สงครามในยุโรปเป็นเรื่องที่เป็นรอยต่อมายาวนานจนเป็นมหาซีรี่ย์และมีผลกระทบต่อทั้วโลกและยุโรป ตั้งแต่สงครามสามสิบปี สงคราม 7 ปี สงครามขยายอำนาจของนโปเลียน สงครามรวมชาติเยอรมนี สงครามโลกครั้งที่ 1 หรือสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนใหญ่เนื้อเรื่องและบทบาทมักจะเป็นรอยต่อกัน อยู่ที่ว่าสงครามในแต่ละครั้ง ฝ่ายไหนอยู่ฝ่ายไหน บางสงครามมิตรกลายเป็นศัตรู มาอีกสงครามศัตรูกลายเป็นมิตรซะงั้น มั่วไปหมด แต่จริงๆมันไม่มั่วหรอกครับ
แต่ที่จะคุยก็คือเน้นสงครามโลกครั้งที่ 1เป็นหลักรวมไปถึงเพิ่มการรวมชาติเยอรมันเข้าไปหน่อย(เพราะมันก็เป็นสาเหตุหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 1) เพราะเยอรมันแต่ไหนแต่ไรมา ชนชาตินี้ใช้กองทัพในการสร้างชาติทุกครั้งมีทั้งชนะและก็แพ้ปนกันไป ถ้าเป็นไปได้ผมจะใส่ทุกรายละเอียดและสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 ให้สมบูรณ์ที่สุด เพราะคนส่วนใหญ่จะรู้แต่เรื่องของสงครามโลกครั้งที่ 2 มากกว่าเนื้อเรื้องของครั้งที่ 1 และอีกอย่างจะรู้กันแต่ในมุมมองพันธมิตร มากกว่ามุมมองของฝั่งผู้แพ้เลยทำให้ประวัติการสงครามของเยอรมนีค่อนข้างหาอ่านยากมาก
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1
1.ผลจากการปฎิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18-19
เป็นช่วงที่อังกฤษเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจ อุตสาหรรมและราชนาวี โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากเครื่องจักรไอน้ำ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
การก้าวกระโดดทางด้านอุตสาหกรรมของอังกฤษเลยทำให้เมืองใหญ่หลายๆเมืองเริ่มกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่เริ่มแออัด
อังกฤษจึงเริ่มขยายอาณานิคมเพื่อระบายสินค้าเหล่านี้และยึดอาณานิคมตามเอเชียและแอฟริกา ทำให้อังกฤษช่วงนี้ดูเข้มแข็งเรื่องเศรษฐกิจอย่างมาก และนอกจากอังกฤษแล้วเยอรมันก็รวมชาติได้ในช่วงปี 1871 รัฐพรอยเซิน(ปรัสเซีย) ซึ่งเป็นรัฐเอกของเยอรมันก็สามารถรวมชาติเยอรมนีได้สำเร็จ จากการผ่าน 3 สงครามใหญ่ของปรัสเซีย ภายใต้การนำของอัครเสนาบดีออตโต ฟอน บิสมาร์ก
1.สงครามชเลสวิก-โฮลสไตน์ ซึ่งปรัสเซียชนะเดนมาร์กและยึดแคว้นชเลสวิกได้ ส่วนออสเตรียก็ได้โฮลสไตน์ไปครอง เป็นการกันอิทธิพลของเดนมาร์กที่มีต่อเยอรมันทางภาคเหนือ
2.สงครามออสโตร-ปรัสเซีย เป็นการสู้กันระหว่างมหาอำนาจของชนชาติเยอรมันทั้ง 2 แคว้นคือออสเตรียกับปรัสเซีย ผลลัพธ์คือปรัสเซียมีกองทัพที่แข็งแกร่งกว่าและชนะออสเตรียได้อย่างไม่ยากเย็น เป็นผลให้ปรัสเซียหรือพรอยเซินกลายเป็นแคว้นเอกของเยอรมันในที่สุด หลังจากที่ออสเตรียครองแชมป์เป็นแคว้นตัวเต็งในการรวมชาติเยอรมันมายาวนานต้องมาพ่ายให้น้องใหม่ไฟแรงอย่างมหาอำนาจรุ่นใหม่ปรัสเซียนั่นเอง(โลโก้รูปอินทรีย์ที่ผมใช้คือธงชาติของปรัสเซีย) และทำให้แคว้นเยอรมันหลายๆแคว้นเข้าเป็นพวกเดียวกับปรัสเซีย ทั้งบาวาเรียและรัฐอื่นๆ
ผลของสงครามครั้งนี้คือออสเตรียถูกกีดกันและขับออกจากสมาพันธรัฐเยอรมัน แต่ยังคงรักษาน้ำใจออสเตรียและดำเนินความสัมพันธ์กับออสเตรียเหมือนพันธมิตร
