กว่าที่ประเทศจีนจะมาถึงปัจจุบันนี้ได้ ต้องผ่านสงครามกลางเมืองและสภาพบ้านเมืองแตกแยกมาแล้วหลายยุคสมัย และหนึ่งในยุคที่มีการต่อสู้ดุเดือดและมีชื่อเสียงที่สุด คือ ยุคสามก๊ก ซึ่งเกิดถัดจากสมัยราชวงศ์ฮั่นนั่นเอง
มีการหยิบเอาประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไปเขียนเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์หลายฉบับ มีฉบับหนึ่งของนักเขียนชื่อหลอกว้านจงนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ประวัติศาสตร์ตอนนี้เป็นที่แพร่หลายไปทั่ว จนปัจจุบันมีการทำสื่อออกมามากมายทั้งภาพยนต์ ซีรีย์ เกมส์ การ์ตูน แม้สิ่งที่หลอกว้านจงเขียนไม่ตรงตามประวัติศาสตร์ทั้งหมด แต่ก็พอมีเค้าโครงพอทำให้ชาวโลกให้ความสนใจประวัติศาสตร์ตอนนี้มากขึ้น (ปกตินับว่ายุคสามก๊กเกิดใน ค.ศ. 220 - 280 แต่ถ้านับการเริ่มในนิยาย เรื่องนี้เริ่มตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 2 แล้ว)
บทความนี้จะพาทุกท่านไปสัมผัสเรื่องสามก๊กเวอร์ชันหลอกว้านจง โดยจะเรียกชื่อตามแบบไทย เพื่อให้ท่านสามารถเรียนรู้นิยายอิงประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่องนี้โดยเข้าใจง่ายนะครับ
เนื่องจากในตอนแปลนั้น มีการแปลชื่อตัวละครด้วยสำเนียงฮกเกี้ยน และเป็นฮกเกี้ยนโบราณสำเนียงย่อยที่ถูกเอามาทำให้เป็นสำเนียงไทยอีกที ทำให้ไม่เหมือนฮกเกี้ยนมาตรฐาน จนอาจเรียกว่าไทยมีชื่อตัวละครสามก๊กของตนเองเวอร์ชันนึง ไม่เหมือนที่อื่น ยกตัวอย่างเช่นชื่อ ขงเบ้ง นั้น ฮกเกี้ยนมาตรฐานเรียก ค้องบิ๋ง และจีนกลางเรียก ข่งหมิง
ภาพแนบ: ชุดสามก๊ก 3 เล่มสีทองนี้น่าจะคุ้นตากันดี
*** กำเนิดโจรโพกผ้าเหลือง ***
ราชวงศ์ฮั่นของจีนมีอายุมาได้ 400 ปี ถึงรัชกาลพระเจ้าเลนเต้ แต่เนื่องจากเลนเต้มัวเมาสุรานารี และหูเบาเชื่อพวกขันที ทำให้ปล่อยปละละเลยจนพวกขันทีทำการฉ้อราษฎร์บังหลวง ขูดรีดชาวบ้าน ทำให้แผ่นดินเป็นทุรยศ ผู้คนได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
จนใน ค.ศ. 184 มีชายชื่อเตียวก๊กประกาศตนเป็นผู้วิเศษ นำพาชาวบ้านก่อกบฏต่อราชวงศ์ฮั่น พวกกบฏผูกผ้าโพกหัวสีเหลือง เรียก “โจรโพกผ้าเหลือง”
ภาพแนบ: โจรโพกผ้าเหลือง
ตัดบทไปที่ชายคนหนึ่งชื่อ เล่าปี่ ซึ่ง “สูงประมาณห้าศอกเศษ หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า หน้าขาวดังสีหยก ฝีปากแดงดังชาดแต้ม จักษุชำเลืองไปเห็นหู” (ที่ว่ามานี้แปลว่าโหงวเฮ้งดีมาก) แม้เขาจะมีเชื้อสายกษัตริย์ แต่บรรพบุรุษกลับตกอับลงเรื่อยๆ จนพอถึงรุ่นเขาก็กลายเป็นคนทอเสื่อขาย อย่างไรก็ตามเล่าปี่เป็นคนจิตวิทยาดี ดรามาเก่ง ทำให้คนหลงรักได้ง่าย
