี้จะนำท่านไปพบกับเรื่องราวสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงอันโลดโผนของญี่ปุ่นในรัชสมัยไทโช กันครับ
*** พัฒนาการด้านสังคม ***
รัชสมัยไทโชถือเป็นการต่อยอดจากการปฏิรูปในยุคเมจิ (ค.ศ. 1868 - 1912) ซึ่งยาวนานถึง 44 ปี มีการเปลี่ยนแปลงสังคมญี่ปุ่นเเบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยการพัฒนาศักยภาพด้านการผลิตสู่สังคมอุตสาหกรรม, การบังคับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน, การรับเอาองค์ความรู้ต่างๆของตะวันตกมาพัฒนาการเมืองและกองทัพจนสามารถเอาชนะจีนซึ่งเป็นคู่แข่งในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 ค.ศ 1894 -1895 และกำราบกองเรือของชาติมหาอำนาจอย่างรัสเซียในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น ค.ศ. 1904 - 1905 รวมทั้งมีการตรารัฐธรรมนูญฉบับแรกในปี 1889
ภาพแนบ: เกอิชาในยุคไทโชใส่ชุดว่ายน้ำแบบฝรั่ง
ตอนนั้นสภาพบ้านเรือนเริ่มกลายเป็นมีตึกรูปทรงตะวันตกที่สร้างด้วยปูน ผสมกับอาคารไม้แบบญี่ปุ่นที่โมให้คล้ายๆ ตะวันตกมากขึ้น
เครื่องแต่งกายของประชาชนเริ่มเป็นแบบชุดตะวันตก ผสมชุดญี่ปุ่น รถจักรไอน้ำได้กลายเป็นพาหนะสำคัญนำผู้โดยสารไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อรองรับนโยบายการขยายตัวเมืองออกสู่พื้นที่รอบนอก (Urbanisation)
ภาพแนบ: อนิเมะดาบพิฆาตอสูร มีตัวร้ายชื่อมุซัง (คนอุ้มเด็ก) ที่มักใส่เครื่องแต่งกายแบบตะวันตก ในภาพนี้จะเห็นว่ามีคนแต่งชุดแบบฝรั่งผสมญี่ปุ่นเดินไปมา
การเมืองภาคประชาชนยังมีการพัฒนาในยุคนี้หลายด้าน มีแนวคิดการเมืองใหม่ๆ เข้ามาในญี่ปุ่นเช่นแนวคิดคอมมิวนิสต์ หรือแนวคิดอนาธิปไตย ประชาชนทั่วไปเริ่มเข้ามามีบทบาทต่างๆในสังคมอาทิ มีการรวมตัวกันของแรงงานที่เรียกร้องสิทธิต่างๆ โดยในปี 1918 ญี่ปุ่นมีสหภาพแรงงานกว่า 187 แห่งและสมาชิกกว่า 100,000 คน)
นอกจากนั้นยังมีการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี ซึ่งแม้ผู้หญิงจะถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วมทางการเมือง แต่ก็สามารถออกมาทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพแทนการเป็นแม่บ้านมากขึ้น
*** การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ***
รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ในฝ่ายพันธมิตรไตรภาคี (ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย) ตามข้อตกลงด้านความมั่นคงระหว่างอังกฤษและญี่ปุ่น โดยมีจุดประสงค์สำคัญคือเพื่อขยายอิทธิพลในจีน และทะเลแปซิฟิก โดยญี่ปุ่นรับหน้าที่เป็นหัวหอกในการเข้าตีและยึดครองเขตปกครองชิงเต่าของเยอรมันในจีน
ตอนนั้นญี่ปุ่นระดมกองเรือขนาดใหญ่ พร้อมทหารกว่า 23,000 นาย ร่วมกับทหารอังกฤษอีก 1,500 นาย พวกเขารบพุ่งกล้าหาญ จนสามารถยึดครองชิงเต่าได้ในเวลาเพียงสัปดาห์นิดๆ