ก่อนจะเกิดสงครามกับออสเตรียบิสมาร์กใช้นโยบายการทูตและเอาผลประโยชน์ไปล่อฝรั่งเศส เพื่อกันไม่ให้ฝรั่งเศสเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ ซึ่งฝรั่งเศสตามสันดารแล้วก็ชอบสิเพราะความเห็นแก่ได้เลยวางตัวเป็นกลาง(ถูกปรัสเซียหลอกสนิท ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่บิสมาร์คใช้)หวังผลประโยชน์จากปรัสเซียมากเกินไป
3.สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียซึ่งเป็นสงครามรวมชาติเยอรมัน
หลังจากที่บิสมาร์กดำเนินนโยบายทางการทูต เพื่อโดดเดี่ยวฝรั่งเศส จนฝรั่งเศสไร้พันธมิตร ส่วนปรัสเซียมีพันธมิตรทั้งบาวาเรีย ออสเตรีย รัสเซีย อิตาลี่และรัฐเยอรมันอื่นๆ หลังจบสงครามกะออสเตรียฝรั่งเศสทวงสัญญาที่ปรัสเซียให้ไว้ แต่ปรัสเซียไม่ได้สนใจ นโปเลียนที่ 3 เลยไม่พอใจประกาศสงครามกับปรัสเซีย ปรัสเซียจึงยกทัพบุกฝรั่งเศส จับนโปเลียนที่ 3 ที่คุมทัพอยู่แนวหน้ามาเป็นเชลย และยกทัพเข้าโจมตีกรุงปารีส จนยึดฝรั่งเศสได้ในที่สุด สถาปนาจักรวรรดิเยอรมนีขึ้นภายในพระราชวังแวร์ซายส์ โดยมีพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซียขึ้นเป็นจักรพรรดิหรือไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 1 เป็นจักรพรรดิองค์แรกของการรวมชาติเยอรมนี และแต่งตั้งออตโต ฟอน บิสมาร์กเป็นเจ้าชายและอัครเสนาบดีแห่งจักรวรรดิเยอรมนี แต่ตอนรวมปรัสเซียไม่ได้ผนวกออสเตรียเข้าเป็นเยอรมัน เพราะบิสมาร์กต้องการให้ออสเตรียเป็นรัฐกันชนและเป็นพันธมิตรของเยอรมนี แล้วอีกอย่างตอนนั้นออสเตรียเป็นดินแดนเยอรมันที่ผนวกฮังการีที่ไม่ใช่ชาวเยอรมันเข้าไปด้วยนั่นเอง
เรื่องประวัติศาสตร์เยอรมันค่อนข้างจะซับซ้อนถ้าไม่ได้ศึกษามาตั้งแต่ยุคโรมันศักดิ์สิทธิ์ บางคนอาจจะสับสนว่ารัสเซีย คือปรัสเซียหรือเปล่า
ตอบไว้เลยว่าคนละประเทศกัน รัสเซียก็คือรัสเซีย ปรัสเซียก็คือแคว้นหนึ่งของเยอรมันมีเบอร์ลินเป็นเมืองหลวง ซึ่งเยอรมันตอนยังไม่รวมชาติมีหลายแคว้น หลายรัฐกระจายกันอยู่ เช่นปรัสเซีย(พรอยเซิน) บาวาเรีย(บาเยิร์น) แซกโซนี่(ซัคเซ่น) รัฐอิสระฮานโนเวอร์ บาเดน-เวิร์ทเธมแบร์ก แฟรงเฟิร์ต ฮัมบูร์ก รวมถึงออสเตรีย(อดีตศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์) และแคว้นเล็กแคว้นน้อยอีกหลายรัฐ
พอรวมชาติเยอรมันเสร็จ ช่วงนั้นกองทัพของเยอรมนีขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดของยุโรปเลยทีเดียวในเรื่องของกองทัพบก ส่วนทางทะเลจักรวรรดิอังกฤษถือว่าเป็นเบอร์ 1 ของโลกในเวลานั้น ในขณะที่ฝรั่งเศสก็ปลดนโปเลียนที่ 3 ออกจากตำแหน่ง และเปลี่ยนชื่อมาเป็นสาธารณรัฐที่ 3 หมดความเป็นมหาอำนาจ อ่อนแอ เกิดระส่ำระส่ายภายในประเทศ เสียค่าปรับจำนวนมหาศาลและเสียแคว้นอัลซาส-ลอเรนน์ให้กับเยอรมนี ตอนนั้นเยอรมันแข็งแกร่งมาก ปฎิรูปอุตสาหกรรม สร้างระบบทางรถไฟเพื่อการสงครามและคมนาคม เบอร์ลินกลายเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของยุโรป
2.ลัทธิชาตินิยมและการทหาร