เมื่อทางการมาประกาศชวนชาวบ้านจับโจรโพกผ้าเหลือง เล่าปี่ได้เข้าสมัครและได้รู้จักกับผู้กล้าชื่อกวนอู และเตียวหุย พวกเขาถูกคอกันจึงสาบานเป็นพี่น้องที่สวนดอกท้อหลังบ้านเตียวหุย พร้อมพูดประโยคอมตะว่า “แม้ไม่เกิดวัน เดือน ปีเดียวกัน แต่ขอตายวัน เดือน ปีเดียวกัน!” ซึ่งนี่เป็นฉากที่ทำให้ลูกผู้ชายชาวจีนอ่านแล้วซาบซึ้งใจ และทำตามมาตลอด
ภาพแนบ: คำสาบานในสวนท้อ
อนึ่ง กวนอู ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์ ใช้ง้าวเป็นอาวุธ นอกจากนั้นยัง “สูงประมาณหกศอก หนวดยาวประมาณศอกเศษ หน้าแดงดังผลพุทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม คิ้วดังตัวไหม จักษุยาวดังนกการะเวก เห็นกิริยาผิดประหลาดกว่าคนทั้งปวง” (นี่ก็โหงวเฮ้งดี แต่โหงวเฮ้งดีไม่ได้แปลว่าหล่อ พวกหล่อๆ หน้าขาวน่ะให้ไปเป็นพระเอกงิ้ว ไม่ได้เป็นขุนนางหรอก)
สำหรับ เตียวหุย นั้นใช้ทวนงูเลื้อยเป็นอาวุธ ติดสุราเรื้อรัง มีนิสัยหยาบช้า และ “สูงประมาณ 5 ศอก ศีรษะเหมือนเสือ จักษุกลมใหญ่ คางพองโต เสียงดังฟ้าร้อง กิริยาดังม้าควบ” ทั้งกวนอู เตียวหุยเป็นนักรบมากฝีมือ แต่มีข้อเสียคืออีโก้สูง สำหรับเล่าปี่นั้นใช้กระบี่คู่ แต่ไม่ได้เก่งต่อสู้เท่า เน้นใช้จิตวิทยากล่อมคนไปเรื่อยๆ
เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ร่วมกันปราบโจรโพกผ้าเหลืองเป็นสามารถ ครั้งหนึ่งยังเคยช่วยขุนนางชื่อตั๋งโต๊ะไว้ได้ แต่เมื่อตั๋งโต๊ะเห็นพวกเขาเป็นฟรีแลนซ์ไร้ยศ ก็ไม่สนใจนัก
โจรโพกผ้าเหลืองถูกปราบมากๆ ต่อมาก็เฟดตัวลง

*** เค้าลางหายนะ ***
หลังพระเจ้าเลนเต้เสด็จสวรรคตในปี 188 โฮจิ๋น ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของราชสำนัก เข้าดูแลการสืบราชสมบัติของเล่าเปียน ฮ่องเต้รัชกาลต่อมา มาถึงตอนนี้ทั้งโฮจิ๋น และฝ่ายขันที ต่างคิดกำจัดอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อชิงความเป็นใหญ่ แต่โฮจิ๋นเสียทีถูกฝ่ายขันทีลวงไปฆ่าก่อน

ภาพแนบ: โฮจิ๋นกับสิบขันที
ก่อนตายโฮจิ๋นเคยส่งจดหมายไปถึงตั๋งโต๊ะ ซึ่งเป็นตอนนั้นขุนศึกใหญ่ในเมืองเสเหลียงทางตะวันตก (ปัจจุบันอยู่แถวๆ มณฑลกานซู) เพื่อขอทหารมาช่วยรักษาความสงบในเมืองหลวง
ครั้นตั๋งโต๊ะมาถึงเมืองหลวงลกเอี๋ยง (ลั่วหยาง) ในปี 189 เห็นว่าสถานการณ์วุ่นวายเพราะขุนนางฝ่ายโฮจิ๋นและขันทีปะทะกัน พอดีเขาสามารถควบคุมตัวฮ่องเต้ที่มีขันทีพาตัวออกมาได้ จึงถืออำนาจเข้าไปเคลียร์เมืองหลวง

ภาพแนบ: ตั๋งโต๊ะในสื่อต่างๆ มักทำออกมาให้อ้วนๆ หื่นๆ เลวๆ