ภาพแนบ: เรือประจัญบาน Suwa หรืออดีตเรือ Pobeda แห่งกองทัพเรือรัสเซียที่ญี่ปุ่นกู้ขึ้นมาซ่อมแซม มันทำหน้าที่เป็นเรือธงในการบุกชิงเต่า
จากนั้นกองทัพเรือญี่ปุ่นจึงเดินหน้าเข้ายึดครองอาณานิคมเยอรมันในมหาสมุทรแปซิฟิกอาทิ หมู่เกาะมาร์แชล, เกาะแคโรไลน์, และหมู่เกาะมาเรียนา (ยกเว้นกวม) อย่างง่ายดาย เนื่องจากกองเรือเอเชียตะวันออกของเยอรมันได้ถอนตัวออกไปเรียบร้อยแล้ว พวกเขายังสนับสนุนการปฏิบัติการของราชนาวีอังกฤษอาทิ การไล่ล่าเรือดำน้ำเยอรมัน, การคุ้มกันเส้นทางเดินเรือ, และส่งทหารเข้ารักษาความปลอดภัยตามฐานทัพต่างๆในเอเชีย
ภาพแนบ: ภาพโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่น
ถึงแม้ว่ากองทัพญี่ปุ่นอาจจะไม่ได้มีส่วนในสมรภูมิขนาดใหญ่เท่ากับชาติพันธมิตรอื่นๆ ทว่าการตัดสินใจดังกล่าวก็ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในชาติ Big Five ซึ่งประกอบด้วย อังกฤษ, ฝรั่งเศส, อเมริกา, อิตาลี, และญี่ปุ่น ระหว่างการประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919 (รัสเซียหลุดโผไปเพราะมีปฏิวัติ) รวมถึงมีตำแหน่งเป็นสมาชิกถาวรของสันนิบาตแห่งชาติ พร้อมได้รับสิทธิ์ในการปกครองพื้นที่เก่าของเยอรมันในจีน และหมู่เกาะแปซิกฟิก
ภาพแนบ: ตัวแทนญี่ปุ่นในการประชุมที่ปารีส
แม้ว่าญี่ปุ่นจะได้ดินแดนเพิ่มมากมาย แต่นั่นเป็นพื้นที่เพียงครึ่งเดียวของดินแดนที่ญี่ปุ่นเรียกร้อง
แต่นั้นมาญี่ปุ่นก็ระแวดระวังฝ่ายตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะเห็นว่าต่อไปจะเป็นคู่ขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ภาพแนบ: การขยายอาณาเขตของญี่ปุ่น
*** การส่งกำลังเข้าแทรกแซงสงครามกลางเมืองรัสเซีย ***
รัสเซียรบแพ้ญี่ปุ่นในสงครามปี 1904-1905 ซึ่งเป็นหมุดหมายที่บอกว่าญี่ปุ่นได้ขึ้นเป็นมหาอำนาจใหม่ตั้งแต่ยุคเมจิ
เมื่อรัสเซียมีปัญหาภายในคือฝ่ายคอมมิวนิสต์ทำการปฏิวัติในปี 1917 ฝรั่งเศสได้ร้องขอให้ญี่ปุ่นส่งกำลังไปช่วยสนับสนุนภารกิจรักษาความสงบในไซบีเรีย
ตอนแรกญี่ปุ่นปฏิเสธเพราะมองว่าไม่คุ้ม อย่างไรญี่ปุ่นคิดไปคิดมาแล้วอยากได้พื้นที่รัสเซียตะวันออกเพื่อสร้างรัฐกันชน จึงตัดสินใจส่งทหารเดินทางไปถึงเมืองท่าวลาดีวอสตอคเมื่อเดือนมกราคม 1918 โดยสามารถตัดหน้าเพื่อนเก่าอย่างอังกฤษที่เดินทางมาถึงสองวันให้หลัง
ภาพแนบ: ทหารฝ่ายพันธมิตร ในการแทรกแซงสงครามกลางเมืองรัสเซีย ดูน้อยลง
ในช่วงแรกกองทัพญี่ปุ่นทำหน้าที่เพียงเฝ้าระวังและรักษาความปลอดภัยในวลาดีวอสตอค จนกระทั่งมีฝูงชนบุกปล้นร้านค้าของชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในเมืองนี้จนมีผู้เสียชีวิต 3 ราย ทำให้ญี่ปุ่นซึ่งกำลังเปรี้ยว (ตามประสาประเทศที่กำลังขยายอาณาเขต) ใช้เป็นเหตุบุกยึดเมืองวลาดิวอสตอค ซึ่งทำสำเร็จโดยง่าย