หลังจากการรวมชาติเยอรมนีและอิตาลีขึ้นมานั้นได้เปลี่ยนให้เป็นความหลงชาติไป โดยประชากรส่วนใหญ่ของแต่ละประเทศมองว่าชาติตัวเองยิ่งใหญ่ มองชาติอื่นอ่อนด๋อยกว่าตน จึงใช้โอากาศนี้ในการสร้างการทหารให้เข้มแข็ง เกรียงไกร เพื่อใช้แสวงหาผลประโยชน์ ในยุคนั้นเป็นยุคที่ประชาชนและผู้นำในยุโรปส่วนใหญ่ต่างก็สนับสนุนการสร้างกองทัพ มีการเพิ่มงบประมาณทางการทหารเพื่อเสริมสร้างฐานะของตนเอง โดยประเทศผู้นำในเรื่องนี้คือเยอรมนี
อังกฤษและประเทศชั้นนำในยุโรปต่างหันมาใช้วิธีการเกณฑ์ทหารแบบเยอรมนีทั้งสิ้น ซึ่งทำให้หลายๆประเทศมีกองทัพที่ยิ่งใหญ่ ส่งผลให้การเจรจาหรือพิพาทต่างๆมักจะใช้ทหารเป็นตัวตัดสินปัญหาในหลายๆครั้ง เพราะความมั่นใจต่อกองทัพมากเกินไปนั่นเอง
3.จักรวรรดินิยมใหม่
ในด้านนึงอุดมณ์การทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องราวของลัทธิชาตินิยมที่ถูกปลุกกระแสและนำมาใช้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เลยทำให้เกิดลัทธิชาตินิยมขึ้นในหลายๆประเทศ และสิ่งที่ตามมาก็คือการแสวงหาผลประโยชน์ กอบโกยผลประโยชน์ในชาติอื่น เพื่อนำมาสร้างชาติตัวเอง จึงเกิดลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่ เป็นแนวความคิดของชาติมหาอำนาจในยุโรปที่จะขยายอำนาจ ใช้อิทธิพลเข้าครอบครองดินแดนที่ล้าหลังและด้อยความเจริญในทวีปต่างๆ เป็นยุคที่อังกฤษและฝรั่งเศสแข่งกันล่าอาณานิคมทั้งในแอฟริกาและเอเชีย เพื่อกอบโกยทรัพยากรณ์เข้ามาป้อนอุตสาหกรรม และหาตลาดระบายสินค้า อังกฤษเป็นชาติผู้นำด้านอุตสาหกรรม หลายๆประเทศในยุโรปและอเมริกา ยังเป็นกสิกรรม และต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมจากอังกฤษ ต่อมาเมื่อการปฎิวัติอุตสาหกรรมแพร่หลายไปทั่วยุโรป ประเทศอุตสาหกรรมเลยต้องแสวงหาตลาดสินค้าใหม่ๆและแหล่งวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 หลายๆประเทศทั้งอังกฤาและฝรั่งเศสจึงแข่งขันกันอย่างเต็มที่
ซึ่งมีผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของประเทศต่างๆ เช่น
-ทำให้ชาติมหาอำนาจขัดแย้งกันในเรื่องของผลประโยชน์ ส่งผลให้การเมืองยุโรปเข้าสู่ภาวะตรึงเครียดและนำไปสู่สงคราม
-ชาติตะวันตกเอาอารยธรรมและความเจริญของตนเองมาเผยแพร่ในดินแดนล้าหลัง ทำให้หลายๆประเทศเกิดค่านิยมแบบตะวันตก ไม่ต้องว่าไปไกล ประเทศแถวนี้เองที่เจ้าขุนมูลนายหรือลูกท่านหลานเธอทั้งหลายมีค่านิยมแบบตะวันตกในยุคนั้น
นี่แค่เริ่มต้นที่ยังไม่ถึงตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 เต็มตัวแต่แค่เป็นสาเหตุนึง ที่การแข่งขันกันภายในยุโรป เกิดเป็นการชิงดีชิงเด่นกันเพื่อผลประโยชน์จนเกิดภาวะตรึงเครียดในยุโรปและเป็นชนวนที่นำไปสู่สงครามใหญ่ในอนาคต
แนะนำจักรรรดิต่างๆในสงครามโลกครั้งที่ 1
1.จักรวรรดิอังกฤษ
เป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่และมีอาณานิคมไกลโพ้นอยู่หลายแห่งทั่วโลก เป็นมหาอำนาจทางทะเลอันดับ 1 ของโลก การก่อตั้งจักรวรรดิอังกฤษเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่อังกฤษรวมตัวเป็นรัฐเดี่ยวทางการเมือง เมื่ออังกฤษและสก๊อตแลนด์ตอนยังแยกอาณาจักรกัน
ในบางครั้งอังกฤษในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 เรียกได้อีกชื่อว่า ยุควิคตอเรียน ชื่อนี้ได้รับมาจากยุคสมัยของพระราชินีนาถวิคตอเรีย ทรงครองราชย์ 1837-1901
2.จักรวรรดิรัสเซีย