ตอนนั้นตั๋งโต๊ะไม่เพียงเคลียร์พวกขันที แม้แต่ขุนนางอื่นๆ ที่ไม่เชื่อฟังก็ถูกเคลียร์หมด เขาจัดการเปลี่ยนให้เล่าเหียบ โอรสอีกคนของเลนเต้ขึ้นเป็นจักรพรรดิพระนามว่า “เหี้ยนเต้” ให้เป็นหุ่นเชิดของตนเอง และตั้งตนเป็นมหาอุปราชเสียเลย
เมื่อตั๋งโต๊ะเป็นใหญ่แล้วก็กระทำการหยาบช้าต่างๆ ทั้งเข่นฆ่าผู้คน ยึดทรัพย์สิน และมาหลับนอนกับเหล่านางสนมกำนัล ไม่เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา ด้วยเหตุนี้จึงมีคนมากมายอยากกำจัดเขา แต่ยังไม่กล้าเพราะตั๋งโต๊ะมีกำลังมาก และมีบุตรบุญธรรมชื่อลิโป้ เป็นยอดฝีมือที่หลายๆ คนยกให้เก่งที่สุดในเรื่องนี้คอยคุ้มกัน

หนึ่งในฝ่ายต่อต้านตั๋งโต๊ะนั้นมีชายชื่อ โจโฉ เป็นคนฉลาดและทะเยอทะยาน “สูงประมาณห้าศอก จักษุเล็ก หนวดยาว” (ส่วนสูงในนี้ไม่ต้องสนใจเท่าไรนะครับ มันเป็นหน่วยวัดโบราณที่ไม่เหมือนหน่วยวัดสมัยใหม่ และทีมเจ้าพระยาพระคลังก็มีแปลผิดด้วย)
โจโฉเคยเป็นหัวหน้าทหารรักษาประตูเมืองหลวง เอากระบองตีคนที่สัญจรแบบผิดกฎไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม แม้จะมีอุดมการณ์ แต่ก็เป็นคนดาร์คๆ อุปนิสัยของเขาสะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจนจากประโยคที่เขาจะพูดในภายหลังว่า “ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่ายอมให้โลกทรยศข้า!”

ภาพแนบ: ประโยคนี้ของโจโฉมาจากตอนที่โจโฉกำลังหลบหนี แล้วระแวงครอบครัวชาวบ้านที่ให้ที่พักพิง เขาก็ฆ่าทิ้งเพราะเกรงว่าจะไปแจ้งทางการ
ตอนนั้นโจโฉเอากระบี่ชั้นดีไปจะลอบฆ่าตั๋งโต๊ะ แต่ตั๋งโต๊ะรู้ตัวก่อน โจโฉจึงเนียนเปลี่ยนไปถวายกระบี่แล้วหนีไป จนถูกประกาศจับไปทั่ว เขาชักชวนเรียกขุนศึก 18 หัวเมืองมาช่วยกันปราบตั๋งโต๊ะ มีขุนนางอาวุโสชื่ออ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำ และเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยเข้าร่วมแจมด้วย
ตอนนั้นแม้ลิโป้จะออกโรงสู้เอง แต่ถูกเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย สร้างวีรกรรม “3 รุม 1” จนต้องล่าถอย (ลิโป้เก่งมาก ดังนั้นการที่รวมพลังสามรุมหนึ่งทำให้ล่าถอย ก็แปลว่าสุดยอดแล้ว) ต่อมาตั๋งโต๊ะสู้พวกขุนศึกไม่ได้ จึงเผาเมืองลกเอี๋ยงทิ้งแล้วหนีไปยังเมืองเตียงอั๋น (ฉางอาน) ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของจีนที่อยู่ทางตะวันตก แต่ปรากฏว่าฝ่ายกองทัพ 18 หัวเมืองขาดความสามัคคี และอ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำที่ไม่ดี ขุนศึกต่างๆ จึงแยกย้ายไม่ได้ตามตีตั๋งโต๊ะต่อ