เมื่อเวลาผ่านไป กองทัพญี่ปุ่นยังได้เพิ่มจำนวนทหารในพื้นที่ขึ้นเป็น 70,000 นาย เพื่อรักษาผลประโยชน์ และแผ่อำนาจ
ภาพแนบ: ภาพโฆษณาชวนเชื่อของกองทัพญี่ปุ่น
พวกเขาร่วมกับกองทัพขาว (ฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์) สู้กับกองทัพแดง (ฝ่ายคอมมิวนิสต์) เป็นสามารถ อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นว่ากองทัพขาวน่าจะแพ้ ญี่ปุ่นก็เริ่มลดบทบาทลง ภายหลังเมื่อกองทัพแดงชนะแล้ว ตัวแทนของญี่ปุ่นและสหภาพโซเวียตได้บรรลุข้อตกลง “สนธิสัญญาความเป็นกลางระหว่างสหภาพโซเวียต-ญี่ปุ่น ค.ศ. 1925” ที่ทำให้ญี่ปุ่นถอนทหารจากพื้นที่ที่ยึดมาได้ส่วนใหญ่ ช่วยบรรเทาความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศระยะหนึ่ง
ภาพแนบ: การถอนทัพของญี่ปุ่น
การตัดสินใจแทรกแซงสงครามกลางเมืองรัสเซียกลายเป็นปฏิบัติการที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลญี่ปุ่นในห้วงเวลานั้น เพราะมีกลุ่มชาวนาเเสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลบังคับซื้อข้าวสารจำนวนมหาศาลในราคาถูกเพื่อส่งเป็นเสบียงให้กับทหารที่ไปรบนอกประเทศ
สิ่งนี้ทำให้ข้าวเกิดขาดตลาด ราคาข้าวในประเทศพุ่งสูงขึ้น ความขุ่นเคืองดังกล่าวกลายเป็นชนวนของการประท้วงในเมืองอุโอซุ จนลุกลามเป็นการก่อจลาจลและเผาอาคารต่างๆ รวมถึงสถานีตำรวจ ส่งผลให้ นายก เทระอุชิ มาซาทาเกะ ต้องลาออกจากตำแหน่ง
ภาพแนบ: ฉากจากภาพยนตร์เรื่อง Big Rice Riots (2021) ที่นำเเอาเหตุการณ์ Rice Riots ปี 1918
ขณะที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมและชาตินิยมแม้จะเห็นด้วยกับการแทรกแซงรัสเซีย แต่พวกเขาก็ผิดหวังต่อท่าทีของรัฐบาลที่ไม่ดำเนินการยึดครองพื้นที่ที่ยึดมาได้ ทำให้แทบไม่ค่อยได้อะไรจากศึกนี้
ความไม่พอใจนั้นฝังลึกในหมู่ทหารญี่ปุ่นที่มองว่าการเสียสละของทหารกว่า 5,000 นายในศึกนี้ต้องสูญเปล่าจากการตัดสินใจไม่เด็ดขาดของรัฐบาล…
ภาพแนบ: นายกญี่ปุ่นในยุคไทโช
*** การแผ่ขยายอิทธิพลในประเทศจีน ***
ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 รัฐบาลญี่ปุ่นของนายก เทระอุชิ มาซาเทเกะ ได้สนับสนุนเงินกู้กว่า 145 ล้านเยนให้กับนายพลต้วน ฉีรุ่ย ผู้นำคนสำคัญของจีน
โดยทางนายพลต้วนรับปากมอบอำนาจการปกครองพื้นที่ในแมนจูเรีย, สัมปทานการรถไฟมณฑลชานตง, รวมทั้งการควบคุมท่าเรือซึ่งเคยอยู่ในการปกครองของจักรวรรดิเยอรมันตอบแทน
ภาพแนบ: นายพลต้วนฉีรุ่ย
ความนี้ทำให้ญี่ปุ่นได้สิทธิการปกครองพื้นที่ในมณฑลชานตง, เขตแมนจูเรีย, และได้ผลประโยชน์อีกมากมาย จนเกิดกระแสต่อต้านญี่ปุ่นจากชาวจีนเป็นอันมาก ต่อมาผู้รักชาติชาวจีนมักบอกว่าต้วนฉีรุ่ยเป็นคนขายชาติ
ภาพแนบ: การต่อต้านญี่ปุ่นของขบวนการ 4 พฤษภาคม