จักรวรรดินี้สถาปนาขึ้นในช่วง 1721 โดยพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช รัสเซียมีพื้นที่กว้างใหญ่ครอบคลุมยุโรปตะวันออก เอเชีย จนไปถึงทวีปอเมริกา(อะแลสก้า) ช่วงนั้นจักรวรรดิรัสเซียเป็นจักรวรรดิที่โดดเดี่ยว ไม่เป็นที่รู้จักในยุโรป จนกระทั้งซาร์ปีเตอร์มหาราชทรงปฎิรูปจักรวรรดิให้ทันสมัย ทั้งการแต่งกาย การศึกษาและการทหาร 9ล9 เป็นยุคที่เปิดประตูต้อนรับยุโรปอย่างแท้จริง
เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 รัสเซียในยุคของซาร์นิโคลัสที่ 1 ซึ่งทรงทำสงครามพิชิตแหลมไครเมียกับจักรวรรดิออตโตมันได้สำเร็จ หลังจากนั้นก็เข้าสู่การปฎิรูปประเทศอีกครั้ง
3.จักรวรรดิฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อยู่ในช่วงประวัติศาสตร์ในยุค สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 เกิดขึ้นหลังจากการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสต่อเยอรมนีในสงครามฟรังโก้-ปรัสเซี่ย เมื่อปี 1870
สงครามระหว่างฝรั่งเศส-ปรัสเซีย หรือฟรังโก้-ปรัสเซี่ยน เกิดขึ้นเนื่องจากฝรั่งเศสพ่ายแพ้ปรัสเซียในด้านการทูตอยู่เสมอและมีปัญหาเกี่ยวกับการสืบราชสมบัติในสเปน ฝรั่งเศสจึงตัดสินใจประกาศสงครามกับปรัสเซีย สงครามครั้งนี้ปรัสเซียมีชัยชนะอย่างเด็ดขาด ทำให้ฝรั่งเศสต้องเสียอัลซาส-ลอเรนน์และเสียเงินค่าปรับให้แก่เยอรมนีในจำนวนมหาศาล
ความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสเป็นผลทำให้นโปเลียนที่ 3 ถูกขับออกจากตำแหน่งและก่อตั้งสาธารณรัฐที่ 3 ขึ้นมา และเป็นการประกาศรวมชาติเยอรมนีโดยมีไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 1 สถาปนาเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเยอรมนีและออตโต ฟอน บิสมาร์คเป็นเจ้าชายและอัครมหาเสนาบดี
ฝรั่งเศสยุคนั้นจึงมีความอ่อนแอจากภายในและภายนอก
แต่ถึงอย่างไรก็ตามประเทศขี้แพ้อย่างฝรั่งเศสกลับแสวงหาอาณานิคมเพิ่มขึ้นทั้งยึดมาดากัสการ์ และขยายอิทธิพลไปยังตะวันออกใกล้ เอเชียหลายๆพื้นที่
4.จักรวรรดิเยอรมนี
เป็นจักรวรรดิที่ใช้เรียกเยอรมนีในช่วงปี 1871 ไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 1 ถึงการสละราชสมบัติของไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 1918 สิ้นสุดหลังจากเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1
ประวัติศาสตร์เยอรมนี เริ่มต้นด้วยอำนาจของอานรยชนเยอรมานิกที่ลุกขึ้นมาต้านทานการยึดครองโดยชาวโรมัน ซึ่งเมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลายชนชาติเยอรมันก็กลายเป็นกลุ่มชนชาติผู้มีอำนาจในยุโรปเข้าแทนที่ชาวโรมัน จนนำไปสู่กำเนิดจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์หรือจักรวรรดิที่ 1 ในสมัยกลาง Holy Roman ธำรงอยู่ได้พันปีแต่เป็นจักรวรรดิที่มองไม่เห็น เพราะรัฐต่างๆ ในเยอรมันร้อยกว่ารัฐแยกตัวเป็นอิสระจากจักรพรรดิ จนมาถึงยุคนโปเลียนเรืองอำนาจจึงยุบจักรวรรดินี้ กลายเป็นสมาพันธรัฐเยอรมัน ในเวลาต่อมาราชอาณาจักรปรัสเซียสามารถรวมประเทศเยอรมนีได้โดยการนำของออตโต ฟอน บิสมาร์ค ก็กลายเป็นจักรวรรดิเยอรมนีหรือจักรวรรดิที่ 2