...ณ จุดนี้ ขุนศึกต่างๆ ในแผ่นดินล้วนรู้สึกว่าฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่นหมดอำนาจไปแล้ว ทั้งหมดจึงสะสมกำลังชิงความเป็นใหญ่ ทำให้จีนเข้าสู่ยุคขุนศึกอย่างเต็มตัว
อีกด้านหนึ่งมีขุนศึกชื่อซุนเกี๋ยน เขานำคนคุ้ยซากเมืองลกเอี๋ยงที่มอดไหม้ แล้วเกิดไปเจอตราแผ่นดินจีนจึงลอบเก็บไว้ คิดว่าความชอบธรรมในการครองแผ่นดินอยู่กับข้านี่แหละ คะลัก คะลัก
ภาพแนบ: เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยลุยกับลิโป้ สมัยออกรบให้กับกองทัพ 18 หัวเมือง
ฝ่ายตั๋งโต๊ะที่อยู่เตียงอั๋นยังคงทำตัวเป็นทรราชอยู่เช่นเดิม แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรเพราะเกรงฝีมือลิโป้ ต่อมาขุนนางผู้ภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นจึงออกอุบาย ส่งหญิงงามนามเตียวเสี้ยนไปยั่วยวนและยุยงให้ตั๋งโต๊ะแตกคอกับลิโป้ สุดท้ายลิโป้ก็ฆ่าตั๋งโต๊ะในปี 192 และต้องหลบหนีจากเมืองเพราะสู้ลูกน้องตั๋งโต๊ะที่เหลือไม่ได้
ทั้งนี้เตียวเสี้ยนไม่มีตัวจริงในประวัติศาสตร์ นิยายล้วนๆ แต่เนื่องจากสามก๊กเวอร์ชันนี้ดังมาก นางจึงได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในสี่หญิงงามของจีน (อย่างไรก็ตามมีบันทึกเหมือนกันว่าลิโป้ลอบมีชู้กับเมียน้อยตั๋งโต๊ะที่ไม่ทราบชื่อ แล้วกลัวถูกจับได้จึงเป็นเหตุหนึ่งให้ปฏิวัติ)

ภาพแนบ: เตียวเสี้ยน สมญา “จันทร์หลบโฉมสุดา” แปลว่าสวยมากจนพระจันทร์ยังต้องหลบ
*** สามก๊ก สรุปจบเข้าใจง่าย ***
มีการหยิบเอาประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไปเขียนเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์หลายฉบับ มีฉบับหนึ่งของนักเขียนชื่อหลอกว้านจงนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ประวัติศาสตร์ตอนนี้เป็นที่แพร่หลายไปทั่ว จนปัจจุบันมีการทำสื่อออกมามากมายทั้งภาพยนต์ ซีรีย์ เกมส์ การ์ตูน แม้สิ่งที่หลอกว้านจงเขียนไม่ตรงตามประวัติศาสตร์ทั้งหมด แต่ก็พอมีเค้าโครงพอทำให้ชาวโลกให้ความสนใจประวัติศาสตร์ตอนนี้มากขึ้น (ปกตินับว่ายุคสามก๊กเกิดใน ค.ศ. 220 - 280 แต่ถ้านับการเริ่มในนิยาย เรื่องนี้เริ่มตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 2 แล้ว)
บทความนี้จะพาทุกท่านไปสัมผัสเรื่องสามก๊กเวอร์ชันหลอกว้านจง โดยจะเรียกชื่อตามแบบไทย เพื่อให้ท่านสามารถเรียนรู้นิยายอิงประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่องนี้โดยเข้าใจง่ายนะครับ
เนื่องจากในตอนแปลนั้น มีการแปลชื่อตัวละครด้วยสำเนียงฮกเกี้ยน และเป็นฮกเกี้ยนโบราณสำเนียงย่อยที่ถูกเอามาทำให้เป็นสำเนียงไทยอีกที ทำให้ไม่เหมือนฮกเกี้ยนมาตรฐาน จนอาจเรียกว่าไทยมีชื่อตัวละครสามก๊กของตนเองเวอร์ชันนึง ไม่เหมือนที่อื่น ยกตัวอย่างเช่นชื่อ ขงเบ้ง นั้น ฮกเกี้ยนมาตรฐานเรียก ค้องบิ๋ง และจีนกลางเรียก ข่งหมิง
ภาพแนบ: ชุดสามก๊ก 3 เล่มสีทองนี้น่าจะคุ้นตากันดี
*** กำเนิดโจรโพกผ้าเหลือง ***
ราชวงศ์ฮั่นของจีนมีอายุมาได้ 400 ปี ถึงรัชกาลพระเจ้าเลนเต้ แต่เนื่องจากเลนเต้มัวเมาสุรานารี และหูเบาเชื่อพวกขันที ทำให้ปล่อยปละละเลยจนพวกขันทีทำการฉ้อราษฎร์บังหลวง ขูดรีดชาวบ้าน ทำให้แผ่นดินเป็นทุรยศ ผู้คนได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
จนใน ค.ศ. 184 มีชายชื่อเตียวก๊กประกาศตนเป็นผู้วิเศษ นำพาชาวบ้านก่อกบฏต่อราชวงศ์ฮั่น พวกกบฏผูกผ้าโพกหัวสีเหลือง เรียก “โจรโพกผ้าเหลือง”
ภาพแนบ: โจรโพกผ้าเหลือง
ตัดบทไปที่ชายคนหนึ่งชื่อ เล่าปี่ ซึ่ง “สูงประมาณห้าศอกเศษ หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า หน้าขาวดังสีหยก ฝีปากแดงดังชาดแต้ม จักษุชำเลืองไปเห็นหู” (ที่ว่ามานี้แปลว่าโหงวเฮ้งดีมาก) แม้เขาจะมีเชื้อสายกษัตริย์ แต่บรรพบุรุษกลับตกอับลงเรื่อยๆ จนพอถึงรุ่นเขาก็กลายเป็นคนทอเสื่อขาย อย่างไรก็ตามเล่าปี่เป็นคนจิตวิทยาดี ดรามาเก่ง ทำให้คนหลงรักได้ง่าย
เมื่อทางการมาประกาศชวนชาวบ้านจับโจรโพกผ้าเหลือง เล่าปี่ได้เข้าสมัครและได้รู้จักกับผู้กล้าชื่อกวนอู และเตียวหุย พวกเขาถูกคอกันจึงสาบานเป็นพี่น้องที่สวนดอกท้อหลังบ้านเตียวหุย พร้อมพูดประโยคอมตะว่า “แม้ไม่เกิดวัน เดือน ปีเดียวกัน แต่ขอตายวัน เดือน ปีเดียวกัน!” ซึ่งนี่เป็นฉากที่ทำให้ลูกผู้ชายชาวจีนอ่านแล้วซาบซึ้งใจ และทำตามมาตลอด
ภาพแนบ: คำสาบานในสวนท้อ
อนึ่ง กวนอู ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์ ใช้ง้าวเป็นอาวุธ นอกจากนั้นยัง “สูงประมาณหกศอก หนวดยาวประมาณศอกเศษ หน้าแดงดังผลพุทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม คิ้วดังตัวไหม จักษุยาวดังนกการะเวก เห็นกิริยาผิดประหลาดกว่าคนทั้งปวง” (นี่ก็โหงวเฮ้งดี แต่โหงวเฮ้งดีไม่ได้แปลว่าหล่อ พวกหล่อๆ หน้าขาวน่ะให้ไปเป็นพระเอกงิ้ว ไม่ได้เป็นขุนนางหรอก)
สำหรับ เตียวหุย นั้นใช้ทวนงูเลื้อยเป็นอาวุธ ติดสุราเรื้อรัง มีนิสัยหยาบช้า และ “สูงประมาณ 5 ศอก ศีรษะเหมือนเสือ จักษุกลมใหญ่ คางพองโต เสียงดังฟ้าร้อง กิริยาดังม้าควบ” ทั้งกวนอู เตียวหุยเป็นนักรบมากฝีมือ แต่มีข้อเสียคืออีโก้สูง สำหรับเล่าปี่นั้นใช้กระบี่คู่ แต่ไม่ได้เก่งต่อสู้เท่า เน้นใช้จิตวิทยากล่อมคนไปเรื่อยๆ
เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ร่วมกันปราบโจรโพกผ้าเหลืองเป็นสามารถ ครั้งหนึ่งยังเคยช่วยขุนนางชื่อตั๋งโต๊ะไว้ได้ แต่เมื่อตั๋งโต๊ะเห็นพวกเขาเป็นฟรีแลนซ์ไร้ยศ ก็ไม่สนใจนัก
โจรโพกผ้าเหลืองถูกปราบมากๆ ต่อมาก็เฟดตัวลง
*** เค้าลางหายนะ ***
หลังพระเจ้าเลนเต้เสด็จสวรรคตในปี 188 โฮจิ๋น ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของราชสำนัก เข้าดูแลการสืบราชสมบัติของเล่าเปียน ฮ่องเต้รัชกาลต่อมา มาถึงตอนนี้ทั้งโฮจิ๋น และฝ่ายขันที ต่างคิดกำจัดอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อชิงความเป็นใหญ่ แต่โฮจิ๋นเสียทีถูกฝ่ายขันทีลวงไปฆ่าก่อน
ภาพแนบ: โฮจิ๋นกับสิบขันที
ก่อนตายโฮจิ๋นเคยส่งจดหมายไปถึงตั๋งโต๊ะ ซึ่งเป็นตอนนั้นขุนศึกใหญ่ในเมืองเสเหลียงทางตะวันตก (ปัจจุบันอยู่แถวๆ มณฑลกานซู) เพื่อขอทหารมาช่วยรักษาความสงบในเมืองหลวง
ครั้นตั๋งโต๊ะมาถึงเมืองหลวงลกเอี๋ยง (ลั่วหยาง) ในปี 189 เห็นว่าสถานการณ์วุ่นวายเพราะขุนนางฝ่ายโฮจิ๋นและขันทีปะทะกัน พอดีเขาสามารถควบคุมตัวฮ่องเต้ที่มีขันทีพาตัวออกมาได้ จึงถืออำนาจเข้าไปเคลียร์เมืองหลวง
ภาพแนบ: ตั๋งโต๊ะในสื่อต่างๆ มักทำออกมาให้อ้วนๆ หื่นๆ เลวๆ
ตอนนั้นตั๋งโต๊ะไม่เพียงเคลียร์พวกขันที แม้แต่ขุนนางอื่นๆ ที่ไม่เชื่อฟังก็ถูกเคลียร์หมด เขาจัดการเปลี่ยนให้เล่าเหียบ โอรสอีกคนของเลนเต้ขึ้นเป็นจักรพรรดิพระนามว่า “เหี้ยนเต้” ให้เป็นหุ่นเชิดของตนเอง และตั้งตนเป็นมหาอุปราชเสียเลย
เมื่อตั๋งโต๊ะเป็นใหญ่แล้วก็กระทำการหยาบช้าต่างๆ ทั้งเข่นฆ่าผู้คน ยึดทรัพย์สิน และมาหลับนอนกับเหล่านางสนมกำนัล ไม่เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา ด้วยเหตุนี้จึงมีคนมากมายอยากกำจัดเขา แต่ยังไม่กล้าเพราะตั๋งโต๊ะมีกำลังมาก และมีบุตรบุญธรรมชื่อลิโป้ เป็นยอดฝีมือที่หลายๆ คนยกให้เก่งที่สุดในเรื่องนี้คอยคุ้มกัน
หนึ่งในฝ่ายต่อต้านตั๋งโต๊ะนั้นมีชายชื่อ โจโฉ เป็นคนฉลาดและทะเยอทะยาน “สูงประมาณห้าศอก จักษุเล็ก หนวดยาว” (ส่วนสูงในนี้ไม่ต้องสนใจเท่าไรนะครับ มันเป็นหน่วยวัดโบราณที่ไม่เหมือนหน่วยวัดสมัยใหม่ และทีมเจ้าพระยาพระคลังก็มีแปลผิดด้วย)
โจโฉเคยเป็นหัวหน้าทหารรักษาประตูเมืองหลวง เอากระบองตีคนที่สัญจรแบบผิดกฎไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม แม้จะมีอุดมการณ์ แต่ก็เป็นคนดาร์คๆ อุปนิสัยของเขาสะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจนจากประโยคที่เขาจะพูดในภายหลังว่า “ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่ายอมให้โลกทรยศข้า!”