ในสมัยนี้เยอรมันถือได้ว่าเป็นชาติมหาอำนาจ ทั้งด้านการทหาร เศรษฐกิจ การเมือง การต่างประเทศ ปรัชญา วิทยาศาสตร์และอื่นๆ มีอำนาจเทียบเคียงเท่าอังกฤษ แต่ช่วงหลังเยอรมนีมีปัญหากับอังกฤษเรื่องการขยายอำนาจทางทะเล
มหาอำนาจพรอยเซินจนถึงยุคจักรวรรดิเยอรมนี กองทัพคือผู้สร้างชาติและทำลายชาติ
แต่ที่จะคุยก็คือเน้นสงครามโลกครั้งที่ 1เป็นหลักรวมไปถึงเพิ่มการรวมชาติเยอรมันเข้าไปหน่อย(เพราะมันก็เป็นสาเหตุหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 1) เพราะเยอรมันแต่ไหนแต่ไรมา ชนชาตินี้ใช้กองทัพในการสร้างชาติทุกครั้งมีทั้งชนะและก็แพ้ปนกันไป ถ้าเป็นไปได้ผมจะใส่ทุกรายละเอียดและสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 ให้สมบูรณ์ที่สุด เพราะคนส่วนใหญ่จะรู้แต่เรื่องของสงครามโลกครั้งที่ 2 มากกว่าเนื้อเรื้องของครั้งที่ 1 และอีกอย่างจะรู้กันแต่ในมุมมองพันธมิตร มากกว่ามุมมองของฝั่งผู้แพ้เลยทำให้ประวัติการสงครามของเยอรมนีค่อนข้างหาอ่านยากมาก
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1
1.ผลจากการปฎิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18-19
เป็นช่วงที่อังกฤษเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจ อุตสาหรรมและราชนาวี โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากเครื่องจักรไอน้ำ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
การก้าวกระโดดทางด้านอุตสาหกรรมของอังกฤษเลยทำให้เมืองใหญ่หลายๆเมืองเริ่มกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่เริ่มแออัด
อังกฤษจึงเริ่มขยายอาณานิคมเพื่อระบายสินค้าเหล่านี้และยึดอาณานิคมตามเอเชียและแอฟริกา ทำให้อังกฤษช่วงนี้ดูเข้มแข็งเรื่องเศรษฐกิจอย่างมาก และนอกจากอังกฤษแล้วเยอรมันก็รวมชาติได้ในช่วงปี 1871 รัฐพรอยเซิน(ปรัสเซีย) ซึ่งเป็นรัฐเอกของเยอรมันก็สามารถรวมชาติเยอรมนีได้สำเร็จ จากการผ่าน 3 สงครามใหญ่ของปรัสเซีย ภายใต้การนำของอัครเสนาบดีออตโต ฟอน บิสมาร์ก
1.สงครามชเลสวิก-โฮลสไตน์ ซึ่งปรัสเซียชนะเดนมาร์กและยึดแคว้นชเลสวิกได้ ส่วนออสเตรียก็ได้โฮลสไตน์ไปครอง เป็นการกันอิทธิพลของเดนมาร์กที่มีต่อเยอรมันทางภาคเหนือ
2.สงครามออสโตร-ปรัสเซีย เป็นการสู้กันระหว่างมหาอำนาจของชนชาติเยอรมันทั้ง 2 แคว้นคือออสเตรียกับปรัสเซีย ผลลัพธ์คือปรัสเซียมีกองทัพที่แข็งแกร่งกว่าและชนะออสเตรียได้อย่างไม่ยากเย็น เป็นผลให้ปรัสเซียหรือพรอยเซินกลายเป็นแคว้นเอกของเยอรมันในที่สุด หลังจากที่ออสเตรียครองแชมป์เป็นแคว้นตัวเต็งในการรวมชาติเยอรมันมายาวนานต้องมาพ่ายให้น้องใหม่ไฟแรงอย่างมหาอำนาจรุ่นใหม่ปรัสเซียนั่นเอง(โลโก้รูปอินทรีย์ที่ผมใช้คือธงชาติของปรัสเซีย) และทำให้แคว้นเยอรมันหลายๆแคว้นเข้าเป็นพวกเดียวกับปรัสเซีย ทั้งบาวาเรียและรัฐอื่นๆ
ผลของสงครามครั้งนี้คือออสเตรียถูกกีดกันและขับออกจากสมาพันธรัฐเยอรมัน แต่ยังคงรักษาน้ำใจออสเตรียและดำเนินความสัมพันธ์กับออสเตรียเหมือนพันธมิตร
ก่อนจะเกิดสงครามกับออสเตรียบิสมาร์กใช้นโยบายการทูตและเอาผลประโยชน์ไปล่อฝรั่งเศส เพื่อกันไม่ให้ฝรั่งเศสเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ ซึ่งฝรั่งเศสตามสันดารแล้วก็ชอบสิเพราะความเห็นแก่ได้เลยวางตัวเป็นกลาง(ถูกปรัสเซียหลอกสนิท ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่บิสมาร์คใช้)หวังผลประโยชน์จากปรัสเซียมากเกินไป
3.สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียซึ่งเป็นสงครามรวมชาติเยอรมัน
หลังจากที่บิสมาร์กดำเนินนโยบายทางการทูต เพื่อโดดเดี่ยวฝรั่งเศส จนฝรั่งเศสไร้พันธมิตร ส่วนปรัสเซียมีพันธมิตรทั้งบาวาเรีย ออสเตรีย รัสเซีย อิตาลี่และรัฐเยอรมันอื่นๆ หลังจบสงครามกะออสเตรียฝรั่งเศสทวงสัญญาที่ปรัสเซียให้ไว้ แต่ปรัสเซียไม่ได้สนใจ นโปเลียนที่ 3 เลยไม่พอใจประกาศสงครามกับปรัสเซีย ปรัสเซียจึงยกทัพบุกฝรั่งเศส จับนโปเลียนที่ 3 ที่คุมทัพอยู่แนวหน้ามาเป็นเชลย และยกทัพเข้าโจมตีกรุงปารีส จนยึดฝรั่งเศสได้ในที่สุด สถาปนาจักรวรรดิเยอรมนีขึ้นภายในพระราชวังแวร์ซายส์ โดยมีพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซียขึ้นเป็นจักรพรรดิหรือไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 1 เป็นจักรพรรดิองค์แรกของการรวมชาติเยอรมนี และแต่งตั้งออตโต ฟอน บิสมาร์กเป็นเจ้าชายและอัครเสนาบดีแห่งจักรวรรดิเยอรมนี แต่ตอนรวมปรัสเซียไม่ได้ผนวกออสเตรียเข้าเป็นเยอรมัน เพราะบิสมาร์กต้องการให้ออสเตรียเป็นรัฐกันชนและเป็นพันธมิตรของเยอรมนี แล้วอีกอย่างตอนนั้นออสเตรียเป็นดินแดนเยอรมันที่ผนวกฮังการีที่ไม่ใช่ชาวเยอรมันเข้าไปด้วยนั่นเอง
เรื่องประวัติศาสตร์เยอรมันค่อนข้างจะซับซ้อนถ้าไม่ได้ศึกษามาตั้งแต่ยุคโรมันศักดิ์สิทธิ์ บางคนอาจจะสับสนว่ารัสเซีย คือปรัสเซียหรือเปล่า
ตอบไว้เลยว่าคนละประเทศกัน รัสเซียก็คือรัสเซีย ปรัสเซียก็คือแคว้นหนึ่งของเยอรมันมีเบอร์ลินเป็นเมืองหลวง ซึ่งเยอรมันตอนยังไม่รวมชาติมีหลายแคว้น หลายรัฐกระจายกันอยู่ เช่นปรัสเซีย(พรอยเซิน) บาวาเรีย(บาเยิร์น) แซกโซนี่(ซัคเซ่น) รัฐอิสระฮานโนเวอร์ บาเดน-เวิร์ทเธมแบร์ก แฟรงเฟิร์ต ฮัมบูร์ก รวมถึงออสเตรีย(อดีตศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์) และแคว้นเล็กแคว้นน้อยอีกหลายรัฐ
พอรวมชาติเยอรมันเสร็จ ช่วงนั้นกองทัพของเยอรมนีขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดของยุโรปเลยทีเดียวในเรื่องของกองทัพบก ส่วนทางทะเลจักรวรรดิอังกฤษถือว่าเป็นเบอร์ 1 ของโลกในเวลานั้น ในขณะที่ฝรั่งเศสก็ปลดนโปเลียนที่ 3 ออกจากตำแหน่ง และเปลี่ยนชื่อมาเป็นสาธารณรัฐที่ 3 หมดความเป็นมหาอำนาจ อ่อนแอ เกิดระส่ำระส่ายภายในประเทศ เสียค่าปรับจำนวนมหาศาลและเสียแคว้นอัลซาส-ลอเรนน์ให้กับเยอรมนี ตอนนั้นเยอรมันแข็งแกร่งมาก ปฎิรูปอุตสาหกรรม สร้างระบบทางรถไฟเพื่อการสงครามและคมนาคม เบอร์ลินกลายเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของยุโรป
2.ลัทธิชาตินิยมและการทหาร
หลังจากการรวมชาติเยอรมนีและอิตาลีขึ้นมานั้นได้เปลี่ยนให้เป็นความหลงชาติไป โดยประชากรส่วนใหญ่ของแต่ละประเทศมองว่าชาติตัวเองยิ่งใหญ่ มองชาติอื่นอ่อนด๋อยกว่าตน จึงใช้โอากาศนี้ในการสร้างการทหารให้เข้มแข็ง เกรียงไกร เพื่อใช้แสวงหาผลประโยชน์ ในยุคนั้นเป็นยุคที่ประชาชนและผู้นำในยุโรปส่วนใหญ่ต่างก็สนับสนุนการสร้างกองทัพ มีการเพิ่มงบประมาณทางการทหารเพื่อเสริมสร้างฐานะของตนเอง โดยประเทศผู้นำในเรื่องนี้คือเยอรมนี