ภาพแนบ: ประโยคนี้ของโจโฉมาจากตอนที่โจโฉกำลังหลบหนี แล้วระแวงครอบครัวชาวบ้านที่ให้ที่พักพิง เขาก็ฆ่าทิ้งเพราะเกรงว่าจะไปแจ้งทางการ
ตอนนั้นโจโฉเอากระบี่ชั้นดีไปจะลอบฆ่าตั๋งโต๊ะ แต่ตั๋งโต๊ะรู้ตัวก่อน โจโฉจึงเนียนเปลี่ยนไปถวายกระบี่แล้วหนีไป จนถูกประกาศจับไปทั่ว เขาชักชวนเรียกขุนศึก 18 หัวเมืองมาช่วยกันปราบตั๋งโต๊ะ มีขุนนางอาวุโสชื่ออ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำ และเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยเข้าร่วมแจมด้วย
ตอนนั้นแม้ลิโป้จะออกโรงสู้เอง แต่ถูกเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย สร้างวีรกรรม “3 รุม 1” จนต้องล่าถอย (ลิโป้เก่งมาก ดังนั้นการที่รวมพลังสามรุมหนึ่งทำให้ล่าถอย ก็แปลว่าสุดยอดแล้ว) ต่อมาตั๋งโต๊ะสู้พวกขุนศึกไม่ได้ จึงเผาเมืองลกเอี๋ยงทิ้งแล้วหนีไปยังเมืองเตียงอั๋น (ฉางอาน) ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของจีนที่อยู่ทางตะวันตก แต่ปรากฏว่าฝ่ายกองทัพ 18 หัวเมืองขาดความสามัคคี และอ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำที่ไม่ดี ขุนศึกต่างๆ จึงแยกย้ายไม่ได้ตามตีตั๋งโต๊ะต่อ
...ณ จุดนี้ ขุนศึกต่างๆ ในแผ่นดินล้วนรู้สึกว่าฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่นหมดอำนาจไปแล้ว ทั้งหมดจึงสะสมกำลังชิงความเป็นใหญ่ ทำให้จีนเข้าสู่ยุคขุนศึกอย่างเต็มตัว
อีกด้านหนึ่งมีขุนศึกชื่อซุนเกี๋ยน เขานำคนคุ้ยซากเมืองลกเอี๋ยงที่มอดไหม้ แล้วเกิดไปเจอตราแผ่นดินจีนจึงลอบเก็บไว้ คิดว่าความชอบธรรมในการครองแผ่นดินอยู่กับข้านี่แหละ คะลัก คะลัก
ภาพแนบ: เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยลุยกับลิโป้ สมัยออกรบให้กับกองทัพ 18 หัวเมือง
ฝ่ายตั๋งโต๊ะที่อยู่เตียงอั๋นยังคงทำตัวเป็นทรราชอยู่เช่นเดิม แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรเพราะเกรงฝีมือลิโป้ ต่อมาขุนนางผู้ภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นจึงออกอุบาย ส่งหญิงงามนามเตียวเสี้ยนไปยั่วยวนและยุยงให้ตั๋งโต๊ะแตกคอกับลิโป้ สุดท้ายลิโป้ก็ฆ่าตั๋งโต๊ะในปี 192 และต้องหลบหนีจากเมืองเพราะสู้ลูกน้องตั๋งโต๊ะที่เหลือไม่ได้
ทั้งนี้เตียวเสี้ยนไม่มีตัวจริงในประวัติศาสตร์ นิยายล้วนๆ แต่เนื่องจากสามก๊กเวอร์ชันนี้ดังมาก นางจึงได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในสี่หญิงงามของจีน (อย่างไรก็ตามมีบันทึกเหมือนกันว่าลิโป้ลอบมีชู้กับเมียน้อยตั๋งโต๊ะที่ไม่ทราบชื่อ แล้วกลัวถูกจับได้จึงเป็นเหตุหนึ่งให้ปฏิวัติ)
ภาพแนบ: เตียวเสี้ยน สมญา “จันทร์หลบโฉมสุดา” แปลว่าสวยมากจนพระจันทร์ยังต้องหลบ