อังกฤษและประเทศชั้นนำในยุโรปต่างหันมาใช้วิธีการเกณฑ์ทหารแบบเยอรมนีทั้งสิ้น ซึ่งทำให้หลายๆประเทศมีกองทัพที่ยิ่งใหญ่ ส่งผลให้การเจรจาหรือพิพาทต่างๆมักจะใช้ทหารเป็นตัวตัดสินปัญหาในหลายๆครั้ง เพราะความมั่นใจต่อกองทัพมากเกินไปนั่นเอง
3.จักรวรรดินิยมใหม่
ในด้านนึงอุดมณ์การทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องราวของลัทธิชาตินิยมที่ถูกปลุกกระแสและนำมาใช้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เลยทำให้เกิดลัทธิชาตินิยมขึ้นในหลายๆประเทศ และสิ่งที่ตามมาก็คือการแสวงหาผลประโยชน์ กอบโกยผลประโยชน์ในชาติอื่น เพื่อนำมาสร้างชาติตัวเอง จึงเกิดลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่ เป็นแนวความคิดของชาติมหาอำนาจในยุโรปที่จะขยายอำนาจ ใช้อิทธิพลเข้าครอบครองดินแดนที่ล้าหลังและด้อยความเจริญในทวีปต่างๆ เป็นยุคที่อังกฤษและฝรั่งเศสแข่งกันล่าอาณานิคมทั้งในแอฟริกาและเอเชีย เพื่อกอบโกยทรัพยากรณ์เข้ามาป้อนอุตสาหกรรม และหาตลาดระบายสินค้า อังกฤษเป็นชาติผู้นำด้านอุตสาหกรรม หลายๆประเทศในยุโรปและอเมริกา ยังเป็นกสิกรรม และต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมจากอังกฤษ ต่อมาเมื่อการปฎิวัติอุตสาหกรรมแพร่หลายไปทั่วยุโรป ประเทศอุตสาหกรรมเลยต้องแสวงหาตลาดสินค้าใหม่ๆและแหล่งวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 หลายๆประเทศทั้งอังกฤาและฝรั่งเศสจึงแข่งขันกันอย่างเต็มที่
ซึ่งมีผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของประเทศต่างๆ เช่น
-ทำให้ชาติมหาอำนาจขัดแย้งกันในเรื่องของผลประโยชน์ ส่งผลให้การเมืองยุโรปเข้าสู่ภาวะตรึงเครียดและนำไปสู่สงคราม
-ชาติตะวันตกเอาอารยธรรมและความเจริญของตนเองมาเผยแพร่ในดินแดนล้าหลัง ทำให้หลายๆประเทศเกิดค่านิยมแบบตะวันตก ไม่ต้องว่าไปไกล ประเทศแถวนี้เองที่เจ้าขุนมูลนายหรือลูกท่านหลานเธอทั้งหลายมีค่านิยมแบบตะวันตกในยุคนั้น
นี่แค่เริ่มต้นที่ยังไม่ถึงตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 เต็มตัวแต่แค่เป็นสาเหตุนึง ที่การแข่งขันกันภายในยุโรป เกิดเป็นการชิงดีชิงเด่นกันเพื่อผลประโยชน์จนเกิดภาวะตรึงเครียดในยุโรปและเป็นชนวนที่นำไปสู่สงครามใหญ่ในอนาคต
แนะนำจักรรรดิต่างๆในสงครามโลกครั้งที่ 1
1.จักรวรรดิอังกฤษ
เป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่และมีอาณานิคมไกลโพ้นอยู่หลายแห่งทั่วโลก เป็นมหาอำนาจทางทะเลอันดับ 1 ของโลก การก่อตั้งจักรวรรดิอังกฤษเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่อังกฤษรวมตัวเป็นรัฐเดี่ยวทางการเมือง เมื่ออังกฤษและสก๊อตแลนด์ตอนยังแยกอาณาจักรกัน
ในบางครั้งอังกฤษในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 เรียกได้อีกชื่อว่า ยุควิคตอเรียน ชื่อนี้ได้รับมาจากยุคสมัยของพระราชินีนาถวิคตอเรีย ทรงครองราชย์ 1837-1901
2.จักรวรรดิรัสเซีย
จักรวรรดินี้สถาปนาขึ้นในช่วง 1721 โดยพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช รัสเซียมีพื้นที่กว้างใหญ่ครอบคลุมยุโรปตะวันออก เอเชีย จนไปถึงทวีปอเมริกา(อะแลสก้า) ช่วงนั้นจักรวรรดิรัสเซียเป็นจักรวรรดิที่โดดเดี่ยว ไม่เป็นที่รู้จักในยุโรป จนกระทั้งซาร์ปีเตอร์มหาราชทรงปฎิรูปจักรวรรดิให้ทันสมัย ทั้งการแต่งกาย การศึกษาและการทหาร 9ล9 เป็นยุคที่เปิดประตูต้อนรับยุโรปอย่างแท้จริง
เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 รัสเซียในยุคของซาร์นิโคลัสที่ 1 ซึ่งทรงทำสงครามพิชิตแหลมไครเมียกับจักรวรรดิออตโตมันได้สำเร็จ หลังจากนั้นก็เข้าสู่การปฎิรูปประเทศอีกครั้ง
3.จักรวรรดิฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อยู่ในช่วงประวัติศาสตร์ในยุค สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 เกิดขึ้นหลังจากการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสต่อเยอรมนีในสงครามฟรังโก้-ปรัสเซี่ย เมื่อปี 1870
สงครามระหว่างฝรั่งเศส-ปรัสเซีย หรือฟรังโก้-ปรัสเซี่ยน เกิดขึ้นเนื่องจากฝรั่งเศสพ่ายแพ้ปรัสเซียในด้านการทูตอยู่เสมอและมีปัญหาเกี่ยวกับการสืบราชสมบัติในสเปน ฝรั่งเศสจึงตัดสินใจประกาศสงครามกับปรัสเซีย สงครามครั้งนี้ปรัสเซียมีชัยชนะอย่างเด็ดขาด ทำให้ฝรั่งเศสต้องเสียอัลซาส-ลอเรนน์และเสียเงินค่าปรับให้แก่เยอรมนีในจำนวนมหาศาล
ความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสเป็นผลทำให้นโปเลียนที่ 3 ถูกขับออกจากตำแหน่งและก่อตั้งสาธารณรัฐที่ 3 ขึ้นมา และเป็นการประกาศรวมชาติเยอรมนีโดยมีไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 1 สถาปนาเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเยอรมนีและออตโต ฟอน บิสมาร์คเป็นเจ้าชายและอัครมหาเสนาบดี
ฝรั่งเศสยุคนั้นจึงมีความอ่อนแอจากภายในและภายนอก
แต่ถึงอย่างไรก็ตามประเทศขี้แพ้อย่างฝรั่งเศสกลับแสวงหาอาณานิคมเพิ่มขึ้นทั้งยึดมาดากัสการ์ และขยายอิทธิพลไปยังตะวันออกใกล้ เอเชียหลายๆพื้นที่
4.จักรวรรดิเยอรมนี
เป็นจักรวรรดิที่ใช้เรียกเยอรมนีในช่วงปี 1871 ไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 1 ถึงการสละราชสมบัติของไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 1918 สิ้นสุดหลังจากเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1
ประวัติศาสตร์เยอรมนี เริ่มต้นด้วยอำนาจของอานรยชนเยอรมานิกที่ลุกขึ้นมาต้านทานการยึดครองโดยชาวโรมัน ซึ่งเมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลายชนชาติเยอรมันก็กลายเป็นกลุ่มชนชาติผู้มีอำนาจในยุโรปเข้าแทนที่ชาวโรมัน จนนำไปสู่กำเนิดจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์หรือจักรวรรดิที่ 1 ในสมัยกลาง Holy Roman ธำรงอยู่ได้พันปีแต่เป็นจักรวรรดิที่มองไม่เห็น เพราะรัฐต่างๆ ในเยอรมันร้อยกว่ารัฐแยกตัวเป็นอิสระจากจักรพรรดิ จนมาถึงยุคนโปเลียนเรืองอำนาจจึงยุบจักรวรรดินี้ กลายเป็นสมาพันธรัฐเยอรมัน ในเวลาต่อมาราชอาณาจักรปรัสเซียสามารถรวมประเทศเยอรมนีได้โดยการนำของออตโต ฟอน บิสมาร์ค ก็กลายเป็นจักรวรรดิเยอรมนีหรือจักรวรรดิที่ 2
ในสมัยนี้เยอรมันถือได้ว่าเป็นชาติมหาอำนาจ ทั้งด้านการทหาร เศรษฐกิจ การเมือง การต่างประเทศ ปรัชญา วิทยาศาสตร์และอื่นๆ มีอำนาจเทียบเคียงเท่าอังกฤษ แต่ช่วงหลังเยอรมนีมีปัญหากับอังกฤษเรื่องการขยายอำนาจทางทะเล